Carvedilol (คาร์วีไดลอล)

Carvedilol (คาร์วีไดลอล)

Carvedilol (คาร์วีไดลอล) คือยาที่ใช้รักษาอาการความดันโลหิตสูง ภาวะหัวใจล้มเหลว หรือภายหลังการเจ็บหน้าอกจากหัวใจขาดเลือด ทั้งยังอาจใช้รักษาอาการอื่น ๆ นอกเหนือจากที่กล่าวไว้ข้างต้นเช่นกัน

Carvedilol เป็นยาในกลุ่มปิดกั้นเบต้า (Beta Blockers) มีคุณสมบัติชะลออัตราการเต้นของหัวใจ และทำให้หัวใจสูบฉีดเลือดไปทั่วร่างกายได้ดีขึ้นขึ้น การใช้ยานี้มีข้อควรรู้ก่อนการใช้ยา วิธีใช้ยา และผลข้างเคียงที่ควรทราบ เพื่อการใช้ยาที่มีประสิทธิภาพและปลอดภัย

Carvedilol

เกี่ยวกับ Carvedilol

กลุ่มยา ยากลุ่มปิดกั้นเบต้า (Beta Blockers)
ประเภทยา ยาตามใบสั่งแพทย์
สรรพคุณ รักษาภาวะหัวใจล้มเหลว และลดความดันโลหิต 
กลุ่มผู้ป่วย ผู้ใหญ่
การใช้ยาในหญิงตั้งครรภ์ Category C จากการศึกษาในสัตว์พบว่า ทำให้เกิดความผิดปกติต่อตัวอ่อนในครรภ์สัตว์ แต่ไม่มีการศึกษาในมนุษย์ หรือไม่มีข้อมูลเพียงพอในการศึกษาทดลองในมนุษย์และสัตว์ ควรใช้ยาเมื่อพิจารณาแล้วว่า มีประโยชน์มากกว่าความเสี่ยงที่อาจเกิดขึ้นต่อทารกในครรภ์ แพทย์มักจะประเมินถึงคุณสมบัติที่ช่วยในการรักษาและความเสี่ยงที่อาจเกิดขึ้น เนื่องจากอาจส่งผลกระทบต่อทารกในครรภ์หรือก่อให้เกิดภาวะแทรกซ้อนเกี่ยวกับปอดและหัวใจในทารกแรกเกิด จึงควรงดใช้ยาเป็นเวลา 2–3 วันก่อนกำหนดคลอด มิเช่นนั้นทารกอาจต้องได้รับการดูแลจากแพทย์อย่างใกล้ชิดเป็นเวลา 2–3 วัน
การใช้ยาในผู้ให้นมบุตร ผู้ป่วยที่ให้นมบุตรควรปรึกษาแพทย์เช่นกันว่าควรหยุดรับประทานยาหรือให้นมบุตรหรือไม่ เนื่องจากยาอาจซึมเข้าสู่น้ำนมและส่งผลกระทบต่อทารกได้
รูปแบบของยา ยารับประทานชนิดเม็ดและแคปซูล

