Lamivudine (ลามิวูดีน)
Lamivudine (ลามิวูดีน) เป็นยาต้านไวรัสในกลุ่มเอ็นอาร์ทีไอ (Nucleoside Reverse Transcriptase Inhibitors: NRTI) ที่ออกฤทธิ์ช่วยลดจำนวนเชื้อเอชไอวีในร่างกายของผู้ป่วยติดเชื้อ ซึ่งจะช่วยให้ระบบภูมิคุ้มกันทำงานได้ดีขึ้น และลดความเสี่ยงในการเกิดภาวะแทรกซ้อนจากเชื้อเอชไอวี เช่น การติดเชื้อบางชนิด และมะเร็ง เป็นต้น โดยนำมาใช้ร่วมกับยารักษาการติดเชื้อเอชไอวีชนิดอื่น เพื่อรักษาผู้ป่วยที่ติดเชื้อเอชไอวี รวมไปถึงนำมารักษาผู้ติดเชื้อไวรัสตับอักเสบบีชนิดเรื้อรังด้วย หรืออาจใช้รักษาโรคอื่น ๆ ตามดุลยพินิจของแพทย์
ยา Lamivudine มีข้อห้ามใช้และอาจเกิดผลข้างเคียงได้ ดังนั้น การใช้ยาควรอยู่ภายใต้คำแนะนำของแพทย์และเภสัชกรเสมอ
เกี่ยวกับยา Lamivudine
กลุ่มยา | ยาต้านไวรัส |
ประเภทยา | ยาตามใบสั่งแพทย์ |
สรรพคุณ | ช่วยลดจำนวนเชื้อเอชไอวี และรักษาไวรัสตับอักเสบบีชนิดเรื้อรัง |
กลุ่มผู้ป่วย | ผู้ใหญ่ เด็ก |
รูปแบบของยา | ยารับประทาน |
คำเตือนในการใช้ยา Lamivudine
- แจ้งให้แพทย์ทราบก่อนใช้ยา หากมีประวัติแพ้ยาหรือส่วนประกอบของยาชนิดนี้ และแพ้ยาชนิดอื่น อาหาร หรือสารใด ๆ
- แจ้งให้แพทย์ทราบเกี่ยวกับยาทุกชนิดที่กำลังใช้อยู่ ทั้งยาที่แพทย์สั่ง ยาที่ซื้อใช้ด้วยตนเอง วิตามิน และสมุนไพรใด ๆ เพราะมียาหลายชนิดที่อาจมีปฏิกิริยากับยานี้
- ไม่ควรใช้ยา Lamivudine รักษาการติดเชื้อไวรัสตับอักเสบบี ชนิดอื่น หากกำลังใช้ยาอื่นที่มีส่วนประกอบของยานี้หรือยาเอ็มตริไซตาบีน
- แจ้งให้แพทย์ทราบก่อนใช้ยานี้ หากเป็นโรคตับหรือเคยรับการปลูกถ่ายตับ เป็นโรคไต เป็นโรคตับอ่อนอักเสบ หรือเคยใช้ยาชนิดอื่น ๆ รักษาโรคติดเชื้อเอชไอวี
- ปรึกษาแพทย์ก่อนใช้ยาเสมอ เพราะยา Lamivudine อาจทำให้ผู้ป่วยบางรายมีภาวะเลือดเป็นกรดจากแลคติก ซึ่งมักเกิดขึ้นในเพศหญิง ผู้ที่มีน้ำหนักเกิน ผู้ที่เป็นโรคตับ และผู้ที่ใช้ยารักษาภาวะเอดส์มาเป็นเวลานาน
- ผู้ป่วยโรคเบาหวานให้ระมัดระวังการใช้ยานี้ในรูปแบบสารละลาย เพราะอาจมีส่วนผสมของน้ำตาลประมาณ 3-4 กรัม ในปริมาณยาที่ใช้ต่อครั้ง
- ผู้ป่วยติดเชื้อเอชไอวีที่ตั้งครรภ์ควรปรึกษาแพทย์ถึงข้อดีและข้อเสียก่อนใช้ยา โดยการรักษาจะช่วยลดความเสี่ยงในการติดเชื้อเอชไอวีของทารกได้ และต้องใช้ยาตามที่แพทย์สั่งอย่างเคร่งครัด เพราะหากรักษาอย่างไม่เหมาะสมอาจทำให้เชื้อถูกส่งผ่านไปยังบุตรได้
