ความหมาย อะนอเร็กเซีย (Anorexia)
Anorexia (อะนอเร็กเซีย) หรือที่เรียกกันทั่วไปว่าโรคคลั่งผอม คือปัญหาสุขภาพจิตอย่างหนึ่ง จัดอยู่ในกลุ่มโรคการกินผิดปกติ (Eating Disorders) โดยผู้ป่วยโรคนี้จะมีน้ำหนักตัวที่ต่ำกว่าเกณฑ์ กลัวน้ำหนักขึ้น รวมทั้งมีความคิดเกี่ยวกับน้ำหนักตัวและรูปร่างที่ผิดไปจากความเป็นจริง เนื่องจากผู้ป่วยให้คุณค่ากับการควบคุมน้ำหนักและรูปร่างมากเกินไป ส่งผลให้ใช้วิธีควบคุมน้ำหนักและรักษารูปร่างที่เสี่ยงต่อสุขภาพ ไม่ว่าจะเป็นการจำกัดปริมาณอาหารที่รับประทาน ล้วงคออาเจียนหลังรับประทานอาหาร ใช้ยาระบาย ยาลดน้ำหนัก หรือยาขับปัสสาวะ รวมทั้งหักโหมออกกำลังกาย เพื่อป้องกันไม่ให้น้ำหนักตัวเพิ่มขึ้นและลดน้ำหนักต่อไปเรื่อย ๆ
Anorexia ไม่ใช่โรคที่เกี่ยวเนื่องกับอาหาร แต่เกี่ยวข้องกับพฤติกรรมการรับประทานอาหารที่ส่งผลเสียต่อสุขภาพ โดยผู้ป่วยยึดพฤติกรรมดังกล่าวเป็นวิธีควบคุมสภาวะอารมณ์ที่เผชิญอยู่ ผู้ป่วยโรคนี้และโรคการกินผิดปกติโรคอื่นมักป่วยเป็นโรคทางจิตเวชอื่น ๆ ร่วมด้วย เช่น โรคซึมเศร้า ใช้สารเสพติด โรควิตกกังวล หรือบุคลิกภาพแปรปรวนแบบก้ำกึ่ง (Borderline Personality Disorder) ทั้งนี้ ผู้ป่วย Anorexia ยังประสบภาวะแทรกซ้อนเกี่ยวกับสุขภาพกายหลายอย่าง เช่น กระดูกพรุน โลหิตจาง รวมทั้งประสบปัญหาสุขภาพหัวใจขั้นร้ายแรงหรือไตวาย อันนำไปสู่การเสียชีวิต
อาการของอะนอเร็กเซีย
ผู้ป่วยโรคนี้มักปรากฏสัญญาณหรืออาการทางสุขภาพกายที่เกี่ยวกับลักษณะของคนที่อดอาหาร อย่างไรก็ตาม อาการป่วยของโรคนี้ยังเกี่ยวเนื่องกับอารมณ์ พฤติกรรม และความรู้สึก โดยอาการของโรค Anorexia แบ่งออกเป็นอาการของสุขภาพกาย และอาการทางด้านอารมณ์และพฤติกรรม ดังนี้
อาการของสุขภาพกาย
- น้ำหนักตัวลดลงมากเกินไป
- รูปร่างผอมแห้ง ไม่มีกล้ามเนื้อและไขมัน
- จำนวนเม็ดเลือดผิดปกติ
- เกิดอาการเมื่อยล้า เวียนศีรษะคล้ายเป็นลม
- นอนไม่หลับ
- นิ้วเขียวซีด ปากแห้ง รวมทั้งผิวแห้งและเหลือง
- ผมบางและร่วง รวมทั้งมีขนอ่อนขึ้นตามร่างกาย
- ประจำเดือนไม่มา
- ท้องผูก
- ทนหนาวไม่ได้
- หัวใจเต้นผิดจังหวะ และหัวใจเต้นช้าผิดปกติ
- ความดันโลหิตต่ำ
- กระดูกเปราะ
- แขนหรือขาบวม
อาการทางด้านอารมณ์และพฤติกรรม ผู้ป่วยโรค Anorexia จะปรากฏพฤติกรรมการลดน้ำหนักด้วยการจำกัดปริมาณอาหารที่รับประทาน อดอาหาร หรือหักโหมออกกำลังกายมากเกินไป ผู้ป่วยบางรายอาจล้วงคออาเจียนอาหารที่รับประทานเข้าไป หรือใช้ยาระบาย ยาสวนทวารหนัก ยาลดน้ำหนัก หรือผลิตภัณฑ์สมุนไพรอื่น ๆ เพื่อลดน้ำหนักและรักษารูปร่าง นอกจากนี้ ผู้ป่วยยังมีสภาวะอารมณ์และพฤติกรรม ดังนี้
