Dexamethasone (เดกซาเมทาโซน)
Dexamethasone (เดกซาเมทาโซน) คือ ยาคอร์ติโคสเตียรอยด์ฮอร์โมนหรือยากลุ่มกลูโคคอร์ติคอยด์ (Glucocorticoid) ซึ่งมีหน้าที่ป้องกันการหลั่งสารที่ทำให้เกิดการอักเสบในร่างกาย โดยนำมาใช้รักษาโรคและภาวะต่าง ๆ เช่น โรคข้ออักเสบ โรคเยื่อหุ้มสมองอักเสบจากแบคทีเรีย และการอักเสบของดวงตา หรืออาจนำมาใช้รักษาโรคหรือภาวะอื่น ๆ นอกเหนือจากนี้ ขึ้นอยู่กับดุลยพินิจของแพทย์ผู้รักษา อย่างไรก็ตาม ยา Dexamethasone มีข้อห้ามใช้และอาจเกิดผลข้างเคียงได้ ดังนั้น การใช้ยาควรอยู่ภายใต้คำแนะนำของแพทย์และเภสัชกร
เกี่ยวกับยา Dexamethasone
กลุ่มยา | ยาคอร์ติโคสเตียรอยด์ (Corticosteroid) |
ประเภทยา | ยาตามใบสั่งแพทย์ |
สรรพคุณ | ต้านการอักเสบ |
กลุ่มผู้ป่วย | เด็กและผู้ใหญ่ |
รูปแบบของยา | ยารับประทานชนิดเม็ด ยาให้ทางหลอดเลือด ยาฉีดเข้าที่ข้อ ยาหยอดตา |
คำเตือนของการใช้ยา Dexamethasone
-
ผู้ป่วยควรแจ้งให้แพทย์ทราบ หากเป็นโรคต่อไปนี้
- โรคตับ เช่น ตับแข็ง
- โรคไต
- โรคต่อมไทรอยด์
- มีประวัติเป็นโรคมาลาเรีย
- วัณโรค
- โรคกระดูกพรุน
- ความผิดปกติเกี่ยวกับกล้ามเนื้อ เช่น โรคกล้ามเนื้ออ่อนแรง
- ต้อหินหรือต้อกระจก
- โรคเริมที่เกิดขึ้นกับดวงตา
- โรคแผลในกระเพาะอาหาร ลำไส้อักเสบ โรคถุงผนังลำไส้ใหญ่อักเสบ และโรคลำไส้อักเสบเรื้อรัง
- ความดันโลหิตสูง
- ภาวะหัวใจวาย
- มีภาวะซึมเศร้า หรือป่วยทางจิต
- หากกำลังใช้ยานี้ ไม่ควรรับวัคซีนเชื้อเป็น (Live Vaccine) เนื่องจากอาจทำให้วัคซีนมีประสิทธิภาพไม่เต็มที่
- ผู้ใช้ยาสเตียรอยด์ที่เสี่ยงต่อการสัมผัสติดโรคอีสุกอีใสหรือโรคหัด ควรแจ้งให้แพทย์ทราบเพราะการติดเชื้อเหล่านี้ขณะใช้ยากลุ่มสเตียรอยด์ อาจเป็นอันตรายถึงขั้นเสียชีวิตได้
- ยานี้สามารถทำให้ระบบภูมิคุ้มกันในร่างกายอ่อนแอลงได้ ซึ่งทำให้เกิดการติดเชื้อหรือในรายที่มีการติดเชื้ออยู่ก่อนแล้วอาจทำให้อาการแย่ลงได้ ดังนั้น หากผู้ป่วยมีการเจ็บป่วยหรือติดเชื้อใด ๆ ควรแจ้งให้แพทย์ทราบ
- ปริมาณการใช้ยานี้อาจมีการเปลี่ยนแปลง หากผู้ป่วยอยู่ในภาวะที่ร่างกายมีความเครียดมากกว่าปกติ เช่น มีการเจ็บป่วยที่รุนแรง มีไข้ หรือมีการติดเชื้อ รวมไปถึงผู้ป่วยที่เข้ารับการผ่าตัดหรือได้รับการรักษาทางการแพทย์ฉุกเฉิน ก่อนใช้ยานี้ ควรแจ้งให้แพทย์ทราบถึงสถานการณ์และภาวะดังกล่าวที่อาจส่งผลต่อการรักษา
