ความหมาย เจ็ตแล็ก (Jet Lag)
Jet Lag (เจ็ตแล็ก) เป็นอาการป่วยชนิดหนึ่งที่เกี่ยวกับความผิดปกติทางการนอน ซึ่งเกิดขึ้นชั่วคราวจากการเดินทางบินข้ามเขตเวลาโลกแล้วร่างกายยังไม่สามารถปรับตัวให้เข้ากับเขตเวลาใหม่ได้ ทำให้มีอาการ เช่น นอนไม่หลับ หรือนอนมากเกินไป อ่อนเพลียในตอนกลางวัน ขาดสมาธิและสมรรถภาพในการทำงาน มีปัญหาในระบบทางเดินอาหาร เป็นต้น
แม้ว่าอาการ Jet Lag จะเกิดแล้วดีขึ้นเมื่อเวลาผ่านไป 1-2 วันเมื่อผู้ป่วยเริ่มฟื้นตัวและปรับตัวได้ แต่สำหรับบางคนอาจต้องใช้เวลานานกว่านั้น Jet Lag จึงอาจกระทบต่อการท่องเที่ยวพักผ่อน การติดต่อธุรกิจการงาน และการใช้ชีวิตหลังการเดินทาง จนผู้ป่วยบางรายอาจต้องการรับการรักษาจากแพทย์
อาการของเจ็ตแล็ก
Jet Lag สามารถเกิดขึ้นได้กับคนทุกช่วงวัย โดยอาการป่วยที่พบจะมีแนวโน้มรุนแรงขึ้นหากเดินทางเป็นเวลานาน หรือผ่านเขตเวลาที่แตกต่างกันหลาย ๆ แห่ง โดยอาการที่พบ ได้แก่
- มีปัญหาด้านการนอน เช่น นอนไม่หลับ นอนไม่พอ ตื่นกลางดึก ตื่นเร็ว หรือนอนมากเกินไป
- เมื่อยล้า อ่อนเพลีย หมดแรง ง่วงนอนในตอนกลางวัน
- ขาดสมาธิและสมรรถภาพในการทำงานได้ตามปกติ
- มีปัญหาด้านความจำ
- มีปัญหาในระบบทางเดินอาหาร เช่น ท้องผูก ท้องร่วง อาหารไม่ย่อย ไม่อยากอาหาร
- รู้สึกเหมือนไม่สบาย ปวดหัว วิงเวียน สับสนมึนงง เหงื่อไหล ปวดเมื่อยกล้ามเนื้อ
- อารมณ์เปลี่ยนแปลง เช่น หงุดหงิดง่าย วิตกกังวล
อาการเจ็ตแล็กที่ควรไปพบแพทย์
อาการ Jet Lag มักเกิดขึ้นชั่วคราว และดีขึ้นภายใน 1-2 วัน แต่หากประสบปัญหาจากอาการต่าง ๆ ที่เกิดขึ้นอย่างมาก อาการรุนแรงมาก มีความจำเป็นต้องเดินทางข้ามเขตเวลาบ่อย ๆ หรือมีอาการ Jet Lag อยู่เสมอ ผู้ป่วยควรไปพบแพทย์เพื่อปรึกษาและวางแผนการรับมือกับอาการ Jet Lag ที่เกิดขึ้นหรืออาจเกิดขึ้นต่อไป
สาเหตุของเจ็ตแล็ก
Jet Lag เกิดจากการเดินทางบินข้ามเขตเวลาโลกแล้วร่างกายยังไม่สามารถปรับตัวให้เข้ากับเขตเวลาใหม่ได้ในทันที โดยปัจจัยหลักที่ทำให้เกิดอาการ Jet Lag ได้แก่
นาฬิกาชีวิตของร่างกาย (Circadian Rhythms) ถูกรบกวน
ปกติเซลล์ในร่างกายจะถูกควบคุมให้ระบบต่าง ๆ ทำงานเป็นไปตามปกติภายในรอบเวลา 24 ชั่วโมง ซึ่งรวมไปถึงกิจวัตรประจำวันสำคัญที่ร่างกายต้องทำในช่วงเวลากลางวันและกลางคืนด้วย หากต้องเดินทางข้ามเขตเวลา ร่างกายต้องปรับนาฬิกาชีวิตใหม่ให้เข้ากับเขตพื้นที่ที่เดินทางไปถึง จึงกระทบต่อร่างกายและการทำกิจวัตรเหล่านั้น เช่น ด้านการนอนและการกิน จนเกิดเป็นกลุ่มอาการของ Jet Lag
อิทธิพลของแสงแดด
