Heparin (เฮพาริน)

Heparin (เฮพาริน)

Heparin (เฮพาริน) คือยาป้องกันการแข็งตัวของเลือด มีฤทธิ์ช่วยรักษาและป้องกันการเกิดลิ่มเลือดในหลอดเลือดดำ หลอดเลือดแดง และปอด โดยแพทย์มักนำยานี้มาใช้กับผู้ป่วยก่อนการผ่าตัดเพื่อลดความเสี่ยงเกิดลิ่มเลือด

Heparin

เกี่ยวกับยา Heparin

กลุ่มยา ยาป้องกันการแข็งตัวของเลือด
ประเภทยา ยาตามใบสั่งแพทย์ 
สรรพคุณ ป้องกันการแข็งตัวของเลือดและละลายลิ่มเลือด
กลุ่มผู้ป่วย เด็กและผู้ใหญ่
รูปแบบของยา ยาฉีด

คำเตือนในการใช้ยา Heparin

  • หลีกเลี่ยงการใช้ยาหากผู้ป่วยมีประวัติแพ้ยานี้หรือผลิตภัณฑ์จากเนื้อหมู
  • ผู้ป่วยที่มีเกล็ดเลือดต่ำหรือมีปัญหาเกี่ยวกับการแข็งตัวของเลือดไม่ควรใช้ยานี้
  • แจ้งให้แพทย์ทราบก่อนใช้ยานี้ หากผู้ป่วยมีประวัติติดเชื้อที่เยื่อบุหัวใจ มีภาวะความดันโลหิตสูง และควบคุมอาการได้ไม่ดี มีปัญหาเกี่ยวกับการแข็งตัวของเลือด มีปัญหาเกี่ยวกับกระเพาะหรือลำไส้ เป็นโรคตับ หรือกำลังใช้ยาละลายลิ่มเลือดชนิดอื่น ๆ
  • การใช้ยานี้อาจเพิ่มความเสี่ยงให้เกิดภาวะเลือดออกผิดปกติในระหว่างการใช้ยาหรือหลังจากหยุดใช้ยาไปแล้ว ซึ่งเป็นอันตรายได้ ดังนั้น ผู้ป่วยควรเข้ารับการตรวจการแข็งตัวของเลือดอย่างสม่ำเสมอ
  • ผู้หญิงที่มีอายุมากกว่า 60 ปี ควรใช้ยานี้อย่างระมัดระวัง เพราะมีแนวโน้มเกิดภาวะเลือดออกผิดปกติในระหว่างการใช้ยา
  • สตรีที่อยู่ในช่วงมีประจำเดือนควรแจ้งให้แพทย์ทราบก่อนใช้ยา
  • สตรีมีครรภ์หรือวางแผนตั้งครรภ์ควรปรึกษาแพทย์ก่อนใช้ยา เนื่องจากยังไม่มีการรับรองว่ายานี้เป็นอันตรายต่อทารกในครรภ์หรือไม่
  • สตรีที่อยู่ในช่วงให้นมบุตรห้ามใช้ยานี้โดยไม่ได้รับคำแนะนำจากแพทย์ เพราะตัวยาอาจปนเปื้อนในน้ำนมและก่อให้เกิดอันตรายต่อทารกได้

ปริมาณการใช้ Heparin

ป้องกันหลอดเลือดหัวใจตีบซ้ำหลังจากการรักษาด้วยการละลายลิ่มเลือดในผู้ป่วยกล้ามเนื้อหัวใจตาย

  • ผู้ใหญ่ ให้ยาทางหลอดเลือดดำ 60 ยูนิต/น้ำหนักตัว 1 กิโลกรัม ปริมาณยาสูงสุดไม่เกิน 4,000 ยูนิต หรือฉีดครั้งเดียว 5,000 ยูนิต หากมีการใช้ยาสเตรปโตไคเนสร่วมด้วย จากนั้นให้ยา 12 ยูนิต/น้ำหนักตัว 1 กิโลกรัม/ชั่วโมง ปริมาณยาสูงสุดไม่เกิน 1,000 ยูนิต/ชั่วโมง โดยต้องเริ่มให้ยานี้ภายใน 48 ชั่วโมง หลังจากใช้ยาละลายลิ่มเลือด

รักษาภาวะหลอดเลือดแดงส่วนปลายอุดตัน อาการเจ็บหน้าอกชนิดไม่คงที่ และภาวะลิ่มเลือดอุดหลอดเลือดดำ

  • ผู้ใหญ่ ให้ยาทางหลอดเลือดดำ 75-80 ยูนิต/น้ำหนักตัว 1 กิโลกรัม หรือ 5,000 ยูนิต หรือให้ยา 10,000 ยูนิต ในกรณีที่ผู้ป่วยมีภาวะปอดอุดกั้นเรื้อรังอย่างรุนแรง จากนั้นให้ยา 18 ยูนิต/น้ำหนักตัว 1 กิโลกรัม หรือ 1,000-2,000 ยูนิต/ชั่วโมงอย่างต่อเนื่อง หรือให้เป็นระยะ ๆ ในปริมาณ 5,000-10,000 ยูนิต ทุก 4-6 ชั่วโมง  
  • เด็ก เริ่มต้นให้ยาในปริมาณ 50 ยูนิต/น้ำหนักตัว 1 กิโลกรัม จากนั้นให้ยา 15-25 ยูนิต/น้ำหนักตัว 1 กิโลกรัม/ชั่วโมง
  • ผู้สูงอายุ อาจต้องปรับลดปริมาณยาตามที่แพทย์กำหนด