- คิดฟุ้งซ่านเกี่ยวกับการรับประทานอาหาร รวมทั้งนับจำนวนแคลอรี่ของอาหารที่จะรับประทานอยู่เสมอ
- ปฏิเสธที่จะรับประทานอาหารหรือสิ่งต่าง ๆ รวมทั้งมักโกหกว่ารับประทานอาหารไปมากน้อยเท่าไหร่ เพื่อเลี่ยงการรับประทานอาหาร
- เกิดอาการเบื่ออาหาร
- กังวลและกลัวว่าน้ำหนักตัวเพิ่มหรืออ้วนขึ้นทั้งที่น้ำหนักตัวน้อยเกินไป รวมทั้งไม่รักษาระดับน้ำหนักตัวให้อยู่ในเกณฑ์ปกติ
- หมกมุ่นอยู่กับมายาคติการมีรูปร่างที่ดี รวมทั้งไม่ยอมรับว่าน้ำหนักตัวต่ำจนอยู่ในเกณฑ์อันตราย รวมทั้งรู้สึกภูมิใจเมื่อน้ำหนักลดลงอย่างต่อเนื่อง
- ไร้อารมณ์ความรู้สึกกับสิ่งรอบตัว รวมทั้งแยกตัวออกจากสังคม
- หงุดหงิดและฉุนเฉียวง่าย หรือรู้สึกซึมเศร้า
- ความสนใจเกี่ยวกับเรื่องเพศลดลง
- คิดฆ่าตัวตาย
นอกจากนี้ ผู้ที่สงสัยว่าบุคคลในครอบครัวหรือบุคคลรอบข้างอาจป่วยเป็น Anorexia อาจสังเกตได้ว่ามีพฤติกรรมที่เสี่ยงป่วยเป็นโรคนี้หรือไม่ โดยสังเกตว่าบุคคลเหล่านั้นมักงดรับประทานอาหารมื้อต่าง ๆ เลี่ยงที่จะไม่กินอาหาร หรือกินอาหารบางอย่างซึ่งมักเป็นอาหารที่มีไขมันหรือพลังงานต่ำ ชอบทำอาหารให้ผู้อื่นแต่ปฏิเสธที่จะกินเอง หรือมีพฤติกรรมการรับประทานที่เป็นรูปแบบ เช่น คายอาหารออกมาหลังจากเคี้ยวแล้ว หรือเลี่ยงการรับประทานอาหารต่อหน้าผู้อื่น ทั้งนี้ ผู้ป่วยอาจมีพฤติกรรมซ้ำ ๆ หรือแสดงถึงความกังวล เช่น ชั่งน้ำหนัก วัดสัดส่วน ส่องกระจก หรือบ่นว่าอ้วนอยู่เป็นประจำ หากมีบุคคลรอบข้างที่เข้าข่ายลักษณะนี้ควรพาไปปรึกษาแพทย์ เนื่องจากโรคนี้เป็นอันตรายต่อสุขภาพถึงชีวิตได้ ซึ่งผู้ป่วย Anorexia ไม่ต้องการรับการรักษาให้มีสุขภาพที่ดี แต่ต้องการลดน้ำหนักให้ผอมต่อไป
สาเหตุของอะนอเร็กเซีย
สาเหตุของโรค Anorexia ยังไม่ปรากฏเฉพาะเจาะจง อย่างไรก็ตาม โรคนี้อาจเกิดจากปัจจัยต่าง ๆ ที่เกิดขึ้นร่วมกัน ได้แก่ ยีนหรือพันธุกรรม สภาวะจิตใจ และสภาพแวดล้อม ดังนี้
- ยีนหรือพันธุกรรม ข้อสันนิษฐานเกี่ยวกับยีน การทำงานในสมอง หรือระดับฮอร์โมนที่เปลี่ยนแปลงไปนั้น นับเป็นข้อสันนิษฐานว่าอาจเป็นสาเหตุของโรค Anorexia โดยการเปลี่ยนแปลงดังกล่าวอาจกระทบสมองส่วนใดส่วนหนึ่งที่ทำหน้าที่ควบคุมน้ำย่อย หรืออาจกระตุ้นให้ผู้ป่วยรู้สึกกังวลและรู้สึกผิดเมื่อรับประทานอาหารหลังอดอาหารหรือหักโหมออกกำลังกาย ทั้งนี้ ผู้ที่มีบุคคลในครอบครัวป่วยเป็นโรคผิดปกติเกี่ยวกับการกิน โรคซึมเศร้า หรือใช้สารเสพติด ก็เสี่ยงเป็น Anorexia ได้ เนื่องจากอาการป่วยหรือการใช้สารเสพติดของบุคคลในครอบครัวต่างส่งผลต่อยีนอันนำไปสู่โรคนี้