แสงแดดมีอิทธิพลต่อการผลิตสารเมลาโทนิน ซึ่งเป็นฮอร์โมนสำคัญที่ช่วยให้เซลล์ต่าง ๆ ในร่างกายทำงานตามปกติ และมีส่วนสำคัญในการปรับนาฬิกาชีวิตของร่างกายด้วยการส่งสัญญาณกระตุ้นให้ร่างกายทราบเมื่อถึงเวลาที่ควรนอนหลับพักผ่อน ทั้งนี้ อาจให้ร่างกายสัมผัสแสงแดดช่วงกลางวันในพื้นที่เขตเวลาใหม่ตามระยะเวลาที่เหมาะสม เพื่อให้ร่างกายสามารถปรับตัวเข้ากับเขตเวลาใหม่ได้
สภาพอากาศ และแรงดันอากาศภายในห้องโดยสาร
การเปลี่ยนแปลงของแรงดันอากาศ และระดับความสูงในระหว่างบิน อาจทำให้เกิดกลุ่มอาการ Jet Lag ได้แม้ไม่ได้บินข้ามเขตเวลา รวมทั้งสภาพอากาศที่มีความชื้นต่ำ อาจทำให้ร่างกายเสี่ยงเผชิญกับภาวะขาดน้ำจนมีอาการในกลุ่มอาการ Jet Lag ปรากฏได้
ผู้ที่อยู่ในกลุ่มเสี่ยงเผชิญปัญหาอาการเจ็ตแล็ก
- ผู้ที่ต้องเดินทางข้ามเขตเวลาโลก โดยเฉพาะอย่างยิ่ง ผู้ที่เดินทางข้ามเขตเวลาโลกหลาย ๆ เขต ยิ่งมีความเสี่ยงสูงต่อการเกิดอาการ Jet Lag
- ผู้ที่ต้องเดินทางบ่อย ๆ เช่น นักบิน ลูกเรือและพนักงานบริการบนเครื่องบิน และนักธุรกิจที่ใช้เวลาบนเครื่องบินเป็นเวลานาน หรือต้องเดินทางข้ามเขตเวลาโลกบ่อย ๆ
- ผู้ที่เดินทางข้ามเขตเวลาโลกไปทางทิศตะวันออก มักมีอาการรุนแรงกว่าผู้ที่เดินทางข้ามเขตเวลาไปทางทิศตะวันตก เนื่องจากร่างกายจะสามารถปรับตัวได้ดีกว่าเมื่อเดินทางไปทางทิศตะวันตกซึ่งเป็นเขตพื้นที่ที่เวลาล่าช้ากว่าเมื่อเทียบกับเขตเวลาทางทิศตะวันออก เราอาจปรับสภาพร่างกายให้เข้ากับเขตเวลาใหม่ด้วยการเข้านอนช้ากว่าปกติได้ง่ายกว่าการฝืนให้นอนหลับเร็วขึ้นกว่าปกติ
- ผู้ที่มีอายุมาก หรืออยู่ในกลุ่มผู้สูงอายุ มีแนวโน้มที่จะเผชิญกับอาการที่รุนแรงกว่า และใช้เวลานานกว่า ทั้งในการฟื้นตัวจากอาการ และการปรับตัวเข้ากับเขตเวลาใหม่อีกด้วย
การรักษาเจ็ตแล็ก
อาการ Jet Lag มักจะดีขึ้นและหายไปเมื่อร่างกายสามารถปรับตัวเข้ากับเขตเวลาใหม่ได้ภายใน 1-2 วัน โดยไม่ต้องรับการรักษา แต่หากอาการเกิดขึ้นอย่างต่อเนื่องยาวนาน อาการไม่ดีขึ้น หรือมีความจำเป็นต้องเดินทางข้ามเขตเวลาบ่อย ๆ ผู้ป่วยควรไปพบแพทย์ โดยแพทย์จะแนะนำแนวทางการรับมือกับอาการ Jet Lag หรืออาจแนะนำวิธีการรักษา ดังต่อไปนี้
การปรับพฤติกรรมรับมืออาการเจ็ตแล็ก
- ผู้ป่วยควรปรับตัวให้เข้ากับเขตเวลาใหม่ให้เร็วที่สุด เช่น การปรับตารางเวลา กิจกรรม และกิจวัตรประจำวัน โดยพยายามรับประทานอาหาร เข้านอน และตื่นนอนตามเวลาปกติของเขตเวลาใหม่
- แม้จะมีอาการอ่อนล้าหรือง่วงนอนหลังเดินทางข้ามเขตเวลาเป็นเวลานาน ควรพยายามอยู่อย่างตื่นตัวจนกว่าจะถึงเวลานอนตามปกติของเขตเวลาใหม่