ป้องกันภาวะหลอดเลือดดำอุดตันหลังจากการผ่าตัด

  • ผู้ใหญ่ ให้ยาเข้าใต้ผิวหนังในปริมาณ 5,000 ยูนิต ก่อนการผ่าตัด 2 ชั่วโมง หลังจากผ่าตัดแล้ว ให้ยาทุก 8-12 ชั่วโมง ติดต่อกัน 7 วัน หรือจนกว่าผู้ป่วยจะเคลื่อนไหวหรือลุกเดินได้

รักษาภาวะหลอดเลือดดำอุดตัน

  • ผู้ใหญ่ ให้ยาเข้าใต้ผิวหนังในปริมาณ 15,000-20,000 ยูนิตทุก 12 ชั่วโมง หรือ 8,000-10,000 ยูนิต ทุก 8 ชั่วโมง
  • เด็ก ให้ยา 250 ยูนิต/น้ำหนักตัว 1 กิโลกรัม วันละ 2 ครั้ง
  • ผู้สูงอายุ อาจต้องปรับลดปริมาณยาตามที่แพทย์กำหนด

การใช้ Heparin

  • Heparin เป็นยาฉีดเข้าใต้ผิวหนังหรือฉีดเข้าหลอดเลือดดำ แพทย์อาจให้ผู้ป่วยฉีดยาได้เองที่บ้าน แต่ต้องเรียนรู้วิธีการใช้ยาและเข็มฉีดยา รวมทั้งการทิ้งเข็มฉีดยาอย่างถูกต้องเพื่อความปลอดภัย
  • ไม่ควรใช้ยาหากสีของยาเปลี่ยนไปหรือยาตกตะกอน และควรแจ้งแพทย์หรือเภสัชกรเพื่อขอเปลี่ยนยา
  • แพทย์อาจให้ผู้ที่ใช้ยาละลายลิ่มเลือดเปลี่ยนจากการใช้ยาฉีดเป็นยารับประทาน ในระหว่างที่เริ่มเปลี่ยนยา ผู้ป่วยไม่ควรเลิกใช้ยานี้ทันทีหากไม่ได้รับคำสั่งจากแพทย์
  • ในระหว่างที่ใช้ยานี้ ควรหลีกเลี่ยงการใช้ยาบางชนิดที่เพิ่มความเสี่ยงต่อภาวะเลือดออกผิดปกติ เช่น ยาแอสไพริน ยาต้านการอักเสบชนิดไม่ใช่สเตียรอยด์ เป็นต้น
  • ระหว่างการใช้ยาผู้ป่วยอาจต้องเข้ารับการตรวจเลือดอย่างสม่ำเสมอเพื่อให้แน่ใจว่าการรักษาได้ผลและยาชนิดนี้ไม่เป็นอันตรายต่อผู้ป่วย
  • เก็บยาไว้ที่อุณหภูมิห้อง หลีกเลี่ยงความชื้น ความร้อน และเก็บให้พ้นจากมือเด็กและสัตว์เลี้ยง

ผลข้างเคียงจากการใช้ยา Heparin

การใช้ยา Heparin อาจทำให้เกิดผลข้างเคียงที่มักพบได้ ดังนี้

  • บริเวณที่ฉีดยามีอาการปวด รู้สึกอุ่น ผิวหนังแดงหรือมีสีเปลี่ยนไปจากเดิม
  • เลือดออกง่ายผิดปกติ เช่น เลือดกำเดาไหล เกิดจ้ำเลือดตามร่างกาย เป็นต้น
  • ผิวหนังมีรอยช้ำ
  • มีอาการคันเล็กน้อยที่เท้า

ในกรณีที่มีอาการรุนแรงต่อไปนี้ ผู้ป่วยควรหยุดใช้ยาและไปพบแพทย์ทันที

  • อาการแพ้ยา เช่น คลื่นไส้ อาเจียน คัน ลมพิษ เหงื่อออกมาก หายใจไม่ออก รู้สึกคล้ายจะหมดสติ มีอาการบวมที่บริเวณใบหน้า ริมฝีปาก ลิ้น หรือคอ เป็นต้น
  • มีปัญหาเกี่ยวกับการมีเลือดออก มีอาการบ่งบอก เช่น เหนื่อยง่ายผิดปกติ ปวดบริเวณท้อง ขาหนีบ หรือหลังส่วนล่วงอย่างรุนแรง บวมหรือฟกช้ำบริเวณท้องส่วนล่างหรือขาหนีบ มีเลือดออกหรือรอยห้อเลือดเกิดขึ้นผิดปกติ มีเลือดไหลไม่หยุด ไอเป็นเลือด อาเจียนออกมาเป็นสีน้ำตาลคล้ำ อุจจาระหรือปัสสาวะเป็นเลือด อุจจาระเป็นสีดำคล้ายยางมะตอยและมีกลิ่นเหม็นรุนแรง เป็นต้น
  • มีอาการชาหรืออ่อนแรงเฉียบพลัน ปวดศีรษะ พูดไม่ชัด การมองเห็นผิดปกติ
  • เจ็บหน้าอก มีอาการไออย่างเฉียบพลัน หายใจเสียงดังหวีด
  • บวมหรือรู้สึกอุ่นที่ขาข้างเดียวหรือทั้ง 2 ข้าง
  • มีไข้ หนาวสั่น คัดจมูก ตาแฉะ
  • ในทารกอาจเกิดอาการง่วงซึม อ่อนแรง หรือหายใจแบบอ้าปาก