คำเตือนในการใช้ยา Carvedilol

  • ควรแจ้งให้แพทย์ทราบเกี่ยวกับประวัติการแพ้ยา อาหาร หรือสารต่าง ๆ รวมทั้งยา ผลิตภัณฑ์สมุนไพร และอาหารเสริมที่ผู้ป่วยใช้ในปัจจุบันทั้งหมด เพื่อปรับขนาดยาให้เหมาะสมและหลีกเลี่ยงผลข้างเคียงที่อาจเกิดขึ้น
  • ไม่ควรใช้ยาในผู้ป่วยที่มีอาการหอบหืด ถุงลมโป่งพอง หลอดลมอักเสบ กลุ่มอาการซิคไซนัส (Sick Sinus Syndrome) หรือหัวใจเต้นช้า เว้นแต่ได้รับการติดตั้งเครื่องกระตุ้นหัวใจ (Pacemeker)
  • ผู้มีปัญหาเกี่ยวกับการไหลเวียนของโลหิต ความดันโลหิตต่ำ อาการเจ็บหน้าอกโดยไม่มีสาเหตุ หรือเนื้องอกบริเวณต่อมหมวกไต โรคเบาหวาน อาการอื่น ๆ ที่ทำให้ระดับน้ำตาลในเลือดต่ำหรือไทรอยด์เป็นพิษ (Hyperthyroidism) ควรแจ้งให้แพทย์ทราบ
  • ก่อนเข้ารับการผ่าตัดและการผ่าตัดทางทันตกรรม ผู้ป่วยควรแจ้งให้แพทย์ทราบว่ากำลังใช้ยานี้ โดยเฉพาะการผ่าตัดต้อกระจก ซึ่งอาจส่งผลกระทบต่อรูม่านตาระหว่างการผ่าตัด แพทย์จึงอาจขอให้ผู้ป่วยงดใช้ยาชั่วคราว อย่างไรก็ตาม ผู้ป่วยห้ามงดหรือหยุดยาโดยไม่ปรึกษาแพทย์ เนื่องจากอาจทำให้อาการแย่ลงได้
  • ผู้ป่วยควรหลีกเลี่ยงการขับรถหรือกิจกรรมที่ต้องใช้ความตื่นตัวตลอดเวลา และไม่ควรเปลี่ยนอิริยาบถจากการนั่งหรือนอนในทันที โดยควรลุกขึ้นยืนช้า ๆ ด้วยความระมัดระวัง เนื่องจากอาจเกิดอาการมึนหัวจากฤทธิ์ของยาได้
  • ผู้ป่วยที่ใส่คอนแทคเลนส์อาจมีอาการตาแห้ง

ปริมาณการใช้ยา Carvedilol

ปริมาณยาและรูปแบบของยาอาจแตกต่างกันไปขึ้นอยู่กับอายุ ความรุนแรงและอาการที่ต้องการรักษาประกอบกับยาที่ผู้ป่วยใช้ในปัจจุบันและการตอบสนองต่อปริมาณยาที่ได้รับในครั้งแรก ซึ่งมีรายละเอียดดังต่อไปนี้

1. ความดันโลหิตสูง

ปริมาณเริ่มต้น 12.5 มิลลิกรัม 1 ครั้งต่อวัน หลังจาก 2 วันอาจค่อยเพิ่มยาจนถึงปริมาณ 25 มิลลิกรัม 1 ครั้งต่อวันหลังจากใช้ยาต่อเนื่องอย่างน้อย 2 สัปดาห์ อาจค่อย ๆ เพิ่มยาจนถึงปริมาณสูงสุดไม่เกิน 50 มิลลิกรัม 1 ครั้งต่อวัน

2. อาการภาวะหัวใจล้มเหลว

ปริมาณเริ่มต้น 3.125 มิลลิกรัม 2 ครั้งต่อวันเป็นเวลา 2 สัปดาห์ หรือ 6.25 มิลลิกรัม 2 ครั้งต่อวันหากผู้ป่วยสามารถรับได้ ตามด้วย 12.5 มิลลิกรัม 2 ครั้งต่อวัน และ 25 มิลลิกรัม 2 ครั้งต่อวัน

หากผู้ป่วยอาการไม่รุนแรงมาก ปริมาณสูงสุดไม่เกิน 25 มิลลิกรัม 2 ครั้งต่อวัน สำหรับผู้ป่วยที่มีน้ำหนักต่ำกว่า 85 กิโลกรัม ปริมาณสูงสุดไม่เกิน 50 มิลลิกรัม 2 ครั้งต่อวัน สำหรับผู้ป่วยที่มีน้ำหนัก 85 กิโลกรัมขึ้นไป 

3. ภาวะเจ็บเค้นอกเรื้อรัง (Chronic Stable Angina)

ปริมาณเริ่มต้น 12.5 มิลลิกรัม 2 ครั้งต่อวัน เป็นเวลา 2 วัน จากนั้น แพทย์อาจให้เพิ่มเป็น 25 มิลลิกรัม 2 ครั้งต่อวันหลังจากใช้ยาต่อเนื่องอย่างน้อย 2 สัปดาห์ โดยปริมาณสูงสุดไม่เกิน 100 มิลลิกรัมต่อวัน

4. ความผิดปกติของหัวใจห้องล่างซ้าย

ปริมาณเริ่มต้น 6.25 มิลลิกรัม 2 ครั้งต่อวัน หากผู้ป่วยรับได้ แพทย์สามารถเพิ่มปริมาณยาเป็น 12.5 มิลลิกรัม 2 ครั้งต่อวันหลังจาก 3–10 วันไปจนถึง 25 มิลลิกรัม 2 ครั้งต่อวัน