- ควรแจ้งให้แพทย์ทราบถึงประวัติทางสุขภาพของผู้ป่วย ทั้งโรคประจำตัว ยาทุกชนิดที่กำลังใช้อยู่ เนื่องจากมีโรคและยาหลายชนิดที่อาจได้รับผลกระทบจากการใช้ยาสเตียรอยด์
- ผู้ป่วยที่มีการติดเชื้อราไม่ว่าส่วนใดในร่างกาย ไม่ควรใช้ยานี้
- ควรแจ้งให้แพทย์หรือเภสัชกรทราบก่อนใช้ยา หากมีประวัติแพ้ยานี้ หรือยาคอร์ติโคสเตียรอยด์อื่น ๆ เช่น ยาเพรดนิโซน (Prednisone) รวมไปถึงการแพ้อื่น ๆ เพราะยานี้อาจมีส่วนประกอบที่ทำให้เกิดอาการแพ้หรือปัญหาอื่น ๆ ตามมาได้
- ผู้ป่วยโรคเบาหวานควรแจ้งให้แพทย์ทราบ เพราะยาสเตียรอยด์อาจเพิ่มระดับน้ำตาลในเลือดหรือปัสสาวะได้ ซึ่งผู้ป่วยอาจจำเป็นต้องปรับเปลี่ยนปริมาณการใช้ยารักษาโรคเบาหวาน
- การใช้ยานี้อาจทำให้เกิดอาการเวียนศีรษะหรือง่วงนอน ดังนั้น ควรระมัดระวังเมื่อต้องขับรถ ทำงานกับเครื่องจักร หรืองานที่เสี่ยงอันตราย
- ยานี้สามารถขับออกทางน้ำนม อาจมีผลต่อทารกได้ ควรแจ้งแพทย์ก่อนทุกครั้งว่ากำลังให้นมบุตร
- ผู้ที่ตั้งครรภ์หรือวางแผนจะตั้งครรภ์ ควรแจ้งให้แพทย์ทราบก่อนใช้ยา เพราะยังไม่เป็นที่แน่ชัดว่ายานี้อาจทำให้เกิดอันตรายต่อเด็กในครรภ์หรือไม่
- ควรแจ้งให้แพทย์ทราบหากพบว่าเด็กมีการเจริญเติบโตที่ไม่ปกติในขณะที่ใช้ยานี้ เนื่องจากยาสเตียรอยด์ส่งผลต่อการเจริญเติบโตของเด็กได้
-
ตัวอย่างยาที่อาจเกิดปฏิกิริยากับยา Dexamethasone เมื่อใช้ร่วมกัน
- ยาแอสไพริน
- ยาไซโคลสปอริน (Cyclosporin)
- ยาไดจอกซิน (Digoxin)
- ยาปฏิชีวนะ เช่น ยาอิริโทรมัยซิน (Erythromycin) หรือไรแฟมพิซิน (Rifampicin)
- ยาต้านเชื้อรา เช่น ยาคีโตโคนาโซล (Ketoconazole)
- ยาคุมกำเนิด หรือฮอร์โมนทดแทน
- ยาวาร์ฟาริน (Warfarin)
- ยาขับปัสสาวะ
- ยารักษาต้อหิน
- อินซูลิน หรือยารับประทานสำหรับรักษาเบาหวาน
- ยารักษาสมองเสื่อมหรือโรคพาร์กินสัน
- ยาต้านการอักเสบ เช่น ไอบูโพรเฟน
- ยานาพรอกเซน (Naproxen) เซเลโคซิบ (Celecoxib) ยามีลอกซิแคม (Meloxicam)
- ยารักษาอาการชัก เช่น ยาคาร์บามาซีปีน (Carbamazepine) ยาเฟนิโทอิน (Phenytoin) หรือยาฟีโนบาร์บิทัล (Phenobarbital)
ปริมาณการใช้ยา Dexamethasone
ตัวอย่างของโรคที่ใช้ยา Dexamethasone รักษา ได้แก่