-
สภาวะจิตใจ สภาวะอารมณ์หรือจิตใจบางอย่างอาจส่งผลให้ป่วยเป็น Anorexia ได้ โดยผู้ที่ประสบสภาวะอารมณ์หรือจิตใจต่อไปนี้อาจเสี่ยงป่วยเป็นโรคนี้
- มีแนวโน้มเป็นโรคซึมเศร้าและวิตกกังวล
- จัดการความเครียดได้ไม่ดี
- กังวล กลัว และคิดมากเกี่ยวกับอนาคตมากเกินไป
- เสพติดความสมบูรณ์แบบ หรือตั้งมาตรฐานและเป้าหมายในชีวิตออย่างเคร่งครัด
- ตึงเครียดเกินไป
- มีพฤติกรรมย้ำคิดย้ำทำ
-
สภาพแวดล้อม การเข้าสู่วัยเจริญพันธุ์อาจเป็นปัจจัยที่นำไปสู่การป่วยโรคนี้ได้ เนื่องจากฮอร์โมนเปลี่ยนแปลง อารมณ์แปรปรวน และเกิดความเครียดกังวลต่าง ๆ อันเกี่ยวเนื่องกับพฤติกรรมของโรค Anorexia หรือการรับเอาวัฒนธรรมและค่านิยมความผอมที่เผยแพร่ตามสื่อต่าง ๆ ทั้งนี้ ยังปรากฏปัจจัยจากสภาพแวดล้อมอื่น ๆ ที่ทำให้เสี่ยงเป็นโรคคลั่งผอม ดังนี้
- แรงกดดันจากเพื่อนที่นิยมรูปร่างผอม โดยเฉพาะในกลุ่มวัยรุ่นหญิง หรือถูกกลั่นแกล้งล้อเลียนเรื่องรูปร่างและน้ำหนัก
- อาชีพหรืองานอดิเรกบางอย่างที่ได้รับความชื่นชม โดยกิจกรรมเหล่านั้นมาพร้อมภาพลักษณ์ของผู้ที่มีรูปร่างผอม เช่น นักเต้น นางแบบ หรือนักกีฬาบางประเภท
- เหตุการณ์ที่ก่อให้เกิดความเครียด
- เผชิญกับปัญหาความสัมพันธ์ในครอบครัว
- ถูกทำร้ายร่างกายหรือทารุณกรรมทางเพศ
การวินิจฉัยอะนอเร็กเซีย
แพทย์จะวินิจฉัยว่าผู้ป่วยเข้าข่ายป่วยเป็นโรค Anorexia หรือไม่ โดยเบื้องต้นจะซักถามคำถามทั่วไปเกี่ยวกับน้ำหนักตัวและพฤติกรรมการรับประทานอาหาร เช่น น้ำหนักตัวที่ลดลงในช่วงที่ผ่านมา ความรู้สึกหรือความกังวลเกี่ยวกับน้ำหนักตัว พฤติกรรมล้วงคออาเจียน ปัญหาประจำเดือนไม่มาหรือปัญหาเกี่ยวกับการรับประทานอาหาร ผู้ป่วยต้องตอบคำถามเหล่านี้ตามความจริง เพื่อให้ประมวลผลออกมาได้อย่างแม่นยำ ทั้งนี้ แพทย์อาจตรวจด้านอื่น ๆ สำหรับประกอบการวินิจฉัย ดังนี้
- ตรวจร่างกาย แพทย์จะวัดน้ำหนักและส่วนสูงผู้ป่วย โดยผู้ป่วย Anorexia จะมีน้ำหนักที่ต่ำกว่ามาตรฐาน ซึ่งคิดเป็นร้อยละอย่างน้อย 15 รวมทั้งวัดดัชนีมวลกาย (Body Mass Index: BMI) โดยทั่วไปแล้ว ผู้ใหญ่จะมีค่าดัชนีมวลกายในเกณฑ์สุขภาพดีอยู่ที่ 18.5-24.9 หากป่วยเป็นโรคดังกล่าวมักจะมีค่าดัชนีมวลกายต่ำกว่า 17.5 นอกจากนี้ แพทย์จะตรวจร่างกายด้านอื่น เช่น อัตราการเต้นของหัวใจ ความดันโลหิตและอุณหภูมิร่างกาย ปัญหาสุขภาพเล็บและผม ฟังหัวใจและปอด และตรวจท้อง