- ไม่ควรให้นมบุตรในระหว่างที่ใช้ยา เพราะยาสามารถซึมผ่านสู่น้ำนมมารดาและอาจเป็นอันตรายต่อทารก
ปริมาณการใช้ยา Lamivudine
ปริมาณและระยะเวลาในการใช้ยาขึ้นอยู่กับดุลยพินิจของแพทย์ผู้รักษา โดยมีตัวอย่างการใช้ยา ดังนี้
การติดเชื้อเอชไอวี
ผู้ใหญ่
รับประทานยาปริมาณ 150 มิลลิกรัม วันละ 2 ครั้ง หรือ 300 มิลลิกรัม วันละ 1 ครั้ง ร่วมกับยาต้านรีโทรไวรัสชนิดอื่น
เด็ก
- เด็กอายุ 3 เดือนขึ้นไป และน้ำหนักตัวน้อยกว่า 14 กิโลกรัม ให้รับประทานยาชนิดสารละลายปริมาณ 4 มิลลิกรัม/น้ำหนักตัว 1 กิโลกรัม วันละ 2 ครั้ง
- เด็กที่มีน้ำหนักตัว 14-21 กิโลกรัม ให้รับประทานยาชนิดเม็ดปริมาณ 75 มิลลิกรัม วันละ 2 ครั้ง
- เด็กที่มีน้ำหนักตัว 22-30 กิโลกรัม ให้รับประทานยาชนิดเม็ดปริมาณ 75 มิลลิกรัมในมื้อเช้า และ 150 มิลลิกรัมในมื้อเย็น ร่วมกับยาต้านรีโทรไวรัสชนิดอื่น โดยปริมาณยาสูงสุดไม่เกิน 300 มิลลิกรัม/วัน
- เด็กที่มีน้ำหนักตัว 30 กิโลกรัมขึ้นไป ให้รับประทานยาชนิดเม็ดปริมาณ 150 มิลลิกรัม วันละ 2 ครั้ง โดยรับประทานยาปริมาณสูงสุดไม่เกิน 300 มิลลิกรัม/วัน ร่วมกับยาต้านรีโทรไวรัสชนิดอื่น
ไวรัสตับอักเสบบีชนิดเรื้อรัง
ผู้ใหญ่
รับประทานยาปริมาณ 100 มิลลิกรัม/วัน สำหรับผู้ป่วยที่มีการติดเชื้อเอชไอวีร่วมด้วย ให้รับประทานยาปริมาณ 150 มิลลิกรัม วันละ 2 ครั้ง หรือ 300 มิลลิกรัม/วัน
เด็ก
เด็กอายุ 2-17 ปี ให้รับประทานยาปริมาณ 3 มิลลิกรัม/น้ำหนักตัว 1 กิโลกรัม วันละ 1 ครั้ง โดยรับประทานยาปริมาณสูงสุดไม่เกิน 100 มิลลิกรัม/วัน
การใช้ยา Lamivudine
- ใช้ยาตามฉลากและตามคำสั่งแพทย์อย่างเคร่งครัด ไม่ใช้ยานี้ในปริมาณมากกว่า น้อยกว่า หรือติดต่อกันนานกว่าที่แพทย์แนะนำ หากมีข้อสงสัยควรสอบถามแพทย์หรือเภสัชกรก่อนใช้ยาเสมอ
- สามารถรับประทานยา Lamivudine พร้อมหรือไม่พร้อมอาหารก็ได้
- ควรวัดปริมาณยาชนิดสารละลายด้วยช้อนหรือถ้วยตวงสำหรับยาโดยเฉพาะ
- ระหว่างที่ใช้ยา ผู้ป่วยอาจต้องรับการตรวจเลือดอยู่บ่อยครั้ง รวมไปถึงตรวจการทำงานของไตและตับ
- ผู้ที่ใช้ยารักษาไวรัสตับอักเสบบีอาจมีอาการเกี่ยวกับตับหลังหยุดใช้ยา ซึ่งแพทย์อาจต้องตรวจการทำงานของตับอีกหลายเดือนหลังจากหยุดใช้ยา
- หากติดเชื้อเอชไอวีในระหว่างที่ใช้ยา Lamivudine ในการรักษาโรคตับอักเสบแล้วไม่ได้รับการรักษาทันที อาจทำให้เชื้อเอชไอวีดื้อต่อยาต้านไวรัสได้