โรคข้ออักเสบ (Inflammatory joint diseases)
ผู้ใหญ่: ฉีดยาเข้าที่ข้อ ขนาด 0.8-4 มิลลิกรัม ขึ้นอยู่กับขนาดของข้อต่อที่อักเสบ
สำหรับการฉีดยาที่เนื้อเยื่ออ่อน ขนาด 2-6 มิลลิกรัม และอาจฉีดยาซ้ำทุก 3-5 วัน ไปจนถึงทุก 2-3 สัปดาห์
ใช้ป้องกันอาการคลื่นไส้และอาเจียนในผู้ป่วยที่รักษาด้วยยาเคมีบำบัด (Prophylaxis of Nausea and Vomiting Associated with Cytotoxic Therapy)
ผู้ใหญ่: ใช้ขนาด 10-20 มิลลิกรัม ก่อนการใช้ยาเคมีบำบัด 15-30 นาที ใช้ขนาด 10 มิลลิกรัม ทุก 12 ชั่วโมง ต่อการรักษาด้วยยาเคมีบำบัดในแต่ละวัน สำหรับผู้รักษาด้วยยาเคมีบำบัดระดับปานกลาง ใช้ยาขนาด 4 มิลลิกรัม ทุก 4-6 ชั่วโมง
ช็อกโดยไม่มีการตอบสนอง (Unresponsive Shock)
ผู้ใหญ่: ให้ทางหลอดเลือด ขนาดเริ่มต้น 40 มิลลิกรัม หรือ 1-6 มิลลิกรัมต่อน้ำหนักตัว(กิโลกรัม) อาจให้ซ้ำทุก 2-6 ชั่วโมง ใช้ยาขนาดสูงจนกว่าผู้ป่วยจะมีอาการที่คงที่ และไม่ควรให้ยาเกินกว่า 48-72 ชั่วโมง
โรคเยื่อหุ้มสมองอักเสบจากแบคทีเรีย (Bacterial Meningitis)
ผู้ใหญ่: ให้ยาทางหลอดเลือด ขนาด 0.15 มิลลิกรัมต่อน้ำหนักตัว (กิโลกรัม) วันละ 4 ครั้ง ให้ 10-20 นาที ก่อนหรือพร้อมกับการรักษาการติดให้ยาฆ่าเชื้อครั้งแรก
เด็ก: อายุ 2 เดือน ถึง 18 ปี ให้ยาทางหลอดเลือด 150 ไมโครกรัมต่อน้ำหนักตัว (กิโลกรัม) ทุก 6 ชั่วโมง เป็นระยะเวลา 4 วัน เริ่มใช้ยาก่อนหรือพร้อมกับการรักษาด้วยการต้านแบคทีเรียในครั้งแรก
การอักเสบที่เกิดขึ้นกับดวงตา (Ocular Inflammation)
ผู้ใหญ่: ยาหยอดตา 0.1 เปอร์เซนต์ ใช้ 1-2 หยด ในตาข้างที่เกิดการอักเสบ ในกรณีที่ไม่รุนแรงใช้ 4-6 ครั้งต่อวัน และในกรณีที่รุนแรงอาจใช้ทุกชั่วโมง
ขี้ผึ้งป้ายตา 0.05 เปอร์เซนต์ ใช้ขนาด 0.5-1 นิ้ว ลงในร่องตาด้านล่าง (Conjunctival Sac) วันละ 4 ครั้งขึ้นไป และเมื่ออาการดีขึ้นอาจลดลงเหลือวันละครั้ง
ต้านการอักเสบ (Anti-inflammatory)
ผู้ใหญ่: รับประทานขนาด 0.75-9 มิลลิกรัมต่อวัน แบ่งใช้ 2-4 ครั้ง อาจมีการให้ยาโดยการฉีดเข้ากล้ามเนื้อหรือทางหลอดเลือด
เด็ก: อายุ 1 เดือน ถึง 18 ปี รับประทาน 10-100 ไมโครกรัมต่อน้ำหนักตัว (กิโลกรัม) ต่อวัน แบ่งใช้ 1-2 ครั้ง และอาจมีการปรับเปลี่ยนขนาดยาขึ้นอยู่กับการตอบสนองของผู้ป่วย อาจใช้ในสถานการณ์ฉุกเฉิน ขนาด 300 ไมโครกรัมต่อน้ำหนักตัว (กิโลกรัม) ต่อวัน
