Lisinopril (ลิซิโนพริล)

Lisinopril (ลิซิโนพริล)

Lisinopril (ลิซิโนพริล) เป็นยาต้านเอนไซม์เอซีอี (ACE Inhibitor) ที่ออกฤทธิ์ช่วยคลายหลอดเลือด ทำให้ความดันโลหิตลดลง โดยนำมาใช้รักษาภาวะความดันโลหิตสูง รักษาโรคไตจากเบาหวาน ใช้หลังการเกิดภาวะหัวใจขาดเลือด และยังใช้ร่วมกับยาอื่น ๆ ในการรักษาภาวะหัวใจวายอีกด้วย

เกี่ยวกับยา Lisinopril

กลุ่มยา ยาต้านเอนไซม์เอซีอี
ประเภทยา ยาตามใบสั่งแพทย์
สรรพคุณ ลดความดันโลหิต
กลุ่มผู้ป่วย เด็กอายุ 6 ปีขึ้นไป และผู้ใหญ่
รูปแบบของยา ยารับประทาน
การใช้ยาในหญิงตั้งครรภ์ Category D จากการศึกษาในมนุษย์ พบความเสี่ยงทำให้เกิดความผิดปกติต่อทารกในครรภ์ จะใช้ก็ต่อเมื่อพิจารณาแล้วว่า ก่อให้เกิดประโยชน์ต่อมารดาและยอมรับความเสี่ยงที่อาจเกิดต่อทารกในครรภ์ โดยมากมักใช้ในกรณีที่จำเป็นในการช่วยชีวิต หรือใช้รักษาโรคร้ายแรงของมารดา ซึ่งไม่สามารถใช้ยาอื่น ๆ ทดแทนได้

1946 Lisinopril rs

คำเตือนในการใช้ยา Lisinopril

  • แจ้งให้แพทย์ทราบก่อนใช้ยาหากมีประวัติแพ้ยาหรือส่วนประกอบของยาชนิดนี้ รวมถึงยาและสารอื่น ๆ เพราะยาอาจมีส่วนประกอบที่ทำให้เกิดอาการแพ้หรือทำให้เกิดผลข้างเคียงอื่น ๆ ตามมาได้
  • ผู้ป่วยไม่ควรใช้ยานี้ หากมีประวัติแพ้ยาต้านเอนไซม์เอซีอี เช่น ยาแคปโตพริล ยาอีนาลาพริล ยาเพอรินโดพริล และยารามิพริล เป็นต้น
  • แจ้งให้แพทย์ทราบก่อนใช้ยานี้ หากมีภาวะโพแทสเซียมในเลือดสูง เป็นโรคตับหรือโรคไต
  • ผู้ป่วยไม่ควรใช้ยานี้หากเคยมีประวัติป่วยเป็นโรคแองจีโออีเดอมา
  • แจ้งให้แพทย์ทราบเกี่ยวกับยา วิตามิน อาหารเสริม และสมุนไพรทุกชนิดที่กำลังใช้อยู่ เพราะยาบางชนิดอาจทำปฏิกิริยากับยานี้และก่อให้เกิดผลข้างเคียงหรือทำให้ยามีประสิทธิภาพลดลงได้
  • หากผู้ป่วยใช้สารทดแทนเกลือหรือผลิตภัณฑ์ที่มีส่วนประกอบของโพแทสเซียม ควรปรึกษาและปฏิบัติตามคำแนะนำของแพทย์อย่างเคร่งครัดขณะใช้ยานี้ เพราะอาจส่งผลให้ระดับโพแทสเซียมในเลือดสูงขึ้นได้
  • แจ้งให้แพทย์ทราบว่ากำลังใช้ยานี้หากผู้ป่วยจำเป็นต้องเข้ารับการผ่าตัดใด ๆ
  • ผู้ป่วยที่เป็นโรคเบาหวานและโรคไตห้ามใช้ยานี้ร่วมกับยาที่มีส่วนประกอบของยาอะลิสไคเรน
  • ห้ามเริ่มใช้ยา หยุดใช้ยา หรือเปลี่ยนแปลงปริมาณยาด้วยตนเองโดยไม่ได้รับคำแนะนำจากแพทย์
  • สตรีมีครรภ์ห้ามใช้ยานี้ หากตั้งครรภ์ในระหว่างที่ใช้ยาควรหยุดใช้ยาและแจ้งให้แพทย์ทราบทันที เพราะหากผู้ป่วยใช้ยานี้ในช่วงไตรมาสที่ 2-3 ของการตั้งครรภ์ ตัวยาอาจเป็นอันตรายต่อทารกในครรภ์ได้ อีกทั้งยังควรปรึกษาแพทย์เพื่อหาวิธีคุมกำเนิดอย่างเหมาะสมในช่วงที่ใช้ยาด้วย
  • ควรหลีกเลี่ยงการให้นมบุตรขณะใช้ยานี้ เพราะยาอาจซึมผ่านน้ำนมมารดาและเป็นอันตรายต่อทารกได้
  • ผู้ป่วยอาจต้องตรวจวัดความดันโลหิตหรือตรวจเลือดขณะใช้ยาบ่อยครั้ง
  • หลีกเลี่ยงการดื่มแอลกอฮอล์ เพราะอาจทำให้เกิดภาวะความดันโลหิตต่ำและเสี่ยงต่อการเกิดผลข้างเคียงมากขึ้น
  • ควรหลีกเลี่ยงกิจกรรมที่ทำให้ร่างกายขาดน้ำในระหว่างที่ใช้ยา เช่น การเสียเหงื่อมาก ๆ จากการออกกำลังกาย การอยู่ในสภาพแวดล้อมที่มีอุณหภูมิสูง หรือการดื่มน้ำน้อย เป็นต้น
  • ควรลุกขึ้นจากท่านั่งหรือท่านอนอย่างช้า ๆ และระมัดระวังในการขึ้นลงบันไดขณะใช้ยานี้ เพราะอาจมีอาการวิงเวียนศีรษะได้
  • หลีกเลี่ยงการขับขี่ยานพาหนะ การใช้เครื่องจักร หรือการทำกิจกรรมที่ต้องตื่นตัวอยู่ตลอดเวลา เพราะยานี้อาจทำให้วิงเวียนศีรษะและเกิดอันตรายได้