- หากพบว่าเด็กมีน้ำหนักตัวเปลี่ยนแปลงในระหว่างที่ใช้ยานี้ ควรแจ้งให้แพทย์ทราบ เพราะอาจจำเป็นต้องปรับเปลี่ยนปริมาณการใช้ยา
- ห้ามแช่แข็งยา แต่ให้เก็บยาไว้ที่อุณหภูมิห้อง ให้ห่างจากความร้อนและความชื้น โดยปิดฝาบรรจุภัณฑ์ให้สนิททุกครั้งหลังใช้ยา
ผลข้างเคียงจากการใช้ยา Lamivudine
การใช้ยา Lamivudine อาจทำให้เกิดผลข้างเคียงที่พบได้บ่อย เช่น ปวดศีรษะ รูปร่างเปลี่ยนไป มีไข้ อ่อนเพลีย รู้สึกไม่สบาย หูติดเชื้อ ซึ่งอาจมีอาการเจ็บหูหรือได้ยินผิดปกติ จมูกหรือคอติดเชื้อ ซึ่งอาจมีอาการไอ จาม คัดจมูก เจ็บคอ เป็นต้น
ทั้งนี้ หากพบผลข้างเคียงที่รุนแรงดังต่อไปนี้ ควรรีบไปพบแพทย์ทันที
- อาการแพ้ยา เช่น ลมพิษ หายใจลำบาก หน้าบวม คอบวม ลิ้นบวม และริมฝีปากบวม เป็นต้น
- ภาวะเลือดเป็นกรดแลคติก อาจทำให้มีอาการบางอย่าง เช่น ปวดกล้ามเนื้อ กล้ามเนื้ออ่อนแรง ชา เย็นแขนและขา หายใจลำบาก ปวดท้อง คลื่นไส้ อาเจียน เวียนศีรษะ เหนื่อย อ่อนเพลีย หัวใจเต้นเร็วหรือเต้นผิดจังหวะ เป็นต้น
- ตับอ่อนผิดปกติ อาจมีอาการบางอย่าง เช่น ปวดท้องส่วนบนอย่างรุนแรงลามไปถึงด้านหลัง คลื่นไส้ อาเจียน และหัวใจเต้นเร็ว เป็นต้น
- ตับผิดปกติ อาจมีอาการบางอย่าง เช่น คลื่นไส้ ปวดท้องด้านขวา คัน เหนื่อย เบื่ออาหาร ปัสสาวะมีสีเข้ม และตัวเหลืองตาเหลือง เป็นต้น
นอกจากนี้ ยา Lamivudine อาจเพิ่มความเสี่ยงให้เกิดการติดเชื้อบางชนิดและเสี่ยงต่อโรคภูมิคุ้มกันทำลายตนเอง โดยอาจทำให้ระบบภูมิคุ้มกันเกิดการเปลี่ยนแปลง ซึ่งอาจเกิดอาการขึ้นหลังจากใช้ยาไปเป็นสัปดาห์หรือเป็นเดือน และหากผู้ป่วยพบอาการที่เป็นสัญญาณสำคัญดังต่อไปนี้ ต้องรีบแจ้งให้แพทย์ทราบทันที
- อาการที่บ่งบอกว่าเกิดการติดเชื้อ เช่น มีไข้ มีเหงื่อออก ต่อมน้ำเหลืองบวม มีแผลในปาก ท้องเสีย น้ำหนักลด และปวดท้อง เป็นต้น
- เจ็บหน้าอก ไอแห้ง ๆ หายใจมีเสียงหวีด หายใจไม่อิ่ม เป็นเริมที่ริมฝีปาก มีแผลที่อวัยวะเพศหรือทวารหนัก
- หัวใจเต้นเร็ว หงุดหงิด ประหม่า อ่อนเพลีย มีปัญหาในการทรงตัว
- มีปัญหาในการพูดหรือการกลืน ปวดหลังส่วนล่างอย่างรุนแรง กลั้นปัสสาวะหรืออุจจาระไม่ได้
- คอบวม ประจำเดือนมาไม่ปกติ ไร้สมรรถภาพทางเพศและไม่สนใจเรื่องเพศ
อย่างไรก็ตาม หากผู้ป่วยพบอาการผิดปกติใด ๆ เพิ่มเติม ก็ควรแจ้งให้แพทย์ทราบด้วยเช่นกัน