- ตรวจทางห้องปฏิบัติการ แพทย์จะทำการตรวจเลือดเพิ่มเติม ได้แก่ ตรวจความสมบูรณ์ของเม็ดเลือด (Complete Blood Count: CBC) ตรวจอิเล็กโทรไลต์ (Electrolites) และโปรตีนในเลือด ตรวจการทำงานของตับ ไต และต่อมไทรอยด์ รวมทั้งตรวจปัสสาวะ
- วัดผลทางจิตวิทยา แพทย์จะพูดคุยซักถามเกี่ยวกับอารมณ์ ความรู้สึก และพฤติกรรมการกินของผู้ป่วย ทั้งนี้ ผู้ป่วยอาจต้องทำแบบประเมินตนเองทางจิตวิทยาเพื่อวัดผลด้วย
- ตรวจวิธีอื่น แพทย์จะเอกซเรย์ผู้ป่วยเพื่อตรวจความหนาแน่นมวลกระดูก การแตกหรือเปราะของกระดูก และตรวจหาโรคปอดบวมหรือปัญหาสุขภาพหัวใจ ทั้งนี้ ผู้ป่วยอาจต้องเข้ารับการตรวจคลื่นไฟฟ้าหัวใจ (ECG) เพื่อดูว่าหัวใจผิดปกติหรือไม่ การตรวจทั้งหมดนี้จะช่วยให้แพทย์สามารถประมวลผลว่าร่างกายผู้ป่วยใช้พลังงานไปเท่าไหร่ ซึ่งช่วยให้วางแผนการบริโภคสารอาหารให้เพียงพอกับความต้องการของผู้ป่วย
การวินิจฉัยโรคทางจิตเวช (Diagnotis and Statistical Manual of Mental Disorders: DSM-5) กำหนดเกณฑ์ที่ระบุลักษณะของผู้ป่วย Anorexia ไว้ ดังนี้
- จำกัดการรับประทานอาหาร ผู้ป่วย Anorexia จะรับประทานอาหารน้อยกว่าความต้องการของร่างกาย เพื่อรักษาน้ำหนักตัวให้น้อยกว่าเกณฑ์มาตรฐานตามอายุและส่วนสูงของตัวเอง
- กลัวน้ำหนักขึ้น กลัวและกังวลว่าน้ำหนักตัวจะขึ้นหรือมีรูปร่างอ้วนเป็นอย่างมาก อีกทั้งพยายามลดน้ำหนักอยู่เสมอทั้งที่น้ำหนักตัวน้อยเกินไป เช่น ล้วงคออาเจียน หรือใช้ยาระบาย
- มีปัญหากับรูปร่างตนเอง ผู้ป่วยไม่รู้สึกกังวลที่มีน้ำหนักตัวต่ำกว่าเกณฑ์มาตรฐาน โดยให้คุณค่าตัวเองผูกติดอยู่กับน้ำหนัก รวมทั้งรับรู้ภาพลักษณ์หรือรูปร่างของตนเองที่บิดเบือนไปจากความเป็นจริง
การรักษาอะนอเร็กเซีย
ปัญหาสำคัญในการรักษาโรค Anorexia นั้น เกิดจากความคิดหรือเหตุผลของผู้ป่วยที่ต่อต้านการรักษา ได้แก่ คิดว่าไม่จำเป็นต้องเข้ารับการบำบัด กลัวว่าน้ำหนักจะเพิ่มขึ้นมา รวมทั้งไม่ได้มองพฤติกรรมของตนเองเป็นอาการป่วย แต่เป็นลักษณะการใช้ชีวิตแบบหนึ่งเท่านั้น ผู้ป่วยจำเป็นต้องได้รับการรักษา เนื่องจากการบำบัดและรักษาผู้ป่วยอย่างต่อเนื่องจะช่วยให้มีสุขภาพดี รวมทั้งอาการของโรคไม่กำเริบขึ้นเมื่อต้องเผชิญภาวะเครียดรุนแรงหรือสถานการณ์กระตุ้นต่าง ๆ การรักษาโรค Anorexia ประกอบด้วยการรักษาที่ต้องให้คำปรึกษาในการบำบัด การรักษาด้วยยา