EDTA (เอเดเทต ไดโซเดียม)

EDTA (เอเดเทต ไดโซเดียม)

EDTA (Edetate Disodium) หรือเอเดเทต ไดโซเดียม คือ สารละลายที่ใช้เป็นยาฉีดรักษาพิษจากโลหะหนักอย่างตะกั่ว ภาวะแคลเซียมในเลือดสูง ภาวะหัวใจเต้นไม่สม่ำเสมอหลังใช้ยากลุ่มคาร์ดิแอก ไกลโคไซด์ เช่น ยาไดจอกซิน เป็นต้น รวมทั้งอาการผิดปกติอื่น ๆ ตามดุลยพินิจของแพทย์

EDTA

เกี่ยวกับยา EDTA

กลุ่มยา ยาแก้พิษ
ประเภทยา ยาตามใบสั่งแพทย์ 
สรรพคุณ แก้พิษโลหะหนัก รักษาความผิดปกติของสมองจากพิษตะกั่ว รักษาภาวะแคลเซียมในเลือดสูง
รักษาภาวะหัวใจเต้นไม่สม่ำเสมอหลังใช้ยากลุ่มคาร์ดิแอก ไกลโคไซด์
กลุ่มผู้ป่วย เด็ก ผู้ใหญ่
รูปแบบของยา ยาฉีด

คำเตืิอนในการใช้ยา EDTA

  • ห้ามใช้ยา EDTA ในผู้ที่แพ้ยานี้ ซึ่งผู้ป่วยควรแจ้งรายชื่อยาที่ตนเองแพ้ให้แพทย์ทราบก่อนรักษาเสมอ
  • ห้ามใช้ยานี้ในผู้ที่มีปัญหาเกี่ยวกับการปัสสาวะ เช่น ปัสสาวะออกน้อย เป็นต้น
  • ก่อนใช้ยา ควรแจ้งให้แพทย์ทราบหากมีโรคประจำตัว เช่น ภาวะโพแทสเซียมในเลือดต่ำ ภาวะหลอดเลือดแดงแข็ง เบาหวาน เคยบาดเจ็บที่ศีรษะ ชัก มีเนื้องอกในสมอง มีความผิดปกติของหัวใจ เช่น หัวใจเต้นไม่สม่ำเสมอ หัวใจวาย เป็นต้น ซึ่งอาการป่วยเหล่านี้อาจทำให้ผู้ป่วยใช้ยา EDTA ไม่ได้
  • ก่อนใช้ยา EDTA ควรแจ้งให้แพทย์ทราบหากกำลังรับประทานยาหรืออาหารเสริมใด ๆ โดยเฉพาะยากลุ่มดิจิทาลิสอย่างไดจอกซิน
  • ผู้ที่ตั้งครรภ์หรือกำลังให้นมบุตรควรปรึกษาแพทย์ก่อนใช้ยา EDTA เพราะยาอาจเป็นอันตรายต่อทารกได้ และยังไม่มีรายงานที่แน่ชัดเกี่ยวกับผลของยานี้ในช่วงที่ให้นมบุตร
  • ไม่ควรใช้ยา EDTA ร่วมกับยาวาร์ฟาริน เพราะอาจทำให้ยาวาร์ฟารินออกฤทธิ์ได้ไม่ดี หากจำเป็นต้องใช้ยานี้ ผู้ป่วยอาจต้องตรวจเลือดหรือปรับปริมาณการใช้ยาวาร์ฟารินด้วย
  • ไม่ควรใช้ยานี้ร่วมกับยาขับปัสสาวะ เช่น ฟูโรซีไมด์ หรือไฮโดรโคลโรไธอะไซด์ เป็นต้น เพราะอาจทำให้ระดับโพแทสเซียมในร่างกายลดลงจนเป็นอันตรายได้
  • ผู้ป่วยเบาหวานที่ใช้ยา EDTA ร่วมกับอินซูลิน อาจมีภาวะน้ำตาลในเลือดต่ำจนเป็นอันตรายได้ ผู้ป่วยจึงต้องคอยตรวจวัดระดับน้ำตาลในเลือดอยู่เสมอ หรืออาจต้องปรับปริมาณการใช้ยาอินซูลินด้วย
  • ผู้ป่วยอาจรู้สึกเจ็บปวดบริเวณที่ฉีดยา
  • การใช้ยา EDTA อาจทำให้ผู้ป่วยปัสสาวะน้อย โดยควรปรับปริมาณยาหากผู้ป่วยมีค่าการทำงานของไตผิดปกติ และควรหยุดใช้ยาหากผู้ป่วยมีภาวะไตวาย
  • หากใช้ยานี้เพื่อรักษาความผิดปกติของสมองจากพิษตะกั่วหรือภาวะสมองบวม ผู้ป่วยอาจมีภาวะความดันในศีรษะสูงหากได้รับยาทางหลอดเลือดดำ ซึ่งอาจต้องให้ยาทางกล้ามเนื้อแทน
  • ยา EDTA อาจทำให้เกิดภาวะแคลเซียมในเลือดต่ำ ซึ่งอาจส่งผลให้ผู้ป่วยชักหรือเสียชีวิตได้