- ทำกิจกรรมนอกบ้าน หรือออกไปสู่สภาพแวดล้อมภายนอก เพื่อให้แสงสว่างจากธรรมชาตินอกบ้านช่วยปรับนาฬิกาชีวิตของร่างกาย และเพื่อปรับร่างกายให้คุ้นชินกับสภาพเวลาในปัจจุบัน
การใช้ยา
แพทย์อาจจ่ายยานอนหลับเพื่อรักษาผู้ป่วยที่มีปัญหาเกี่ยวกับการนอน โดยอาจใช้ยากลุ่มนอนเบนโซไดอะเซปีน (Nonbenzodiazepines) เช่น โซลพิเดม (Zolpidem) หรือยากลุ่มเบนโซไดอะเซปีน (Benzodiazepines) เช่น ไตรอะโซแลม (Triazolam)
อย่างไรก็ตาม ผู้ป่วยต้องใช้ยาอย่างถูกต้องภายใต้คำสั่งจากแพทย์เท่านั้น ไม่ใช้ยาผิดวัตถุประสงค์ เพราะยานอนหลับอาจมีฤทธิ์ในทางเสพติด และควรรีบปรึกษาแพทย์หากพบผลข้างเคียงที่อาจกระทบต่อปัญหาสุขภาพ เช่น น้ำมูกไหล คลื่นไส้ อาเจียน ปวดหัว วิงเวียน สับสนมึนงง ง่วงนอนแม้เพิ่งตื่นนอน ท้องร่วง เป็นต้น
นอกจากนี้ แม้ในปัจจุบันอาจมีการโฆษณาขายยาแก้หรือป้องกันอาการ Jet Lag มากมาย แต่การใช้ยาอย่างผิดกฎหมายและไม่ใช่ยาภายใต้คำสั่งแพทย์ ย่อมมีความเสี่ยงต่อชีวิตและสุขภาพของผู้ป่วย ฉะนั้น หากผู้ป่วยมีข้อสงสัยหรือมีอาการป่วยที่ต้องการการรักษา ควรเข้ารับการปรึกษาหรือไปพบแพทย์เพื่อตรวจรักษา ไม่ควรรับประทานยารักษาใด ๆ ด้วยตนเองโดยไม่ผ่านคำสั่งหรือคำแนะนำจากแพทย์
การรับประทานฮอร์โมนเมลาโทนิน
สารเมลาโทนินเป็นฮอร์โมนที่ร่างกายผลิตขึ้นจากต่อมไพเนียลในสมอง ทำหน้าที่เกี่ยวข้องกับกระบวนการนอนหลับและการตื่นนอน ซึ่งเป็นส่วนสำคัญในการปรับนาฬิกาชีวิตของร่างกาย การรับประทานฮอร์โมนเมลาโทนินจึงอาจช่วยปรับวงจรการนอนให้เป็นปกติ แก้ปัญหาอาการ Jet Lag และปรับนาฬิกาชีวิตให้เข้ากับเขตเวลาใหม่ได้ในที่สุด
การรับประทานอาหารเสริมอาจเป็นประโยขน์ต่อบางคน อย่างไรก็ตาม ขณะนี้ยังไม่มีหลักฐานทางการแพทย์ที่เพียงพอจะยืนยันประสิทธิภาพของมันได้อย่างชัดเจน โดยวิธีการรับประทานฮอร์โมนเมลาโทนินที่แนะนำ คือ
- รับประทานเมลาโทนินในตอนกลางคืนของวันที่เดินทาง และช่วงกลางคืนในอีก 2-3 วันหลังเดินทางถึงที่หมายแล้ว
- หากต้องบินข้ามเขตเวลาไปทางฝั่งตะวันออก ควรรับประทานเมลาโทนินในช่วงเย็น 2-3 วันก่อนการเดินทาง
อย่างไรก็ดี ควรรับประทานเมลาโทนินภายใต้คำแนะนำจากแพทย์หรือเภสัชกร และรับประทานฮอร์โมนในวิธีและปริมาณที่ถูกต้องเหมาะสม เพื่อป้องกันการเกิดผลข้างเคียงที่เป็นอันตราย โดยต้องปรึกษาแพทย์ถึงประวัติการป่วยและการใช้ยาของผู้ป่วยก่อนเริ่มรับยาเสมอ เนื่องจากการรับฮอร์โมนเมลาโทนินอาจส่งผลกระทบต่อโรคหรืออาการป่วยอื่น รวมทั้งอาจทำปฏิกิริยาต่อยารักษาตัวอื่นที่กำลังใช้อยู่ โดยเฉพาะหากกำลังป่วยด้วยโรคลมชัก หรือกำลังรับประทานกลุ่มยาป้องกันการแข็งตัวของเลือด เช่น ยาวาร์ฟาริน (Warfarin)
การบำบัดด้วยแสง