และการดูแลสุขภาพและโภชนาการ เนื่องจากโรคนี้เป็นโรคที่มีความซับซ้อน กลุ่มผู้ทำการรักษาจึงมีหลากหลาย ได้แก่ ผู้ให้คำปรึกษาพิเศษ จิตแพทย์ นักจิตวิทยา พยาบาลพิเศษ และนักโภชนาการ ทั้งนี้ อาจมีกุมารแพทย์หรือหมอเด็กเข้ามาร่วมทำการรักษาด้วยในกรณีที่ผู้ป่วยเป็นเด็กหรือวัยรุ่น การรักษา Anorexia มีเป้าหมายช่วยให้ผู้ป่วยมีน้ำหนักตัวกลับมาเป็นปกติ รักษาภาวะทางจิตอันเกี่ยวเนื่องกับรูปร่างของตัวเอง รวมทั้งทำให้ผู้ป่วยหายป่วยจากโรคดังกล่าวในระยะยาวหรือฟิ้นตัวได้อย่างเต็มที่
โรค Anorexia สามารถรักษาและบำบัดได้ด้วยวิธี ดังนี้
จิตบำบัด ผู้ป่วยโรค Anorexia จะได้รับการรักษาด้วยวิธีจิตบำบัดต่าง ๆ ซึ่งขึ้นอยู่กับระดับความรุนแรงของอาการ โดยวิธีนี้มักใช้เวลารักษาอย่างน้อย 6-12 เดือน หรือมากกว่านั้น วิธีจิตบำบัดที่ใช้รักษา Anorexia มีดังนี้
- Focal Psychodynamic Therapy: FPT วิธีนี้ตั้งอยู่บนฐานแนวคิดที่ว่าภาวะทางจิตที่เกิดขึ้นอาจเกี่ยวเนื่องกับปมขัดแย้งที่เกิดขึ้นในวัยเด็กหรือในอดีต โดยผู้ป่วยไม่สามารถแก้ไขปมขัดแย้งนั้นได้ นักบำบัดจะกระตุ้นให้ผู้ป่วยนึกถึงปมขัดแย้งที่ส่งผลต่อตัวเอง เพื่อช่วยให้หาวิธีรับมือกับพฤติกรรม ความคิด และความรู้สึก เมื่อต้องเผชิญสถานการณ์ที่ทำให้เครียด
- จิตบำบัดสัมพันธภาพระหว่างบุคคล (Interpersonal Therapy: IPT) วิธีนี้ตั้งอยู่บนฐานแนวคิดที่ว่าความสัมพันธ์ต่อผู้คนรอบข้างและสิ่งแวดล้อมภายนอกมีอิทธิพลต่อสุขภาพจิต ผู้ป่วย Anorexia อาจรู้สึกกังวล มีความนับถือตัวเองต่ำ หรือไม่เชื่อมั่นในตัวเอง ซึ่งเกิดจากการมีปัญหาปฏิสัมพันธ์กับผู้คน นักบำบัดจะพิจารณาความสัมพันธ์กับบุคคลรอบข้างของผู้ป่วยที่ส่งผลหรือเกี่ยวข้องกับพฤติกรรมและความคิดแง่ลบ รวมทั้งดูว่าจะแก้ไขพฤติกรรมและความคิดดังกล่าวได้อย่างไร
- ความคิดเและพฤติกรรมบำบัด (Cognitive Behavioural Therapy: CBT) วิธีนี้ตั้งบนฐานแนวคิดที่ว่าทัศนคติของผู้ป่วยที่มีต่อเหตุการณ์ต่าง ๆ ส่งผลต่อพฤติกรรมที่แสดงออกมา กล่าวคือ พฤติกรรมสามารถสะท้อนว่าผู้ป่วยคิดและรู้สึกอย่างไร นักบำบัดจะทำให้ผู้ป่วยเห็นว่าภาวะที่เกิดขึ้นนั้นเกิดจากความคิดที่ผิดเพี้ยนเกี่ยวกับอาหารและการรับประทานอาหาร โดยนักบำบัดจะปรับความคิดเพื่อช่วยให้ผู้ป่วยมีความคิดในการรับประทานไปในทางที่เป็นจริงและส่งผลดีต่อสุขภาพ อันนำไปสู่การปรับพฤติกรรมต่อไป
-