ปริมาณการใช้ยา EDTA

แก้พิษตะกั่ว

ฉีดยาเข้ากล้ามเนื้อหรือหลอดเลือดดำ โดยมีการใช้ยาหลากหลายรูปแบบตามดุลยพินิจของแพทย์ เช่น แพทย์อาจให้ยา EDTA แก่ผู้ป่วยเข้าทางหลอดเลือดดำอย่างช้า ๆ เป็นเวลาประมาณ 8-24 ชั่วโมง 5 วันติดต่อกันแล้วหยุดให้ยา 2 วัน เป็นต้น

การใช้ยา EDTA

  • ผู้ป่วยควรเข้ารับการรักษาอย่างต่อเนื่อง เพื่อให้ได้ผลการรักษาที่ดี
  • แจ้งให้แพทย์ทราบทันทีหากมึนศีรษะหรือหน้ามืด ซึ่งอาจเป็นเพราะได้รับยาในปริมาณมากเกินไป
  • ลุกขึ้นจากท่านอนหรือท่านั่งช้า ๆ หลังได้รับยา และนอนพักหลังจากได้รับยาสักระยะ เพราะผู้ป่วยอาจมึนศีรษะหรือหายใจช้าจากภาวะความดันโลหิตต่ำ
  • ผู้ป่วยต้องรับการตรวจเลือดและปัสสาวะ เพื่อติดตามผลการรักษาและตรวจดูการทำงานของไต โดยผู้ป่วยอาจต้องฟอกไตด้วยหากเกิดภาวะไตวาย

ผลข้างเคียงจากการใช้ยา EDTA

หลังใช้ยา EDTA ผู้ป่วยต้องแจ้งให้แพทย์ทราบทันทีหากมีอาการหน้ามืด ผิวหนังลอก มีตุ่มหรือผื่นแดง รวมทั้งมีอาการแพ้ยา เช่น เป็นลมพิษ หายใจลำบาก มีอาการบวมบริเวณใบหน้า ปาก ลิ้น หรือลำคอ เป็นต้น

ส่วนผลข้างเคียงอื่น ๆ ที่อาจเกิดขึ้นได้หลังใช้ยา EDTA ได้แก่

  • รู้สึกไม่สบาย อ่อนเพลีย
  • มีไข้ หนาวสั่น
  • กระหายน้ำมากขึ้น
  • รู้สึกชาหรือเป็นเหน็บ โดยเฉพาะบริเวณรอบปาก
  • รู้สึกเจ็บปวด มีอาการบวมหรือแดงบริเวณที่ฉีดยา
  • ปวดศีรษะ
  • คลื่นไส้ อาเจียน ท้องเสีย
  • เกิดภาวะโพแทสเซียมในเลือดต่ำ
  • เกิดภาวะขาดแร่สังกะสี
  • เลือดแข็งตัวช้า
  • โลหิตจาง
  • ไขกระดูกทำงานน้อยลง
  • มีความผิดปกติของหัวใจ เช่น หัวใจเต้นไม่สม่ำเสมอ เป็นต้น
  • ไตเสียหาย ไตวาย