Allopurinol (อัลโลพูรินอล)
Allopurinol (อัลโลพูรินอล) เป็นยาที่ช่วยลดการสร้างกรดยูริกในร่างกาย มักใช้ในการรักษาโรคเกาต์ และนิ่วในไต รวมทั้งยังใช้เพื่อป้องกันการเพิ่มระดับกรดยูริกในผู้ป่วยโรคมะเร็งที่กำลังรับการรักษาเคมีบำบัดอีกด้วย
ยา Allopurinol เป็นยาที่มักอยู่ในรูปแบบของยาเม็ดสำหรับรับประทาน และต้องสั่งจ่ายโดยแพทย์เท่านั้น โดยแพทย์จะเป็นผู้กำหนดปริมาณยาของผู้ป่วยแต่ละคนตามปัจจัยต่าง ๆ เช่น อายุ ชนิดของโรคที่ใช้รักษา ความรุนแรงของโรค ซึ่งผู้ป่วยควรรับประทานยาตามที่แพทย์แนะนำอย่างเคร่งครัดเพื่อให้ยามีประสิทธิภาพสูงสุด
เกี่ยวกับยา Allopurinol
กลุ่มยา | ยากลุ่มแซนทีนออกซิเดสอินฮิบิเตอร์ (Xanthine oxidase inhibitors) |
ประเภทยา | ยาตามใบสั่งแพทย์ |
สรรพคุณ | ช่วยลดการสร้างกรดยูริกภายในร่างกาย |
กลุ่มผู้ป่วย | เด็กและผู้ใหญ่ |
การใช้ยาในหญิงตั้งครรภ์ | Category C จากการศึกษาในสัตว์พบว่า ทำให้เกิดความผิดปกติต่อตัวอ่อนในครรภ์สัตว์ แต่ไม่มีการศึกษาในมนุษย์ หรือไม่มีข้อมูลเพียงพอในการศึกษาทดลองในมนุษย์และสัตว์ ควรใช้ยาเมื่อพิจารณาแล้วว่า มีประโยชน์มากกว่าความเสี่ยงที่อาจเกิดขึ้นต่อทารกในครรภ์ ผู้ที่กำลังตั้งครรภ์หรือวางแผนจะตั้งครรภ์ ควรปรึกษาแพทย์ก่อนใช้ยา |
การใช้ยาในผู้ให้นมบุตร | ยานี้อาจถูกดูดซึมผ่านน้ำนมมารดาไปสู่ทารก ผู้ที่ให้นมบุตรควรปรึกษาแพทย์ก่อนใช้ยา Allopurinol |
รูปแบบของยา | ยารับประทานชนิดเม็ด |
คำเตือนของการใช้ยา Allopurinol
เพื่อความปลอดภัยในการใช้ยา Allopurinol ผู้ป่วยควรระมัดระวังและปฏิบัติตามคำแนะนำ ดังนี้
- ห้ามใช้ยาหากเคยมีอาการแพ้ยาชนิดนี้ และควรแจ้งให้แพทย์ทราบก่อนใช้ยา หากผู้ป่วยมีอาการแพ้ยา หรือแพ้สารชนิดใดอยู่ เพราะส่วนประกอบของยาอาจมีสารก่อภูมิแพ้ที่ทำให้ผู้ป่วยบางรายเกิดอาการแพ้ได้
- ต้องใช้ยาตามปริมาณและวิธีการที่แพทย์กำหนดเท่านั้น โดยห้ามให้ผู้อื่นใช้ยานี้ หรือห้ามใช้ยาชนิดนี้ร่วมกับผู้ป่วยคนอื่น
- ควรแจ้งให้แพทย์ทราบก่อนใช้ยา หากผู้ป่วยกำลังป่วย หรือเคยมีประวัติป่วยด้วยภาวะความดันโลหิตสูง โรคเบาหวาน โรคตับ โรคไต โรคหัวใจ โรคมะเร็ง
- ควรแจ้งให้แพทย์ทราบก่อนใช้ยา หากผู้ป่วยกำลังใช้ยา อาหารเสริม หรือกำลังได้รับการรักษาชนิดใดอยู่ เพราะแพทย์อาจต้องเปลี่ยนยาหรือปรับปริมาณการใช้ยารักษาเหล่านั้น เพื่อป้องกันการเกิดผลข้างเคียงและผลกระทบที่อาจเป็นอันตราย
- ในขณะใช้ยา Allopurinol หลีกเลี่ยงการดื่มแอลกอฮอล์ เพราะอาจเป็นการลดประสิทธิภาพของยา
