Chloramphenicol (คลอแรมเฟนิคอล)

Chloramphenicol (คลอแรมเฟนิคอล)

Chloramphenicol (คลอแรมเฟนิคอล) คือ ยาในกลุ่มยาปฏิชีวนะซึ่งใช้รักษาการติดเชื้อแบคทีเรียที่ค่อนข้างรุนแรง โดยยานี้จะเข้าไปทำลายโปรตีนที่สำคัญของเชื้อแบคทีเรีย และหยุดการเจริญเติบโตของเชื้อแบคทีเรีย ทำให้อาการติดเชื้อทุเลาลง

ยาชนิดนี้มักใช้รักษาโรคที่เกิดจากแบคทีเรีย เช่น การติดเชื้อที่ตาและหู ภาวะเยื่อหุ้มสมองอักเสบจากการติดเชื้อแบคทีเรีย การติดเชื้อแบคทีเรียชนิดแอโรคบิก โรคแอนแทร็กซ์ ฝีในสมอง โรคเออร์ลิชิโอสิส (Ehrlichiosis) ภาวะเนื้อตายชนิดที่เกิดแก๊สใต้ผิวหนัง แผลกามโรคเรื้อรังที่ขาหนีบ (Granuloma Inguinale) การติดเชื้อแบคทีเรียบางชนิด โรคอุจจาระร่วงรุนแรง โรคเมอิลอยโดซิสชนิดรุนแรง การติดเชื้อในกระแสเลือดของทารกในครรภ์

Chloramphenicol

เกี่ยวกับยา Chloramphenicol

กลุ่มยา ยาปฏิชีวนะ
ประเภทยา ยาตามใบสั่งแพทย์ 
สรรพคุณ รักษาอาการติดเชื้อแบคทีเรีย
กลุ่มผู้ป่วย เด็กและผู้ใหญ่
รูปแบบของยา ยารับประทาน ยาหยอดตา ยาหยอดหู ยาฉีด ยาป้ายตา


คำเตือนของการใช้ยา
Chloramphenicol

  • ผู้ที่มีอาการแพ้ส่วนประกอบของยา Chloramphenicol ไม่ควรใช้ยานี้
  • ผู้ที่เคยมีอาการข้างเคียงที่รุนแรงจากการใช้ยา Chloramphenicol ควรหลีกเลี่ยงใช้ยานี้
  • ควรหลีกเลี่ยงการใช้ยาหากผู้ป่วยมีระดับเม็ดเลือดขาว เม็ดเลือดแดง หรือเกล็ดเลือดต่ำ
  • ผู้ที่มีการติดเชื้อที่ไม่รุนแรง อย่างอาการไข้หวัด ไข้หวัดใหญ่ คออักเสบ ไม่ควรใช้ยาชนิดนี้เพื่อป้องกันการติดเชื้อแบคทีเรีย
  • หากผู้ป่วยอยู่ในระหว่างการใช้ยาที่มีผลให้มวลกระดูกลดลง เช่น เคมีบำบัด ควรหลีกเลี่ยงการใช้ยาดังกล่าว หรือหากไม่แน่ใจว่ามียาใดที่ใช้อยู่ส่งผลต่อมวลกระดูกหรือไม่ ควรปรึกษาผู้เชี่ยวชาญก่อนใช้

ปริมาณการใช้ยา Chloramphenicol

ยาหยอดตา

  • รักษาอาการติดเชื้อที่ดวงตา ใช้ยาหยอดความเข้มข้น 0.5% หยอดครั้งละ 1 หยด ทุก ๆ 2 ชั่วโมง โดยเพิ่มปริมาณได้ขึ้นอยู่กับอาการ เมื่อหายแล้วควรใช้ต่อเนื่องไปอีกอย่างน้อย 48 ชั่วโมง หากควบคุมอาการได้แล้ว หรือมีอาการไม่รุนแรงก็ลดปริมาณลงโดยใช้ครั้งละ 1 หยด วันละ 3-4 ครั้ง

ยาป้ายตา

  • รักษาอาการติดเชื้อที่ดวงตา ใช้ยาป้ายตาความเข้มข้น 1% ป้ายบริเวณถุงเยื่อตาขาวด้านล่าง วันละ 3-4 ครั้ง หรือ ทุก ๆ 3 ชั่วโมง ขึ้นอยู่กับคำแนะนำของแพทย์

ยาหยอดหู

  • รักษาอาการหูชั้นนอกอักเสบ(Otitis Externa) ใช้ยาหยอดความเข้มข้น 5% วันละ 2-3 ครั้ง