Cognitive Analytic Therapy (CAT) วิธีนี้ตั้งอยู่บนฐานแนวคิดที่ว่าปัญหาสุขภาพจิตที่เกิดขึ้นเกิดจากรูปแบบพฤติกรรมหรือความคิดที่ไม่ส่งผลดีต่อสุขภาพ อันเป็นผลมาจากวัยเด็กหรือในอดีต ขั้นตอนการรักษามี 3 ขั้นตอน ได้แก่
- พิจารณาเหตุการณ์ที่เคยเกิดขึ้น ซึ่งอาจอธิบายสาเหตุที่ทำให้เกิดรูปแบบพฤติกรรมหรือความคิดที่ส่งผลเสียต่อสุขภาพ (Reformation)
- ทำให้เห็นว่ารูปแบบพฤติกรรมและความคิดดังกล่าวนำไปสู่โรค Anorexia ได้อย่างไร (Recognition)
- ระบุความเปลี่ยนแปลงที่สามารถทำให้เลิกรูปแบบพฤติกรรมและความคิดที่ส่งผลเสียต่อสุขภาพได้ (Revision)
- การบำบัดครอบครัว (Family Interventions) ครอบครัวนับว่ามีบทบาทสำคัญในการรักษาในกรณีที่ผู้ป่วย Anorexia เป็นเด็กหรือมีอายุน้อย เนื่องจากปัญหาสุขภาพจิตนี้ส่งผลต่อบุคคลในครอบครัวทุกคน การบำบัดครอบครัวจะมุ่งเน้นไปที่ผลกระทบโรคที่ส่งผลต่อครอบครัว ซึ่งจะช่วยให้เข้าใจลักษณะของโรคและวิธีที่บุคคลในครอบครัวจะช่วยเหลือผู้ป่วยด้วย
วิธีเพิ่มน้ำหนัก แผนการรักษาโรคนี้จะครอบคลุมคำแนะนำในการรรับประทานอาหารเพื่อเพิ่มน้ำหนักตัวอย่างปลอดภัย โดยแพทย์จะให้ผู้ป่วยเริ่มรับประทานอาหารในปริมาณน้อย และค่อย ๆ เพิ่มปริมาณอาหารอย่างช้า ๆ เมื่อร่างกายปรับตัวได้แล้ว เนื่องจากการเพิ่มปริมาณอาหารเร็วเกินไปสามารถเกิดภาวะแทรกซ้อนได้ โดยมีเป้าหมายให้น้ำหนักตัวเพิ่มขึ้นสัปดาห์ละ 0.5 กิโลกรัม ผู้ป่วยเด็กหรือวัยรุ่นจะได้รับการตรวจอย่างสม่ำเสมอ เพื่อติดตามผลการรักษาให้เป็นไปตามเป้าหมาย การเพิ่มน้ำหนักตัวจะช่วยให้ผู้ป่วยกลับมารับประทานอาหารครบ 3 มื้อเป็นปกติ
ยารักษา โรค Anorexia ไม่สามารถรักษาได้ด้วยยาเพียงอย่างเดียว แพทย์มักใช้รักษาควบคู่กับวิธีบำบัด โดยใช้ยาเพื่อรักษาภาวะทางจิตอื่น ๆ ที่เกิดขึ้นร่วมด้วย เช่น โรคย้ำคิดย้ำทำ หรือโรคซึมเศร้า ยาที่ใช้รักษาผู้ป่วย Anorexia ได้แก่ ยากลุ่มเอสเอสอาร์ไอ และยาโอแลนซาปีน ดังนี้
- ยากลุ่มเอสเอสอาร์ไอ (Selective Serotonin Ruptake Inhibitors: SSRIs) ยานี้จัดเป็นยารักษาอาการซึมเศร้าชนิดหนึ่ง มักใช้รักษาผู้ที่ประสบปัญหาเกี่ยวกับภาวะทางจิต เช่น โรคซึมเศร้า หรือวิตกกังวล อย่างไรก็ตาม แพทย์จะจ่ายยากลุ่มเอสเอสอาร์ไอให้ผู้ป่วยในกรณีที่น้ำหนักตัวผู้ป่วยเริ่มเพิ่มขึ้นแล้ว เนื่องจากการใช้ยาดังกล่าวขณะที่ผู้ป่วยมีน้ำหนักตัวน้อยมากเกินไปเสี่ยงได้รับผลข้างเคียงสูง ทั้งนี้ ผู้ที่อายุต่ำกว่า 18 ปี ควรใช้ยากลุ่มเอสเอสอาร์ไออย่างระมัดระวัง
