Fluconazole (ฟลูโคนาโซล)

Fluconazole (ฟลูโคนาโซล)

Fluconazole (ฟลูโคนาโซล) เป็นยาที่ใช้ในการรักษาอาการติดเชื้อราขั้นรุนแรง เช่น การติดเชื้อที่ผิวหนัง ปากและลำคอ ปอด กระเพาะปัสสาวะ ช่องคลอด และในกระแสเลือด รวมไปถึงป้องกันการติดเชื้อราในผู้มีภูมิคุ้มกันอ่อนแอจากมะเร็ง การติดเชื้อเอชไอวี (HIV) และโรคเอดส์

Fluconazole มีคุณสมบัติการป้องกันและรักษาอาการติดเชื้อราในกลุ่มเอโซล (Azole Antifungal) ซึ่งเชื้อราที่พบบ่อยคือเชื้อราในกลุ่มแคนดิดา (Candida) โดยกลไกในการทำงานของยาคือ ตัวยาจะเข้าไปก่อกวนการก่อตัวของเยื่อบุเซลล์เชื้อรา ทำให้เชื้อราค่อย ๆ ตายลง

Fluconazole

เกี่ยวกับยา Fluconazole

กลุ่มยา ยารักษาและป้องกันการติดเชื้อรา (Antifungal)
ประเภทยา ยาตามใบสั่งแพทย์ 
สรรพคุณ รักษาและป้องกันการติดเชื้อรา
กลุ่มผู้ป่วย เด็ก ผู้ใหญ่
การใช้ยาในหญิงตั้งครรภ์ Category C จากการศึกษาในสัตว์พบว่า ทำให้เกิดความผิดปกติต่อตัวอ่อนในครรภ์สัตว์ แต่ไม่มีการศึกษาในมนุษย์ หรือไม่มีข้อมูลเพียงพอในการศึกษาทดลองในมนุษย์และสัตว์ ควรใช้ยาเมื่อพิจารณาแล้วว่า มีประโยชน์มากกว่าความเสี่ยงที่อาจเกิดขึ้นต่อทารกในครรภ์

หญิงตั้งครรภ์หรือวางแผนจะตั้งครรภ์ ควรปรึกษาแพทย์ก่อนใช้ยา และไม่ควรใช้ยานี้ในช่วงไตรมาสแรกของการตั้งครรภ์ เพราะอาจเป็นอันตรายต่อทารกได้ และขณะที่ใช้ยานี้ควรปรึกษาแพทย์เพื่อใช้วิธีคุมกำเนิดที่มีประสิทธิภาพต่อเนื่องนานอย่างน้อย 1 สัปดาห์หลังใช้ยา Fluconazole หากพบว่าตั้งครรภ์ขณะใช้ยานี้ควรแจ้งให้แพทย์ทราบทันที
การใช้ยาในผู้ให้นมบุตร ยังไม่ทราบข้อมูลที่แน่ชัดเกี่ยวกับผลกระทบจากการใช้ยานี้ในผู้ที่ให้นมบุตร แต่พบว่ายานี้สามารถดูดซึมผ่านน้ำนมมารดาไปสู่ทารกได้ ผู้ที่ให้นมบุตรควรปรึกษาแพทย์ก่อนใช้ยา Fluconazole
รูปแบบของยา ยารับประทานชนิดเม็ด ชนิดน้ำเชื่อม และยาฉีดเข้าหลอดเลือดดำ 

คำเตือนเกี่ยวกับยา Fluconazole

การใช้ยา Fluconazole ให้ปลอดภัย ควรปฏิบัติตามคำแนะนำต่าง ๆ ดังนี้

  • ผู้ที่มีอาการแพ้ยา Fluconazole หรือส่วนประกอบของยาดังกล่าวไม่ควรใช้ยานี้
  • ควรปรึกษาแพทย์ก่อนใช้หากผู้ป่วยมีประวัติแพ้ยารักษาอาการติดเชื้อราในกลุ่มเอโซล (Azole Antifungal) เช่น คีโตโคนาโซล (Ketoconazole) ไอทราโคนาโซล (Itraconazole)
  • ผู้ที่มีปัญหาเกี่ยวกับระบบหัวใจ ตับ และไต ผู้ติดเชื้อเอชไอวี (HIV) โรคเบาหวาน มะเร็ง และมีระดับโพแทสเซียมในเลือดต่ำ ควรแจ้งให้แพทย์ก่อนใช้ยาชนิดนี้
  • หากต้องเข้ารับการตรวจการทำงานของตับ หรือไต ควรแจ้งแพทย์ก่อนว่ามีการใช้ยานี้