ปริมาณการใช้ยา Lisinopril

ปริมาณและระยะเวลาในการใช้ยาขึ้นอยู่กับดุลยพินิจของแพทย์ผู้รักษา โดยมีตัวอย่างการใช้ยา ดังนี้

ความดันโลหิตสูง
ตัวอย่างการใช้ยารักษาความดันโลหิตสูง

เด็กอายุ 6 ปีขึ้นไป
เริ่มรับประทานยาปริมาณ 0.07 มิลลิกรัม/น้ำหนักตัวเป็นกิโลกรัม สูงสุด 5 มิลลิกรัม/น้ำหนักตัวเป็นกิโลกรัม 1 ครั้ง/วัน

ผู้ใหญ่
เริ่มรับประทานยาปริมาณ 10 มิลลิกรัม/วัน โดยควรรับประทานยาครั้งแรกก่อนนอน สำหรับผู้ป่วยภาวะความดันโลหิตสูงจากการตีบของหลอดเลือดแดงที่ไตและภาวะขาดเกลือและน้ำ ให้เริ่มจากรับประทานยาปริมาณ 2.5-5 มิลลิกรัม 1 ครั้ง/วัน และสำหรับผู้ป่วยที่ใช้ยาขับปัสสาวะ ให้เริ่มรับประทานยาปริมาณ 5 มิลลิกรัม 1 ครั้ง/วัน โดยรับประทานยาอย่างต่อเนื่องที่ปริมาณ 20 มิลลิกรัม 1 ครั้ง/วัน และเพิ่มปริมาณสูงสุดถึง 80 มิลลิกรัม/วัน ในกรณีที่จำเป็น

โรคไตจากเบาหวาน
ตัวอย่างการใช้ยารักษาโรคไตจากเบาหวาน

ผู้ใหญ่
ผู้ป่วยโรคเบาหวานชนิดที่ 2 ที่มีโปรตีนร้่วในปัสสาวะ หรือภาวะไมโครอัลบูมินูเรีย ให้รับประทานยาปริมาณ 10 มิลลิกรัม/วัน และอาจเพิ่มปริมาณถึง 20 มิลลิกรัม/วัน จนมีค่าความดันไดแอสโทลิกน้อยกว่า 90 มิลลิเมตรปรอท

หลังการเกิดภาวะหัวใจขาดเลือด
ตัวอย่างการใช้ยารักษาหลังการเกิดภาวะหัวใจขาดเลือด

ผู้ใหญ่
เริ่มต้นรับประทานยาปริมาณ 5 มิลลิกรัม 1 ครั้ง/วัน เป็นเวลา 2 วัน โดยเริ่มรับประทานใน 24 ชั่วโมงหลังเกิดอาการและเพิ่มปริมาณเป็น 10 มิลลิกรัม 1 ครั้ง/วัน สำหรับผู้ป่วยที่มีค่าความดันซิสโตลิกต่ำให้เริ่มรับประทานยาปริมาณ 2.5 มิลลิกรัม 1 ครั้ง/วัน