- ยาโอแลนซาปีน (Olanzapine) ผู้ป่วย Anorexia ที่ไม่ตอบสนองต่อการรักษาด้วยวิธีอื่น จะได้รับยานี้เพื่อลดอาการวิตกกังวลเกี่ยวกับน้ำหนักตัวและการรับประทานอาหาร
การแพทย์ทางเลือก วิธีนี้ไม่ใช่วิธีรักษาตามหลักแพทย์แผนปัจจุบัน ยังไม่ปรากฏงานวิจัยเกี่ยวกับการรักษาโรค Anorexia ด้วยการแพทย์ทางเลือก อย่างไรก็ดี วิธีนี้อาจช่วยลดอาการวิตกกังวลลงได้ โดยทำให้ผู้ป่วยรู้สึกดีและผ่อนคลายมากขึ้น การแพทย์ทางเลือกที่ใช้รักษาอาการวิตกกังวล ได้แก่ การฝังเข็ม การนวด โยคะ และการนั่งสมาธิ ผู้ที่ต้องการรักษาด้วยวิธีดังกล่าวควรปรึกษาแพทย์ก่อน เพื่อให้ทราบและเข้าใจเกี่ยวกับประโยชน์และความเสี่ยงจากการรักษาด้วยการแพทย์ทางเลือกวิธีต่าง ๆ
การรักษาปัญหาสุขภาพอื่น ผู้ป่วย Anorexia ที่เกิดปัญหาสุขภาพอื่น ๆ อันเป็นผลจากโรคดังกล่าว จะได้รับการรักษาอย่างอื่นร่วมด้วยตามกรณี ดังนี้
- ดูแลสุขภาพช่องปาก ผู้ป่วยที่ล้วงคออาเจียนเป็นประจำ จะได้รับคำแนะนำในการดูแลสุขภาพช่องปาก เพื่อป้องกันกรดในกระเพาะอาหารทำลายเคลือบฟันบนผิวฟัน เช่น แพทย์อาจแนะนำให้ผู้ป่วยแปรงฟันทันทีหลังอาเจียน เพื่อเลี่ยงปัญหาเคลือบฟันสึกกร่อน หรือแนะนำให้เลี่ยงอาหารที่มีกรดและใช้น้ำยาบ้วนปาก รวมทั้งไปพบทันตแพทย์อย่างสม่ำเสมอ
- ลดยาระบาย แพทย์จะแนะนำให้ผู้ป่วยที่ใช้ยาระบายหรือยาขับปัสสาวะเพื่อลดน้ำหนัก ค่อย ๆ ลดปริมาณการใช้ยาเพื่อให้ร่างกายปรับตัวได้ เนื่องจากการหยุดใช้ยาทันทีสามารถก่อให้เกิดอาการคลื่นไส้และท้องผูก
ภาวะแทรกซ้อนจากอะนอเร็กเซีย
ผู้ป่วยโรค Anorexia ที่ไม่ได้รับการรักษาเสี่ยงเกิดภาวะแทรกซ้อนจากโรคได้หลายประการ ซึ่งอาจเกิดภาวะแทรกซ้อนอย่างรุนแรงหรืออันตรายถึงขั้นเสียชีวิต ทั้งนี้ ผู้ป่วยที่ไม่ได้มีน้ำหนักตัวต่ำกว่าเกณฑ์มาตรฐานมากนักก็อาจเสียชีวิตกะทันหันได้ เนื่องจากเกิดหัวใจเต้นผิดจังหวะและระดับอิเล็กโทรไลต์ไม่สมดุล ภาวะแทรกซ้อนที่เกิดจากโรค Anorexia แบ่งเป็นภาวะแทรกซ้อนที่เกิดกับสุขภาพกาย และภาวะแทรกซ้อนที่เกิดกับสุขภาพจิต ดังนี้
ภาวะแทรกซ้อนจากสุขภาพกาย
- โลหิตจาง
- เกิดโรคเกี่ยวกับสุขภาพหัวใจ เช่น ลิ้นหัวใจยาว หัวใจเต้นผิดจังหวะ หัวใจเต้นช้าผิดปกติ หรือหัวใจวาย
- มีปัญหาเกี่ยวกับสมองและระบบประสาท เช่น เกิดอาการชัก สมาธิสั้น หรือความจำไม่ดี
- มีปัญหาเกี่ยวกับกล้ามเนื้อและกระดูก เช่น กระดูกอ่อนแอหรือกระดูกพรุน สูญเสียมวลกระดูก ส่งผลให้เสี่ยงกระดูกหักได้ในอนาคต รวมทั้งมีปัญหาเกี่ยวกับพัฒนาการทางร่างกายสำหรับผู้ป่วยเด็กและวัยรุ่น