ยารับประทาน

  • รักษาภาวะติดเชื้อแบคทีเรีย
  • ผู้ใหญ่ รับประทานวันละ 50 มิลลิกรัมต่อน้ำหนัก 1 กิโลกรัม แบ่งให้เป็น 4 ครั้ง เพิ่มได้ถึง 100 มิลลิกรัมต่อน้ำหนัก 1 กิโลกรัมต่อวัน สำหรับผู้ป่วยที่มีภาวะเยื่อหุ้มสมองอักเสบ หรือมีอาการติดเชื้อแบคทีเรียที่รุนแรง หรือมีอาการดื้อยา ควรใช้ยาต่อไปแม้ไข้ลดลง โดยผู้ป่วยที่ติดเชื้อริกเก็ตเซีย หรือไข้รากสาดใหญ่ (Rickettsial Disease) ควรรักษาด้วยยาดังกล่าวต่ออย่างน้อย 4 วัน หากเป็นผู้ป่วยโรคไข้ฟอยด์ควรใช้ยาต่อ 8-10 วัน
  • เด็ก ทารกคลอดก่อนกำหนดและทารกแรกเกิดให้ยาวันละ 25 มิลลิกรัมต่อน้ำหนัก 1 กิโลกรัม แบ่งให้เป็น 4 ครั้ง หากเป็นทารกครบกำหนดคลอดที่อายุมากกว่า 2 สัปดาห์ขึ้นไป ให้วันละ 50 มิลลิกรัมต่อน้ำหนัก 1 กิโลกรัม แบ่งให้เป็น 4 ครั้ง และเพิ่มได้ถึง 100 มิลลิกรัมต่อน้ำหนัก 1 กิโลกรัมต่อวัน สำหรับผู้ป่วยที่มีภาวะเยื่อหุ้มสมองอักเสบ หรือมีอาการติดเชื้อแบคทีเรียรุนแรง

ยาฉีด

  • รักษาภาวะติดเชื้อแบคทีเรีย
  • ผู้ใหญ่ ให้วันละ 50 มิลลิกรัมต่อน้ำหนัก 1 กิโลกรัม แบ่งให้ทุก ๆ 6 ชั่วโมง เพิ่มได้ถึง 100 มิลลิกรัมต่อน้ำหนัก 1 กิโลกรัมได้หากมีภาวะดื้อยา
  • เด็ก ให้วันละ 50 มิลลิกรัมต่อน้ำหนัก 1 กิโลกรัม แบ่งเป็น 4 ครั้ง ทุก 6 ชั่วโมง สามารถเพิ่มได้ถึง 100 มิลลิกรัมต่อน้ำหนัก 1 กิโลกรัมได้หากมีภาวะดื้อยา สำหรับเด็กแรกเกิดให้ยาวันละ 25 มิลลิกรัมต่อน้ำหนัก 1 กิโลกรัม แบ่งให้เป็น 4 ครั้ง ทุก ๆ  6 ชั่วโมง

การใช้ยา Chloramphenicol

ยา Chloramphenicol เป็นยาปฏิชีวนะที่จะต้องใช้ภายใต้คำสั่งแพทย์เท่านั้น เนื่องจากยานี้อาจทำให้เกิดปฏิกิริยาไม่พึงประสงค์ ดังนั้นควรปรึกษาแพทย์ก่อนใช้ยานี้ รวมทั้งหากผู้ป่วยอยู่ในระหว่างตั้งครรภ์ หรือวางแผนจะตั้งครรภ์ สตรีที่อยู่ในระหว่างให้นมบุตร ผู้ที่มีแพ้ยา อาหาร หรือสารประกอบอื่น ๆ และผู้ที่ป่วยโรคโลหิตจาง โรคตับ มีปัญหาเกี่ยวกับมวลกระดูก หรือไต

นอกจากนี้ ผู้ที่ใช้ยา สมุนไพร และอาหารเสริมที่แพทย์สั่งหรือนอกเหนือจากใบสั่งแพทย์ ควรแจ้งแพทย์ให้ทราบก่อนได้รับยานี้ เนื่องจากยาบางชนิดหากใช้ร่วมกับ Chloramphenicol อาจส่งผลต่อการรักษาหรือส่งผลต่อร่างกายหากใช้ร่วมกับยานี้ ได้แก่ ยาต้านการแข็งตัวของเลือด ยากันชัก และยาที่ส่งผลให้มวลกระดูกลดลง เช่น ยาที่ใช้ในกระบวนการเคมีบำบัดเพื่อรักษาโรคมะเร็ง เป็นต้น

ทั้งนี้ในการใช้ยา Chloramphenicol หากเป็นยาชนิดฉีดจะต้องได้รับจากแพทย์หรือผู้เชี่ยวชาญภายในสถานพยาบาล หรือหากต้องฉีดเองควรได้รับคำแนะนำในเรื่องการใช้ยาเป็นอย่างดี ควรสังเกตลักษณะของยาอย่างสม่ำเสมอ หากมีความผิดปกติ เช่น สีเปลี่ยนแปลงไป หรือบรรจุภัณฑ์ของยาผิดปกติ ไม่ควรใช้ยาดังกล่าวต่อ