ปริมาณการใช้ยา Fluconazole

ปริมาณการใช้ยา Fluconazole จะขึ้นอยู่กับโรคที่รักษา ความรุนแรงของอาการ และดุลยพินิจของแพทย์ผู้รักษา โดยตัวอย่างปริมาณการใช้ยา เช่น

1. เชื้อราที่ผิวหนัง กลาก เกลื้อน สังคัง และเชื้อราที่เท้า

การรักษาเชื้อราที่ผิวหนัง กลาก เกลื้อน สังคัง และเชื้อราที่เท้าสำหรับผู้ใหญ่ รับประทานครั้งละ 50 มิลลิกรัม วันละครั้ง หรือสัปดาห์ละ 150 มิลลิกรัม เป็นเวลา 2–4 สัปดาห์ สำหรับการรักษาเชื้อราที่เท้า อาจต้องรับประทานยาต่อเนื่องกันประมาณ 6 สัปดาห์

2. เชื้อราช่องปาก และเชื้อราที่หลอดอาหาร

ผู้ใหญ่ รับประทานหรือฉีดยาครั้งละ 50–100 มิลลิกรัม วันละครั้ง ต่อเนื่องกัน 7–14 วัน สำหรับการรักษาเชื้อราในช่องปาก และ 14–30 วัน สำหรับการรักษาเชื้อราที่หลอดอาหาร

กรณีที่มีการติดเชื้อราในช่องปากเรื้อรังของผู้ที่ใส่ฟันปลอม ให้รับประทานหรือฉีดยาวันละ 50 มิลลิกรัม เป็นเวลา 14 วัน

เด็ก รับประทานหรือฉีดยาครั้งละ 6 มิลลิกรัมต่อน้ำหนักตัว 1 กิโลกรัม วันถัดไปรับประทานวันละ 3 มิลลิกรัมต่อน้ำหนักตัว 1 กิโลกรัม

4. เชื้อราในช่องคลอด และเชื้อราที่ปลายองคชาต

การรักษาเชื้อราในช่องคลอดสำหรับผู้ใหญ่ และการติดเชื้อราที่ปลายองคชาตสำหรับผู้ใหญ่และเด็กชายอายุมากกว่า 16 ปี รับประทานยาครั้งละ 150 มิลลิกรัม วันละครั้ง

5. การติดเชื้อในทางเดินปัสสาวะ และเยื่อบุช่องท้องอักเสบ (Peritonitis)

การติดเชื้อในทางเดินปัสสาวะ และเยื่อบุช่องท้องอักเสบสำหรับผู้ใหญ่ รับประทานยา 50–200 มิลลิกรัมต่อวัน ส่วนการใช้ยาในเด็กจะขึ้นอยู่กับดุลพินิจของแพทย์

6. โรคสมองอักเสบจากเชื้อราคริปโตคอคคัส (Cryptococcal Meningitis) และการติดเชื้อราแคนดิดาในกระแสเลือด

การรักษาโรคสมองอักเสบจากเชื้อราคริปโตคอคคัส (Cryptococcal Meningitis) และการติดเชื้อราแคนดิดาในกระแสเลือด แบ่งตามช่วงวัย ดังนี้

  • ผู้ใหญ่ รับประทานหรือฉีดยา 400 มิลลิกรัมในวันแรก จากนั้นรับประทานวันละ 200–400 มิลลิกรัม ต่อเนื่องกันอย่างน้อย 6–8 สัปดาห์ 
  • เด็ก รับประทานหรือฉีดยาวันละครั้ง ครั้งละ 6–12 มิลลิกรัมต่อน้ำหนักตัว 1 กิโลกรัม โดยปริมาณอาจปรับเปลี่ยนได้หากมีอาการติดเชื้อรุนแรง
  • การป้องกันไม่ให้อาการกำเริบในผู้ป่วยโรคเอดส์ ให้วันละ 100–200 มิลลิกรัมต่อวัน