การใช้ยา Carvedilol

ผู้ป่วยควรใช้ยาตามคำแนะนำของแพทย์อย่างเคร่งครัด แพทย์อาจเปลี่ยนแปลงปริมาณยาซึ่งขึ้นกับอาการของผู้ป่วย ซึ่งอาจแตกต่างกันในแต่ละคน ผู้ป่วยจึงห้ามลดหรือเพิ่มปริมาณยาหรือปรับเปลี่ยนระยะเวลาด้วยตนเองหากไม่มีการแนะนำจากแพทย์ และไม่ควรหยุดใช้ยากะทันหัน เนื่องจากอาจส่งผลให้อาการรุนแรงขึ้น 

กรณีลืมรับประทานยา ผู้ป่วยสามารถรับประทานยาได้ทันที แต่หากใกล้เวลารับประทานยาในรอบถัดไป ให้ผู้ป่วยข้ามไปรับประทานยาในรอบถัดไป โดยไม่ต้องเพิ่มปริมาณยาเป็น 2 เท่าและควรรับประทานยาในเวลาเดิมทุกวัน ทั้งนี้ การรับประทานยาเกินขนาดอาจก่อให้เกิดภาวะหัวใจเต้นผิดปกติ หายใจติดขัด มึนงง อ่อนแอ หน้ามืด หรือเกิดอาการชักได้ ยานี้ควรเก็บยาไว้ในอุณหภูมิห้องให้ห่างจากความชื้นและความร้อน 

ปฏิกิริยาระหว่างยา Carvedilol กับยาอื่น

ยา Carvedilol อาจทำปฏิกิริยากับยาอื่น ซึ่งอาจลดประสิทธิภาพของยา Carvedilol หรือยาอื่นที่ผู้ป่วยใช้รักษาโรคอื่นอยู่ ตัวอย่างยาที่ทำปฏิกิริยากับยา Carvedilol เช่น

  • ยารักษาความดันโลหิตสูงและภาวะเจ็บหน้าอก เช่น ดิลไทอะเซม (Diltiazem) เวอราปามิล (Verapamil)
  • ยาไซโคลสปอริน (Cyclosporine) ซึ่งเป็นยากดภูมิคุ้มกัน
  • ยาไรแฟมพิซิน (Rifampicin) ที่ใช้รักษาวัณโรค
  • ยารักษาภาวะหัวใจเต้นผิดจังหวะ เช่น ไดจอกซิน (Digoxin)
  • ยาลดความดันโลหิต เช่น โคลนิดีน (Clonidine) 

นอกจากยาข้างต้น ผู้ที่ใช้ยาใด ๆ ควรแจ้งให้แพทย์ทราบก่อนเสมอ เพราะยาบางตัวอาจส่งผลต่อระดับความดันโลหิตได้

ผลข้างเคียงจากการใช้ยา Carvedilol

ผลข้างเคียงทั่วไปที่อาจเกิดขึ้นจากการใช้ยา Carvedilol ได้แก่ อ่อนเพลีย หน้ามืด ตาแห้ง ท้องเสีย น้ำหนักขึ้น

บางคนอาจเกิดผลข้างเคียงรุนแรง ซึ่งผู้ป่วยควรไปพบแพทย์ ได้แก่

  • ไอแห้ง เจ็บหน้าอก แน่นหน้าอก
  • ปัสสาวะบ่อย
  • มองเห็นไม่ชัดเจน
  • หน้ามืดคล้ายจะเป็นลม
  • หัวใจเต้นช้าลงหรือไม่สม่ำเสมอ
  • น้ำหนักลดหรือเพิ่มขึ้นอย่างรวดเร็ว
  • หายใจติดขัดหรือลำบาก แม้ออกกำลังกายเพียงเล็กน้อย

นอกจากนี้ บางคนอาจอาการแพ้ยาได้ เช่น ลมพิษขึ้น มือเท้าเย็นหรือมีอาการชา ริมฝีปาก ใบหน้า ลิ้นหรือคอบวม ซึ่งหากเกิดอาการดังต่อไปนี้ ควรพบแพทย์โดยด่วน