Captopril (แคปโตพริล)

Captopril (แคปโตพริล)

Captopril (แคปโตพริล) คือ ยาต้านเอนไซม์เอซีอี ใช้รักษาผู้ป่วยความดันโลหิตสูง ลดความเสี่ยงการเกิดภาวะหัวใจล้มเหลว ควบคุมอาการหลังเกิดภาวะหัวใจขาดเลือดเฉียบพลัน และอาจใช้ในภาวะที่มีโปรตีนรั่วจากไตจากโรคเบาหวาน หรือความดันโลหิตสูง นอกจากนี้ อาจใช้ Captopril เพื่อรักษาอาการอื่น ๆ ตามดุลยพินิจของแพทย์

Captopril

เกี่ยวกับยา Captopril

กลุ่มยา ยาต้านเอนไซม์เอซีอี
ประเภทยา ยาตามใบสั่งแพทย์ 
สรรพคุณ รักษาความดันโลหิตสูง และภาวะหัวใจล้มเหลว
กลุ่มผู้ป่วย เด็กและผู้ใหญ่
รูปแบบของยา ยารับประทาน

คำเตือนในการใช้ยา

  • ผู้มีประวัติแพ้ยา Captopril หรือยาต้านเอนไซม์เอซีอีอื่น ๆ ไม่ควรใช้ยานี้
  • ห้ามใช้ยาชนิดนี้ในหญิงมีครรภ์เด็ดขาด หากตั้งครรภ์หลังใช้ยา ควรหยุดใช้ยาและแจ้งให้แพทย์ทราบทันที เนื่องจากยาอาจเป็นอันตรายต่อทารกในครรภ์ได้
  • ผู้ที่กำลังให้นมบุตรต้องหลีกเลี่ยงการให้นมบุตรในช่วงที่กำลังใช้ยานี้ เนื่องจากยาสามารถส่งผ่านทางน้ำนม และอาจเป็นอันตรายต่อเด็กได้
  • ผู้ป่วยโรคไตห้ามใช้ยา Captopril ร่วมกับยาตัวอื่นที่มีส่วนประกอบของยาอะลิสคิเรน
  • ห้ามรับประทานอาหารเสริมที่มีโพแทสเซียมในขณะใช้ยาหากแพทย์ไม่อนุญาต
  • หลีกเลี่ยงการออกแดดหรือการทำกิจกรรมในสภาพแวดล้อมที่มีอากาศร้อนเป็นเวลานาน เพราะอาจเกิดภาวะขาดน้ำได้ง่ายในขณะใช้ยานี้ และควรปรึกษาแพทย์ถึงชนิดและปริมาณของเหลวที่ควรได้รับในแต่ละวัน
  • หลีกเลี่ยงการดื่มแอลกอฮอล์ขณะใช้ยา เนื่องจากอาจส่งผลให้ความดันโลหิตต่ำ และเพิ่มความเสี่ยงในการเกิดผลข้างเคียงจากการใช้ยา

ส่วนผู้ที่มีโรคประจำตัวหรืออยู่ในภาวะต่อไปนี้ ควรแจ้งให้แพทย์ทราบก่อนใช้ยา

  • โรคเบาหวาน
  • โรคไต หรือกำลังฟอกไต
  • โรคตับ
  • โรคระบบเนื้อเยื่อเกี่ยวพัน เช่น กลุ่มอาการมาร์แฟนซินโดรม โรคปากแห้งตาแห้ง โรคหนังแข็ง โรคพุ่มพวง และโรคข้ออักเสบรูมาตอยด์
  • เคยรับการปลูกถ่ายอวัยวะ

ปริมาณการใช้ยา Captopril

ความดันโลหิตสูง

  • เด็กแรกเกิดและเด็กทารก เริ่มให้ยา 0.15 มิลลิกรัม/น้ำหนักตัวเป็นกิโลกรัม และให้ยาสูงสุดไม่เกิน 6 มิลลิกรัม/น้ำหนักตัวเป็นกิโลกรัม โดยแบ่งรับประทาน 2-3 ครั้ง/วัน ตามการตอบสนองของระดับความดันโลหิต
  • เด็กและวัยรุ่น เริ่มจากรับประทานยา 0.3 มิลลิกรัม/น้ำหนักตัวเป็นกิโลกรัม และให้ยาสูงสุดไม่เกิน 6 มิลลิกรัม/น้ำหนักตัวเป็นกิโลกรัม โดยแบ่งรับประทาน 2-3 ครั้ง/วัน ตามการตอบสนองของระดับความดันโลหิต
  • ผู้ใหญ่ เริ่มจากรับประทานยา 12.5 มิลลิกรัม วันละ 2 ครั้ง 1 ชั่วโมงก่อนอาหาร สามารถปรับปริมาณยาได้ภายใน 2-4 สัปดาห์ จากนั้น รับประทานยาอย่างต่อเนื่องที่ปริมาณ 25-50 มิลลิกรัม โดยแบ่งรับประทาน 2 ครั้ง/วัน
  • ผู้สูงอายุ รับประทานยา 6.25 มิลลิกรัม วันละ 2 ครั้ง

โรคไตจากเบาหวาน

  • ผู้ใหญ่ ผู้ป่วยโรคเบาหวานชนิดที่ 1 รับประทานยา 75-100 มิลลิกรัม/วัน โดยแบ่งรับประทานเป็นหลายครั้งตามเหมาะสม