การกำเริบฉับพลันของโรคปลอกประสาทเสื่อมแข็ง
ผู้ใหญ่: รับประทาน 30 มิลลิกรัมต่อวัน เป็นเวลา 1 สัปดาห์ ตามด้วย 4-12 มิลลิกรัมต่อวัน เป็นเวลา 1 เดือน
เด็ก: อายุ 1 เดือน ถึง 12 ปี รับประทาน 100-400 ไมโครกรัมต่อน้ำหนักตัวกิโลกรัมต่อวัน แบ่งใช้ 1-2 ครั้ง
อายุ 12-18 ปี รับประทาน ขนาดเริ่มต้น 0.5-24 มิลลิกรัมต่อวัน สูงสุด 24 มิลลิกรัมต่อวัน
ปริมาณยาสำหรับรักษาภาวะสมองบวมจากโรคมะเร็ง (Cerebral Oedema Caused by Malignancy)
ผู้ใหญ่: ให้ทางหลอดเลือด 10 มิลลิกรัม ตามด้วยให้ทางกล้ามเนื้อ 4 มิลลิกรัม ทุก 6 ชั่วโมง โดยส่วนใหญ่ประมาณ 12-24 ชั่วโมง อาจลดขนาดยาหลังจาก 2-4 วัน จากนั้นจึงค่อย ๆ ลดและหยุดยาใน 5-7 วัน ในกรณีที่รุนแรง ขนาดเริ่มต้น ให้ทางหลอดเลือด 50 มิลลิกรัม ในวันแรก หลังจากนั้นให้ยาขนาด 8 มิลลิกรัม ทุก 2 ชั่วโมง และค่อย ๆ ลดปริมาณยาในวันที่ 7-13
จนเหลือขนาดยา 2 มิลลิกรัม วันละ 2-3 ครั้ง
เด็ก: น้ำหนักตัวน้อยกว่า 35 กิโลกรัม ขนาดเริ่มต้น 20 มิลลิกรัม ให้ทางหลอดเลือด จากนั้นตามด้วย 4 มิลลิกรัม ทุก 3 ชั่วโมง เป็นเวลา 3 วัน หลังจากนั้น ตามด้วย 4 มิลลิกรัม ทุก 6 ชั่วโมง เป็นเวลา 1 วัน จากนั้นตามด้วย 2 มิลลิกรัม ทุก 6 ชั่วโมง เป็นเวลา 4 วัน และลดลง 1 มิลลิกรัมต่อวัน
น้ำหนักตัวมากกว่า 35 กิโลกรัม ขนาดเริ่มต้น 25 มิลลิกรัม ให้ทางหลอดเลือด จากนั้นใช้ 4 มิลลิกรัม ทุก 2 ชั่วโมง เป็นเวลา 3 วัน จากนั้นใช้ 4 มิลลิกรัม ทุก 4 ชั่วโมง เป็นเวลา 1 วัน จากนั้นใช้ 4 มิลลิกรัม ทุก 6 ชั่วโมง เป็นเวลา 4 วัน จากนั้นลดลงเป็น 2 มิลลิกรัมต่อวัน
*ปริมาณและระยะเวลาในการใช้ยาขึ้นอยู่กับดุลยพินิจของแพทย์ผู้รักษา
การใช้ยา Dexamethasone
ควรใช้ยาตามที่ระบุอยู่บนฉลากหรือตามที่แพทย์สั่งอย่างเคร่งครัด ไม่ควรใช้ยานี้ในปริมาณที่มากกว่าหรือติดต่อกันนานกว่าที่แพทย์แนะนำ
- ไม่ควรหยุดใช้ยาด้วยตนเองในทันที เพราะอาจทำให้เกิดอาการถอนยาที่ไม่พึงประสงค์ได้ และควรปรึกษาแพทย์ถึงการหลีกเลี่ยงการเกิดอาการถอนยาเมื่อหยุดใช้ยา
- การใช้ยานี้อาจทำให้ผลทดสอบทางการแพทย์บางอย่างผิดปกติไป ดังนั้นผู้ป่วยที่ใช้ยานี้ควรแจ้งให้แพทย์ทราบก่อนทำการทดสอบทางการแพทย์ใด ๆ