แม้ผู้ป่วยมีอาการดีขึ้นแล้ว แต่ควรใช้ยานี้ต่อไปจนครบตามคำแนะนำของแพทย์เพื่อให้ภาวะติดเชื้อหายสนิทและไม่กลับมาเป็นซ้ำ ถ้าผู้ป่วยลืมใช้ยา ควรรีบใช้ยาทันทีที่นึกได้ แต่หากใกล้เวลาการใช้ยาครั้งต่อไป ให้ข้ามไปรับประทานยาในครั้งถัดไป โดยไม่ต้องเพิ่มปริมาณยาเพื่อชดเชยยาที่ขาดไป ไม่ควรเพิ่มหรือลดยาด้วยตัวเอง เพราะอาจส่งผลต่อการรักษาและทำให้เกิดภาวะแทรกซ้อนที่ไม่พึงประสงค์ได้

สำหรับสตรีมีครรภ์ หรือวางแผนตั้งครรภ์ รวมทั้งสตรีที่อยู่ในช่วงให้นมบุตร การใช้ยานี้จะส่งผลต่อทารกในครรภ์ และอาจปนเปื้อนไปในน้ำนมได้ ดังนั้น ก่อนที่แพทย์จะตัดสินใจใช้ยาดังกล่าว ผู้ป่วยควรได้รับทราบประโยชน์และผลกระทบที่เกิดขึ้นจากยานี้อย่างละเอียดอีกครั้ง เพื่อชั่งน้ำหนักถึงผลที่จะได้รับ

ผลข้างเคียงจากการใช้ยา Chloramphenicol

การใช้ยานี้อาจส่งผลให้เกิดผลข้างเคียงบางอย่างได้ ดังนั้นในระหว่างการรักษาด้วยยาดังกล่าว ผู้ป่วยและคนรอบข้างควรสังเกตอาการอย่างใกล้ชิด โดยผลข้างเคียงจากการใช้ยาที่อาจพบได้แก่

  • ผิวหนังซีด เกิดจากการที่ยาไปกดการทำงานของไขกระดูก ทำให้เกิดภาวะโลหิตจากชนิดไขกระดูกฝ่อ (Aplastic Anemia) ซึ่งเป็นอันตราย
  • เม็ดเลือดแดงแตก ผู้ป่วยด้วยโรค G6PD (ภาวะขาดเอนไซม์จีซิกพีดี) อาจพบยาทำให้เกิดผลข้างเคียงอย่างเม็ดเลือดแดงแตกที่ทำให้เกิดภาวะโลหิตจางได้
  • เจ็บคอ มีไข้
  • เลือดออก หรือมีรอยฟกช้ำโดยไม่ทราบสาเหตุ ซึ่งเกิดจากการที่ยาไปกดการทำงานของไขกระดูก จนทำให้เกล็ดเลือดต่ำ และอาจก่อให้เกิดเลือดออกในกระเพาะหรือลำไส้
  • อ่อนเพลีย หรือมีอาการอ่อนแรงผิดปกติ

นอกจากนี้ ยังอาจพบอาการเหล่านี้ แต่พบได้น้อย เช่น

  • มีอาการมึนงง เพ้อ หรือปวดศีรษะ
  • ปวดตา มองไม่ชัด หรือสูญเสียการมองเห็น จากภาวะเส้นประสาทในตาอักเสบ
  • มีอาการเหน็บชา รู้สึกแสบร้อน หรือมีอาการอ่อนแรงบริเวณมือและเท้า
  • ผื่นขึ้นตามผิวหนัง มีไข้ หรือหายใจลำบาก

ขณะที่การใช้ยาอาจทำให้เกิดอาการบางอย่าง แต่ไม่รุนแรง โดยเป็นผลมาจากการที่ร่างกายปรับตัวให้เข้ากับการรักษา อาการเหล่านี้หายได้เองในระยะเวลาไม่นาน ซึ่งได้แก่

  • ท้องเสีย
  • คลื่นไส้ อาเจียน

ในกรณีอาการดังกล่าวเกิดติดต่อกันเป็นเวลานาน ๆ โดยไม่มีทีท่าว่าจะหาย หรืออาการเริ่มรบกวนต่อการใช้ชีวิตประจำวันควรรีบปรึกษาแพทย์เพื่อป้องกันอันตรายที่อาจเกิดขึ้น ขณะที่ผู้ป่วยเด็กซึ่งใช้ยานี้ ผู้ปกครองควรสังเกตอาการอย่างใกล้ชิดให้มากขึ้น เนื่องจากผลข้างเคียงของยา Chloramphenicol ค่อนข้างอันตราย อาจก่อให้เกิดอาการต่าง ๆ เช่น

  • ท้องอืด
  • ง่วงเหงาหาวนอน
  • ผิวหนังกลายเป็นสีเทา ซึ่งเป็นอาการของเกรย์ซินโดรม (Gray Syndrome) มักพบในเด็กทารก
  • อุณหภูมิในร่างกายต่ำ
  • หายใจไม่สม่ำเสมอ
  • ไม่มีสติ

หากเด็กเกิดอาการข้างต้นเหล่านี้ควรรีบหยุดใช้ยาและขอความช่วยเหลือจากหน่วยแพทย์ฉุกเฉินโดยด่วน เพื่อการรักษาที่ทันท่วงที