- ห้ามขับขี่ยานพาหนะ ใช้เครื่องจักร หรือทำกิจกรรมที่มีความเสี่ยงสูงในขณะใช้ยา เพราะยาชนิดนี้อาจมีผลข้างเคียงทำให้ง่วงซึม กระทบต่อกระบวนการคิด และการมีปฏิกิริยาตอบสนองต่อสิ่งต่าง ๆ
- ควรแจ้งให้แพทย์ทราบก่อนใช้ยา หากผู้ป่วยกำลังวางแผนมีบุตร กำลังตั้งครรภ์ หรือผู้ที่กำลังให้นมบุตร เพราะการใช้ยาอาจส่งผลต่อทารกได้ ผู้ป่วยจึงต้องพูดคุยกับแพทย์ถึงผลดีผลเสียจากการใช้ยาในระหว่างนี้ และใช้ยาต่อเมื่อมีความจำเป็นเท่านั้น
- ในบางกรณี ผู้ที่ใช้ยา Allopurinol อาจมีความเสี่ยงในการเจ็บป่วยด้วยโรคต่าง ๆ เนื่องจากยา Allopurinol อาจลดจำนวนเซลล์เม็ดเลือดขาวที่ทำหน้าที่ต้านการติดเชื้อ อย่างไรก็ตาม ยานี้มักใช้รักษาในระยะสั้น จึงอาจพบผลข้างเคียงนี้ได้น้อย
ปริมาณการใช้ยา Allopurinol
ปริมาณการใช้ยา Allopurinol อาจแตกต่างกันไปตามโรคหรือปัญหาสุขภาพที่ต้องการรักษา เช่น
โรคเกาต์
ตัวอย่างปริมาณการใช้ยา Allopurinol เพื่อรักษาโรคเกาต์
ผู้ใหญ่ รับประทานยาปริมาณ 100–300 มิลลิกรัมต่อวัน วันละ 1 ครั้งหรืออาจแบ่งรับประทานวันละหลายครั้ง แต่ไม่ควรเกิน 800 มิลลิกรัมต่อวัน
นิ่วในไต
ตัวอย่างปริมาณการใช้ยา Allopurinol เพื่อรักษาภาวะอาการที่เกี่ยวข้องกับนิ่วในไต
ผู้ใหญ่ รับประทานยาปริมาณ 200–300 มิลลิกรัมต่อวัน โดยสามารถรับประทานวันละ 1 ครั้งหรือแบ่งรับประทานเป็นหลาย ๆ ครั้ง แต่ไม่ควรเกินวันละ 800 มิลลิกรัม
อาการระดับยูริกสูงในผู้ป่วยที่ทำเคมีบำบัด
ตัวอย่างปริมาณการใช้ยา Allopurinol เพื่อรักษาอาการระดับยูริกสูงในผู้ป่วยที่ทำเคมีบำบัด
ผู้ใหญ่และเด็กอายุ 11 ปีขึ้นไป รับประทานยาปริมาณ 300–800 มิลลิกรัมต่อวัน โดยแพทย์จะพิจารณาปรับปริมาณยาที่เหมาะสมกับระดับกรดยูริกในร่างกาย
เด็กอายุไม่เกิน 11 ปี แพทย์จะคำนวณปริมาณยาตามพื้นที่ผิวของร่างกาย (Body surface area) โดยทั่วไปแล้วปริมาณยาจะอยู่ที่ 100 มิลลิกรัมต่อตารางเมตร และรับประทานยาทุก 8–12 ชั่วโมง แต่ไม่เกิน 800 มิลลิกรัมต่อวัน
การใช้ยา Allopurinol
สำหรับยารับประทาน ต้องรับประทานในปริมาณและวิธีที่แพทย์กำหนดเท่านั้น ดื่มน้ำเปล่าเต็มแก้วตามทุกครั้งหลังใช้ยา และควรดื่มน้ำปริมาณมาก ๆ อย่างน้อย 8–10 แก้วต่อวัน เพื่อป้องกันการเกิดนิ่ว หรือตามปริมาณที่แพทย์กำหนด
หากลืมรับประทานยาในรอบเวลาหนึ่ง ให้รับประทานยาทันทีที่นึกขึ้นได้ แต่หากใกล้ถึงช่วงเวลาในการรับประทานยารอบถัดไป ให้ข้ามยารอบนี้แล้วรับประทานยาของรอบใหม่แทน โดยใช้ยาตามปริมาณปกติ ไม่เพิ่มปริมาณยา ไม่รับประทานยาเกินประมาณที่กำหนดในแต่ละครั้ง