โรคกล้ามเนื้อหัวใจตาย

  • ผู้ใหญ่ อาจเริ่มใช้ยาหลังเกิดภาวะกล้ามเนื้อหัวใจตาย 3-16 วัน โดยเริ่มจากรับประทานยาวันละ 6.25 มิลลิกรัม ตามด้วยยาปริมาณ 12.5 มิลลิกรัม 3 ครั้ง/วัน ติดต่อกัน 2 วัน แล้วอาจเพิ่มเป็น 25 มิลลิกรัม วันละ 3 ครั้ง จากนั้น ให้ยารักษาในปริมาณคงที่ 75-150 มิลลิกรัม โดยแบ่งเป็น 2-3 ครั้ง/วัน

ภาวะหัวใจล้มเหลว 

  • เด็ก รับประทานยา 0.25 มิลลิกรัม/น้ำหนักตัวเป็นกิโลกรัม แล้วอาจเพิ่มเป็น 2.5 หรือ 3.5 มิลลิกรัม/น้ำหนักตัวเป็นกิโลกรัม โดยแบ่งรับประทาน 3 ครั้ง/วัน
  • ผู้ใหญ่ รับประทานยา 6.25-12.5 มิลลิกรัม วันละ 2-3 ครั้ง จากนั้น ให้ยารักษาในปริมาณคงที่ 25 มิลลิกรัม วันละ 2-3 ครั้ง สูงสุดไม่เกิน 50 มิลลิกรัม 3 ครั้ง/วัน

การใช้ยา Captopril

  • ผู้ป่วยต้องใช้ยาตามปริมาณและวิธีการที่แพทย์กำหนดอย่างเคร่งครัด แพทย์อาจพิจารณาปรับปริมาณยาตามความเหมาะสมของผู้ป่วยแต่ละราย ไม่ควรปรับยาหรือรับประทานยาเกินกว่าระยะเวลาที่แพทย์กำหนด
  • โดยปกติ ควรรับประทานยา Captoril ก่อนมื้ออาหาร 1 ชั่วโมง หากลืมรับประทานยา ให้รับประทานยาทันทีที่นึกขึ้นได้ แต่หากใกล้ช่วงเวลาของยารอบถัดไป ให้ข้ามไปรับประทานยาตามเวลาปกติ โดยไม่ต้องเพิ่มปริมาณยาเป็น 2 เท่า
  • ควรดื่มน้ำมาก ๆ ในระหว่างใช้ยา ตรวจวัดระดับความดันโลหิตอยู่เสมอ และแจ้งให้แพทย์ทราบทุกครั้งว่ากำลังใช้ยานี้ก่อนเข้ารับการตรวจรักษาอื่น ๆ เพราะยาชนิดนี้อาจทำให้ผลตรวจผิดพลาดได้
  • หากต้องเข้ารับการผ่าตัด ควรแจ้งให้แพทย์ทราบล่วงหน้าว่ากำลังใช้ยา Captopril อยู่ เพราะผู้ป่วยอาจต้องงดรับประทานยานี้ชั่วคราว  
  • ผู้ป่วยที่ใช้ยานี้เพื่อรักษาความดันโลหิตสูง อาจต้องรับประทานยาชนิดนี้ต่อเนื่องไปตลอดชีวิต แม้อาการจะดีขึ้นแล้วก็ตาม เพราะภาวะความดันโลหิตสูงมักไม่มีอาการบ่งชี้
  • ควรไปพบแพทย์ทันทีหากพบผลข้างเคียงจากการใช้ยา เช่น อาเจียน ท้องร่วง หรือเหงื่อออกมากผิดปกติ นอกจากนี้ ยา Captopril อาจทำให้ผู้ป่วยเผชิญภาวะขาดน้ำ ซึ่งอาจนำไปสู่ภาวะความผิดปกติของเกลือแร่ในร่างกาย ความดันโลหิตต่ำ หรือไตวายได้
  • ควรเก็บยาไว้ในอุณหภูมิห้อง ให้ห่างจากความร้อนและความชื้น โดยปิดขวดยาให้สนิทอยู่เสมอ เพื่อป้องกันยาเสื่อมสภาพ

ผลข้างเคียงจากการใช้ยา Captopril

ผลข้างเคียงที่มักพบได้ทั่วไปจากการใช้ยา Captopril ได้แก่

  • ไอแห้ง
  • มีอาการชา แสบร้อนตามมือและเท้า
  • รู้สึกร้อนวูบวาบ
  • มีผดผื่นขึ้นเล็กน้อย
  • สูญเสียการรับรู้รสอาหาร

การใช้ยา Captopril อาจทำให้ผู้ป่วยมีอาการแพ้ยาได้ เช่น ปวดท้องรุนแรง หายใจลำบาก เป็นลมพิษ มีอาการบวมที่ใบหน้า ปาก ลิ้น และคอ เป็นต้น ซึ่งผู้ป่วยควรหยุดใช้ยาและรีบไปพบแพทย์ทันทีหากมีอาการดังกล่าว

นอกจากนี้ ผู้ป่วยควรสังเกตอาการ และไปพบแพทย์ทันที หากพบผลข้างเคียงที่เป็นอันตราย ดังต่อไปนี้

  • หายใจไม่อิ่ม
  • เจ็บหน้าอก หัวใจเต้นเร็วและแรง
  • ตัวบวม หรือน้ำหนักเพิ่มขึ้นอย่างรวดเร็ว
  • คลื่นไส้ อาเจียน
  • ปัสสาวะน้อยหรือมากกว่าปกติ
  • รู้สึกเวียนศีรษะ คล้ายจะเป็นลม
  • รู้สึกอ่อนแรงหรือป่วยอย่างฉับพลัน เช่น เจ็บคอ มีไข้ หนาวสั่น ไม่สบาย เป็นหวัด หรือเป็นไข้หวัด
  • มีปริมาณโพแทสเซียมในร่างกายสูงมาก จนทำให้รู้สึกวิงเวียนศีรษะ หัวใจเต้นผิดปกติ กล้ามเนื้ออ่อนแรง และเคลื่อนไหวลำบาก