การใช้ยา Fluconazole

ยา Fluconazole เป็นยาที่ต้องใช้ตามใบสั่งแพทย์เท่านั้น เพราะเป็นยาที่มีผลข้างเคียง และเป็นยาที่ใช้เพื่อรักษาเชื้อราเท่านั้น ไม่สามารถรักษาในกรณีของการติดเชื้อไวรัส เช่น โรคไข้หวัดใหญ่หรือโรคไข้หวัดได้ โดยการใช้ยาชนิดรับประทาน สามารถรับประทานก่อนหรือหลังอาหารก็ได้

ในการรับประทานยา Fluconazole แม้จะหายแล้วก็ควรรับประทานยาให้ครบตามที่แพทย์สั่ง และควรรับประทานอย่างต่อเนื่อง และเพื่อให้ยาสามารถออกฤทธิ์ได้อย่างมีประสิทธิภาพ อีกทั้งควรรับประทานยาให้ตรงเวลา และเป็นเวลาเดียวกันในทุก ๆ วัน

หากลืมรับประทานยา ควรรีบรับประทานยาให้เร็วที่สุด แต่ถ้าหากใกล้ถึงเวลาที่จะรับประทานครั้งต่อไปแล้ว ควรรอให้ถึงเวลาแล้วค่อยรับประทาน ไม่ควรเพิ่มขนาดของยาหากลืมรับประทานยา นอกจากนี้ ไม่ควรรับประทานยากับเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ และหลีกเลี่ยงการขับขี่ยานพาหนะ หรือทำงานกับเครื่องจักรกลหากต้องรับประทานยาดังกล่าว

ปฏิกิริยาระหว่างยา Fluconazole กับยาอื่น 

ยา Fluconazole อาจส่งผลต่อประสิทธิภาพของกับยารักษาโรคอื่นที่ใช้อยู่ หรือทำให้เกิดผลข้างเคียงต่อสุขภาพ ผู้ที่ใช้ยา Fluconazole ควรปรึกษาแพทย์ขณะที่ใช้ยาดังต่อไปนี้ร่วมด้วย

  • ยาปฏิชีวนะ เช่น อิริโทรมัยซิน (Erythromycin)
  • ยารักษาโรคหัวใจเต้นผิดจังหวะ เช่น ควินิดีน (Quinidine) อะมิโอดาโรน (Amiodarone)
  • ยาควบคุมความดันโลหิต และยาลดไขมันในเลือด เช่น อะทอร์วาสแตติน (Atorvastatin) ไฮโดรคลอโรไทอาไซด์ (Hydrochlorothiazide)
  • ยาต้านการแข็งตัวของเลือด เช่น วาร์ฟาริน (Warfarin)
  • ยารักษาโรคจิตเวช เช่น พิโมไซด์ (Pimozide) อะมิทริปไทลีน (Amitriptyline)
  • สำหรับผู้ที่ใช้ยาคุมกำเนิด ยานี้อาจส่งผลให้ประสิทธิภาพของยาคุมกำเนิดลดลง จึงควรใช้วิธีคุมกำเนิดอื่นร่วมด้วย
  • ยาอื่น ๆ เช่น ยารักษาโรคเบาหวาน วัณโรค ยากันชัก และยากลุ่ม NSAIDs ยาต้านไวรัสสำหรับผู้ติดเชื้อ HIV 

ผลข้างเคียงจากการใช้ยา Fluconazole

ผลข้างเคียงที่มักพบคืออาการปวดศีรษะ เวียนศีรษะ อาหารไม่ย่อย ปวดท้อง ท้องเสีย คลื่นไส้ อาเจียน ท้องผูก การรับรสเปลี่ยนไป ปวดกล้ามเนื้อ และอ่อนเพลีย

ผู้ที่ใช้ยา Fluconazole บางคนอาจมีอาการแพ้ยา เช่น มีผื่นขึ้น คัน หายใจลำบาก แน่นหน้าอก ใบหน้าบวมและหายใจมีเสียงหวีด หากพบอาการเหล่านี้ควรรีบแจ้งหน่วยแพทย์ฉุกเฉินโดยทันที เช่นเดียวกับผู้มีอาการผิดปกติจากผลข้างเคียงรุนแรงอื่น ๆ เช่น หัวใจเต้นเร็วหรือผิดจังหวะ ตัวเหลือง ปัสสาวะสีเข้ม ขาและข้อเท้าบวม ควรไปพบแพทย์เพื่อรับการรักษา