- ในกรณีที่ลืมรับประทานยาตามเวลาที่กำหนด ให้รับประทานยาได้ทันที แต่หากใกล้ถึงเวลารับประทานยาในรอบถัดไป ให้ข้ามไปรับประทานยาในรอบถัดไป ไม่ควรเพิ่มปริมาณยาเป็น 2 เท่าและหากมีอาการผิดปกติเกิดขึ้น ควรรีบพบแพทย์
- ควรเก็บยาไว้ที่อุณหภูมิ 15-30 องศาเซลเซียส เก็บให้พ้นจากแสงแดดและความชื้น
- หากมีข้อสงสัยใด ๆ เกี่ยวกับการใช้ยานี้ ควรถามแพทย์หรือเภสัชกรให้เข้าใจ
ผลข้างเคียงจากการใช้ยา Dexamethasone
หากพบว่าเกิดอาการแพ้ยา เช่น ลมพิษ หายใจลำบาก ใบหน้าบวม ริมฝีปากบวม ลิ้นบวม หรือคอบวม ควรรีบพบแพทย์ในทันที และหากพบว่าเกิดอาการใดต่อไปนี้ ควรแจ้งให้แพทย์ทราบ
- กล้ามเนื้อเกร็ง อ่อนแรง หรือรู้สึกชา
- หายใจตื้น มีอาการบวม หรือน้ำหนักเพิ่มอย่างรวดเร็ว
- มีปัญหาในการมองเห็น
- ภาวะซึมเศร้ารุนแรง มีความคิดหรือพฤติกรรมที่เปลี่ยนแปลงไป
- มีอาการชัก
- ปวดหลังส่วนล่าง ปัสสาวะน้อยหรือไม่ปัสสาวะเลย ปัสสาวะมีเลือดปน
- อุจจาระปนเลือดหรือเป็นสีดำ
- สับสน มีอาการชาหรือรู้สึกคล้ายเข็มทิ่มบริเวณรอบปาก
- จังหวะหัวใจเต้นเร็วหรือช้ากว่าปกติ หรือชีพจรอ่อน
- มีความผิดปกติของตับอ่อน โดยมีอาการเจ็บรุนแรงที่ท้องส่วนบนลามไปที่หลัง คลื่นไส้และอาเจียน หรือจังหวะหัวใจเต้นเร็ว
- ภาวะโพแทสเซียมในเลือดต่ำ ทำให้เกิดตะคริว ท้องผูก หัวใจเต้นผิดปกติ ใจสั่น ทำให้รู้สึกกระหายหรือต้องปัสสาวะมากขึ้น มีอาการชาหรือรู้สึกมีเข็มทิ่ม
- ความดันโลหิตสูงที่อันตราย ทำให้ปวดศีรษะรุนแรง มองเห็นไม่ชัด เลือดกำเดาไหล รู้สึกตุบ ๆ ที่คอหรือหู วิตกกังวล
ผลข้างเคียงจากการใช้ยา Dexamethasone ที่พบบ่อยได้แก่
- มีอาการบวมที่มือหรือข้อเท้า
- นอนไม่หลับ อารมณ์แปรปรวน
- สิวขึ้น ผิวแห้ง ผิวหนังบางลง ช้ำหรือสีผิวเปลี่ยนแปลง
- แผลหายช้า
- มีเหงื่อออกมากขึ้น หรือผมยาวเร็ว
- ปวดศีรษะ เวียนศีรษะ รู้สึกว่าตนเองหรือสิ่งแวดล้อมหมุน
- คลื่นไส้ ปวดท้อง ท้องอืด
- กล้ามเนื้ออ่อนแรง
- มีการเปลี่ยนแปลงของรูปร่างหรือตำแหน่งของไขมันในร่างกาย โดยเฉพาะที่แขน ขา ใบหน้า คอ หน้าอก หรือเอว
นอกจากนั้น อาจมีอาการข้างเคียงอื่น ๆ นอกเหนือจากอาการข้างต้นที่อาจเกิดขึ้นได้ ซึ่งหากผู้ป่วยพบอาการผิดปกติใด ๆ ควรรีบแจ้งให้แพทย์หรือเภสัชกรทราบทันที