- ประสบปัญหาสุขภาพทางเพศ ได้แก่ มีลูกยากและประจำเดือนไม่มาสำหรับผู้หญิง หรือฮอร์โมนเทสโทสเทอโรนลดลงและหย่อนสมรรถภาพทางเพศสำหรับผู้ชาย
- มีปัญหาเกี่ยวกับระบบทางเดินอาหาร เช่น ท้องผูก ท้องอืด หรือคลื่นไส้
- อิเล็กโทรไลต์ผิดปกติ เช่น โพแทสเซียม โซเดียม หรือคลอไรด์ในเลือดต่ำ
- มีปัญหาเกี่ยวกับไต
- พยายามฆ่าตัวตาย
- เกิดโรคเกี่ยวกับการกินผิดปกติอย่างอื่นร่วมด้วย เช่น บูลิเมีย (Bulimia Nervosa) โดยผู้ป่วยจะทำให้ตัวเองป่วย หรือใช้ยาระบายเพื่อขับอาหารออกจากร่างกาย
ภาวะแทรกซ้อนจากสุขภาพจิต
- ประสบภาวะซึมเศร้า วิตกกังวล หรือโรคอารมณ์แปรปรวน
- ประสบภาวะบุคลิกภาพแปรปรวน (Personality Disorders)
- ป่วยเป็นโรคย้ำคิดย้ำทำ (Obsessive-Compulsive Disorders)
- ใช้แอลกอฮอล์หรือสารเสพติดอื่น ๆ
นอกจากนี้ ผู้ป่วย Anorexia ที่ตั้งครรภ์ สามารถประสบภาวะแทรกซ้อนอื่น ๆ ขึ้นมา ได้แก่ แท้งบุตร คลอดก่อนกำหนด ทารกมีน้ำหนักตัวต่ำ และอาจต้องเข้ารับการผ่าคลอด
การป้องกันอะนอเร็กเซีย
โรค Anorexia ยังไม่ปรากฏวิธีป้องกันแน่ชัด อย่างไรก็ดี ผู้ป่วยโรคนี้สามารถรักษาได้ทันทีที่เริ่มป่วย การบำบัดและกระตุ้นให้ผู้ป่วยมีพฤติกรรมการรับประทานอาหารที่ดี รวมทั้งมีทัศนคติเกี่ยวกับอาหารและรูปร่างของตัวเองตามความเป็นจริงจะช่วยป้องกันไม่ให้อาการป่วยแย่ลง ทั้งนี้ ผู้ป่วยสามารถดูแลรักษาอาการของตนเองได้ ดังนี้
- รับการบำบัดอย่างเคร่งครัด ผู้ป่วยควรปฏิบัติตามแผนการรักษาอย่างเคร่งครัด โดยเข้ารับการบำบัดให้ครบ และพยายามรับประทานอาหารให้ได้ตามแผนการรักษา
- รับประทานวิตามินหรือเกลือแร่เสริม ผู้ป่วยที่ไม่สามารถรับประทานอาหารได้ อาจปรึกษาแพทย์เพื่อรับวิตามินและเกลือแร่เสริมอย่างเหมาะสม เพื่อให้ร่างกายได้รับสารอาหารครบถ้วน
- เลี่ยงการอยู่คนเดียว พยายามไม่แยกตัวจากสมาชิกในครอบครัวหรือเพื่อนมาอยู่คนเดียว ควรทำความเข้าใจว่าบุคคลเหล่านั้นจะดูแลและเอาใจใส่ผู้ป่วยอย่างใกล้ชิด
- เลี่ยงชั่งน้ำหนัก ผู้ป่วยควรเลี่ยงชั่งน้ำหนักหรือส่องกระจกบ่อย ๆ เนื่องจากพฤติกรรมเหล่านี้จะกระตุ้นให้ผู้ป่วยไม่ปรับพฤติกรรมและความคิดในการลดน้ำหนัก
ผู้ป่วย Anorexia หรือผู้ที่มีบุคคลใกล้ชิดป่วยเป็นโรคนี้ ควรปรึกษาแพทย์หรือนักบำบัดเพื่อขอคำแนะนำเกี่ยวกับการรับมือสิ่งเร้าจากสื่อ วัฒนธรรม หรือสังคมรอบข้างที่กระตุ้นให้ผู้ป่วยลดน้ำหนัก รวมทั้งสมาชิกในครอบครัวและบุคคลรอบข้างผู้ป่วยควรให้กำลังใจผู้ป่วยอย่างใกล้ชิด เพื่อให้การรักษาประสบความสำเร็จ