แสงสว่างในตอนกลางวันจะช่วยปรับนาฬิกาชีวิตของร่างกายด้วยการกระตุ้นให้สมองสั่งการร่างกายตื่นขึ้นมาในตอนเช้า ดำเนินกิจกรรมต่าง ๆ ไปตามปกติ และกระตุ้นให้ทราบเมื่อถึงเวลาเข้านอนในตอนกลางคืน สำหรับผู้ที่ต้องเดินทางเป็นเวลานาน และเผชิญปัญหาอาการ Jet Lag แพทย์อาจแนะนำวิธีการบำบัดด้วยแสง เช่น การรับแสงแดดในช่วงเวลาที่เหมาะสมหลังการเดินทางข้ามเขตเวลา การใช้แสงสว่างจำลองหรือแสงจากโคมไฟเพื่อช่วยกระตุ้นในช่วงเวลาที่ต้องตื่นนอน
ภาวะแทรกซ้อนของเจ็ตแล็ก
- ขาดสมาธิ มีปัญหาด้านความจำชั่วคราว ทำให้ไม่สามารถทำงานหรือกิจกรรมต่าง ๆ ได้อย่างมีประสิทธิภาพ
- ไม่สามารถท่องเที่ยวพักผ่อนได้อย่างเต็มที่ เพราะมีสภาพจิตใจและสภาพร่างกายที่อ่อนล้าจากอาการป่วย
- เสี่ยงต่อการประสบอุบัติเหตุจากอาการง่วงนอนตอนกลางวัน เพราะมีปัญหาในการนอนตอนกลางคืน โดยเฉพาะอุบัติเหตุจากการขับขี่ยานพาหนะ และการใช้เครื่องจักร
การป้องกันเจ็ตแล็ก
- หลีกเลี่ยงการเดินทางเป็นเวลานาน ๆ หากเป็นไปได้ควรเลือกการเดินทางที่ใช้เวลาน้อยกว่าแทน
- วางแผนเดินทางล่วงหน้า เมื่อต้องเดินทางข้ามเขตเวลา หากเป็นไปได้ควรวางแผนการเดินทางให้ไปถึงที่หมายก่อนล่วงหน้าวันนัดหมาย 2-3 วัน เพื่อให้ร่างกายได้มีเวลาปรับตัวกับเขตเวลาใหม่
- ปรับเวลานอนก่อนออกเดินทาง 2-3 วัน หากต้องเดินทางข้ามเขตเวลาฝั่งตะวันออก ให้เข้านอนเร็วขึ้น 1 ชั่วโมงจากเวลานอนปกติ และหากต้องเดินทางข้ามเขตเวลาฝั่งตะวันตก ให้เข้านอนช้ากว่าเวลานอนปกติไป 1 ชั่วโมง
- ปรับกิจกรรม จัดตารางเวลา กำหนดการต่าง ๆ ให้ใกล้เคียงกับเวลาในสถานที่ปลายทาง และปรับเวลาในนาฬิกาให้เป็นสถานที่ปลายทางตั้งแต่ก่อนออกเดินทาง รวมทั้งอาจปรับเวลาในการรับประทานอาหารให้ใกล้เคียงกับช่วงเวลาในสถานที่เป้าหมายด้วย
- นอนหลับพักผ่อนให้เพียงพอก่อนออกเดินทาง เพราะการพักผ่อนไม่เพียงพออาจทำให้อาการ Jet Lag
- พยายามนอนหลับบนเครื่อง หากสถานที่เป้าหมายที่จะไปถึงตรงกับช่วงเวลากลางคืน โดยอาจใช้อุปกรณ์ช่วยเหลืออย่างหูฟังและผ้าปิดตาเพื่อให้นอนหลับได้ง่ายขึ้น และพยายามไม่นอนหลับ หากสถานที่เป้าหมายที่จะไปถึงตรงกับช่วงเวลากลางวัน
- ดื่มน้ำเปล่ามาก ๆ เพื่อป้องกันภาวะขาดน้ำ ทั้งในขณะเครื่องขึ้นบินและหลังเครื่องลงจอดแล้ว
- หลีกเลี่ยงการดื่มเครื่องดื่มที่มีแอลกอฮอล์หรือคาเฟอีนในขณะเดินทาง
- สัมผัสแสงแดด แสงแดดจะช่วยในกระบวนการปรับนาฬิกาชีวิตของร่างกาย หากเป็นไปได้เมื่อไปถึงปลายทาง ผู้ที่เดินทางข้ามเขตเวลาฝั่งตะวันออกควรรับแสงแดดในตอนเช้า ส่วนผู้ที่เดินทางข้ามเขตเวลาฝั่งตะวันตกควรรับแสงแดดในตอนบ่าย