ภาวะหัวใจวาย
ตัวอย่างการใช้ยารักษาภาวะหัวใจวาย

ผู้ใหญ่
ใช้ยานี้รักษาเสริมกับยาตัวอื่น โดยเริ่มจากรับประทานยาปริมาณ 2.5-5 มิลลิกรัม/วัน หลังจากใช้ยาต่อเนื่องอย่างน้อย 2 สัปดาห์ ให้ค่อย ๆ เพิ่มปริมาณยาครั้งละไม่เกิน 10 มิลลิกรัม จนถึงปริมาณต่อเนื่องสูงสุดไม่เกิน 40 มิลลิกรัม/วัน

การใช้ยา Lisinopril

  • ใช้ยาตามฉลากและตามคำสั่งแพทย์อย่างเคร่งครัด ห้ามใช้ยานี้ในปริมาณมากกว่า น้อยกว่า หรือติดต่อกันนานกว่าที่แพทย์แนะนำ หากมีข้อสงสัยใด ๆ ควรปรึกษาแพทย์หรือเภสัชกรก่อนเสมอ
  • ควรดื่มน้ำให้เพียงพอในขณะที่ใช้ยานี้
  • รับประทานยานี้พร้อมหรือไม่พร้อมอาหารก็ได้
  • หากผู้ป่วยใช้ยานี้แล้วอาเจียนหรือท้องเสียอย่างต่อเนื่อง มีเหงื่อออกมากผิดปกติ หรือมีภาวะร่างกายขาดน้ำ ควรหยุดใช้ยาและไปพบแพทย์ เพราะอาจนำไปสู่ภาวะความดันโลหิตต่ำผิดปกติ ภาวะไม่อิเล็กโทรไลต์ไม่สมดุล หรือเกิดไตวายได้
  • ควรใช้ยานี้อย่างต่อเนื่องให้ครบกำหนดแม้ว่าจะมีอาการดีขึ้นแล้วก็ตาม
  • ห้ามให้ผู้อื่นใช้ยานี้ และห้ามใช้ยาของผู้อื่น
  • หากผู้ป่วยลืมรับประทานยา ให้รับประทานทันทีที่นึกขึ้นได้ แต่หากใกล้ถึงช่วงเวลาของยารอบถัดไป ให้ข้ามไปรับประทานยาตามเวลาปกติ โดยห้ามเพิ่มปริมาณยาเป็น 2 เท่า
  • หากรับประทานยาเกินกว่าปริมาณที่กำหนด ควรรีบไปพบแพทย์ทันที
  • เก็บยาไว้ที่อุณหภูมิห้อง ให้ห่างจากความชื้น ความร้อน และแสงแดด โดยเก็บยาให้ห่างจากมือเด็กและสัตว์เลี้ยง รวมถึงควรปรึกษาวิธีการเก็บรักษาและการกำจัดยาที่ถูกต้องจากแพทย์และเภสัชกรด้วย

ผลข้างเคียงจากการใช้ยา Lisinopril

โดยปกติ ยา Lisinopril อาจทำให้เกิดผลข้างเคียง เช่น วิงเวียนศีรษะ ปวดศีรษะ ไอแห้ง เป็นต้น

นอกจากนี้ ผู้ป่วยควรหยุดใช้ยาและไปพบแพทย์ทันทีหากเกิดอาการรุนแรงดังต่อไปนี้

  • หมดสติ
  • มีการแพ้ยาอย่างรุนแรง แม้จะพบได้ยาก เช่น มีผื่น คัน มีอาการลมพิษ ปวดท้องอย่างรุนแรง หายใจลำบาก มีอาการบวมโดยเฉพาะที่ใบหน้า ริมฝีปาก ลิ้น และคอ วิงเวียนศีรษะอย่างรุนแรง เป็นต้น
  • มีอาการของภาวะโพแทสเซียมในเลือดสูง เช่น คลื่นไส้ กล้ามเนื้ออ่อนแรง เป็นเหน็บ เจ็บหน้าอก หัวใจเต้นผิดปกติ เป็นต้น
  • มีปัญหาเกี่ยวกับไต ซึ่งมักพบได้ยาก เช่น ปัสสาวะได้น้อยหรือไม่ปัสสาวะเลย เท้าและข้อเท้าบวม อ่อนเพลีย หายใจไม่อิ่ม เป็นต้น
  • มีปัญหาเกี่ยวกับตับ ซึ่งมักพบได้ยาก เช่น คลื่นไส้ อาเจียน ปวดท้องส่วนบน คัน อ่อนเพลีย เบื่ออาหาร ปัสสาวะมีสีเข้ม อุจจาระมีสีซีด ดีซ่านเป็นต้น

แม้ผู้ป่วยบางคนอาจไม่มีผลข้างเคียงใด ๆ เกิดขึ้นหลังใช้ยา แต่หากพบผลข้างเคียงหรือความผิดปกติอื่น ๆ นอกเหนือจากนี้ ควรไปปรึกษาแพทย์หรือเภสัชกรเช่นกัน