การใช้ยา Allopurinol ทำให้ผู้ป่วยมีความเสี่ยงสูงที่จะเจ็บป่วยจากการติดเชื้อ ในขณะใช้ยานี้ แพทย์อาจต้องตรวจผลเลือดอยู่เสมอเพื่อเฝ้าระวังการติดเชื้อ ผู้ป่วยจึงต้องไปพบแพทย์อย่างสม่ำเสมอตามนัดหมาย
ผู้ป่วยควรหยุดใช้ยาทันทีหากพบสัญญาณของอาการแพ้ยา เช่น มีผดผื่นขึ้นที่ผิวหนัง หน้าบวม ปากบวม หายใจติดขัด หรือมีอาการที่เป็นสัญญาณของการติดเชื้อ เช่น มีไข้สูง อ่อนเพลีย ปวดเมื่อยตามกล้ามเนื้อ ท้องร่วง
ส่วนการเก็บรักษายา ควรเก็บบรรจุภัณฑ์ไว้ในที่มิดชิดที่อุณหภูมิห้อง ให้ห่างจากความร้อน ความชื้น และพ้นจากมือเด็ก และกำจัดยาทิ้งไปหากไม่มีความจำเป็นต้องใช้ยาแล้ว
นอกจากนี้ ควรเตรียมรายชื่อยารักษาหรืออาหารเสริมที่กำลังใช้อยู่ในปัจจุบันไว้กับตัวผู้ป่วย เพราะอาจเป็นประโยชน์ต่อแพทย์ทางการรักษาในกรณีเร่งด่วน
ปฏิกิริยาระหว่างยา Allopurinol กับยาอื่น
ยาบางชนิดอาจก่อให้เกิดปฏิกิริยากับยา Allopurinol เช่น
- ยาอะซาไทโอพรีน (Azathioprine)
- ยาไซโคลสปอรีน (Cyclosporine)
- ยาเมอร์แคปโตพิวรีน (Mercaptopurine)
- ยาไดดาโนซีน (Didanosine)
- ยาลดการจับตัวของเลือด เช่น ยาไดคูมารอล (Dicoumarol) และยาวาร์ฟาริน (Warfarin)
ทั้งนี้ อาจมียาชนิดอื่นอีกที่สามารถส่งผลต่อการทำงานของยา Allopurinol ดังนั้น หากกำลังรับประทานยา สมุนไพร หรืออาหารเสริมใดอยู่ ควรแจ้งแพทย์ก่อนทุกครั้ง เพื่อเปลี่ยนยาหรือปรับปริมาณยาให้เหมาะสมกับผู้ป่วย
ผลข้างเคียงจากการใช้ยา Allopurinol
การใช้ยา Allopurinol ย่อมเป็นไปตามดุลพินิจของแพทย์ ว่ามีผลดีต่อตัวผู้ป่วยมากกว่าความเสี่ยงในการเกิดผลข้างเคียงที่เป็นอันตราย และผู้ป่วยจำนวนมากมักไม่เกิดผลข้างเคียงที่เป็นอันตรายแต่อย่างใด
ส่วนผู้ที่มีความเสี่ยงสูงในการได้รับผลข้างเคียงจากการใช้ยา Allopurinol คือผู้ป่วยสูงวัย เนื่องจากสมรรถภาพในการทำงานของไตลดลงตามวัย ทำให้ความสามารถในการขับยาและของเสียออกมาทางปัสสาวะน้อยลงไปด้วย
อย่างไรก็ตาม ผู้ป่วยที่ใช้ยา Allopurinol อาจพบกับผลข้างเคียงที่เกิดขึ้นได้บ่อย ๆ เช่น
- ปวดตามข้อต่าง ๆ เช่น ข้อมือ ข้อต่อนิ้วเท้า หัวเข่า
- มีอาการข้อยึด ตึงแข็ง หรือบวมตามข้อต่อ
- มีผื่นขึ้นตามผิวหนัง
- ง่วงซึม
- ปวดท้อง รู้สึกเหมือนท้องไส้ปั่นป่วน
- คลื่นไส้ วิงเวียน
- ท้องร่วง
หากพบอาการดังกล่าวข้างต้น แล้วอาการที่เกิดขึ้นไม่หายไป ไม่ทุเลาลง หรืออาการหนักขึ้นเมื่อเวลาผ่านไป ควรรีบไปพบแพทย์เพื่อตรวจรักษาอาการ