ไมนอกซิดิล (Minoxidil)
Minoxidil (ไมนอกซิดิล) เป็นยาขยายหลอดเลือด โดยตัวยาจะออกฤทธิ์ทำให้หลอดเลือดขยายตัว ช่วยให้เลือดไหลเวียนได้ดีขึ้น และอาจช่วยเพิ่มการเจริญเติบโตของเส้นผมบนหนังศีรษะได้ จึงมักถูกนำมาใช้ในการรักษาปัญหาผมร่วงหรือหนังศีรษะล้าน นอกจากนี้ ยังสามารถใช้รักษาภาวะความดันโลหิตสูงอย่างรุนแรง ซึ่งอาจเป็นสาเหตุให้เกิดอาการร้ายแรงอื่น ๆ หรือทำลายอวัยวะสำคัญได้ด้วย
ยา Minoxidil ส่วนใหญ่จะอยู่ในรูปแบบของยาเม็ดสำหรับรับประทานหรือยาทาเฉพาะที่ การใช้ยา Minoxidil อาจใช้ร่วมกับยาชนิดอื่นอีก 2 ชนิด เพื่อป้องกันไม่ให้เกิดผลข้างเคียงที่รุนแรงต่อสุขภาพตามมา ดังนั้น การใช้ยาจึงควรใช้ภายใต้การดูแลของแพทย์ หรือใช้ตามคำแนะนำบนฉลากอย่างเคร่งครัดเท่านั้น
เกี่ยวกับยา Minoxidil
กลุ่มยา | ยาลดความดันโลหิต (Antihypertensive) |
ประเภทยา | ยาตามใบสั่งแพทย์ |
สรรพคุณ | รักษาปัญหาผมร่วง หนังศีรษะล้าน ลดความดันโลหิตสูง |
กลุ่มผู้ป่วย | เด็ก ผู้ใหญ่ และผู้สูงอายุ |
การใช้ยาในหญิงตั้งครรภ์และผู้ให้นมบุตร | Category C จากการศึกษาในสัตว์พบว่า ทำให้เกิดความผิดปกติต่อตัวอ่อนในครรภ์สัตว์ แต่ไม่มีการศึกษาในมนุษย์ หรือไม่มีข้อมูลเพียงพอในการศึกษาทดลองในมนุษย์และสัตว์ ควรใช้ยาเมื่อพิจารณาแล้วว่ามีประโยชน์มากกว่าความเสี่ยงที่อาจเกิดขึ้นต่อทารกในครรภ์ รวมถึงผู้ที่กำลังอยู่ในช่วงให้นมบุตรควรปรึกษาแพทย์ก่อนใช้ยา เพราะยังไม่มีงานวิจัยที่ยืนยันว่าสามารถใช้ได้โดยไม่ส่งผลกระทบต่อเด็กทารกที่รับประทานนมแม่ |
รูปแบบของยา | ยารับประทาน ยาทา โฟม สเปรย์ |
คำเตือนในการใช้ยา Minoxidil
เพื่อให้เกิดความปลอดภัยในการใช้ยา Minoxidil ผู้ใช้ยาควรระมัดระวังและปฏิบัติตามคำแนะนำ ดังนี้
- ผู้ที่มีประวัติแพ้ยา Minoxidil ควรหลีกเลี่ยงการใช้ยานี้ รวมถึงผู้ที่มีประวัติการแพ้ยาอื่น ๆ ควรปรึกษาแพทย์ก่อนการใช้ยา
- ผู้ที่กำลังตั้งครรภ์หรือให้นมบุตรควรปรึกษาแพทย์ก่อนการใช้ยา เพราะยังไม่มีข้อมูลยืนยันว่าตัวยาสามารถใช้ได้อย่างปลอดภัย รวมถึงการใช้ยานี้ในผู้ที่กำลังตั้งครรภ์อาจทำให้ทารกแรกคลอดมีการเจริญเติบโตของเส้นผมที่เร็วมากกว่าปกติด้วย
- ผู้ที่มีโรคประจำตัวควรปรึกษาแพทย์ก่อนการใช้ยา โดยเฉพาะผู้ที่เป็นโรคหัวใจ โรคไมเกรน โรคหอบหืด โรคลมชัก โรคไต หรือเป็นเนื้องอกต่อมหมวกไต (Pheochromocytoma)
- การใช้ยา Minoxidil ในเด็กจำเป็นต้องอยู่ภายใต้การดูแลของแพทย์เท่านั้น ไม่ควรให้เด็กใช้ยาชนิดนี้โดยไม่ได้ปรึกษาแพทย์
- โดยปกติยา Minoxidil จะใช้ร่วมกับยาชนิดอื่นอีก 2 ชนิด เพื่อป้องกันไม่ให้เกิดผลข้างเคียงต่อสุขภาพ ผู้ที่ใช้ยาจึงควรใช้ยาตามที่แพทย์สั่งอย่างเคร่งครัด
ปริมาณการใช้ยา Minoxidil
ปริมาณและระยะเวลาในการใช้ยา Minoxidil ขึ้นอยู่กับดุลยพินิจของแพทย์ผู้รักษา โดยตัวอย่างการใช้ยา Minoxidil มีดังนี้
ปัญหาผมร่วง หนังศีรษะล้าน
ตัวอย่างการใช้ยา Minoxidil เพื่อรักษาปัญหาผมร่วง หนังศีรษะล้าน
ผู้ใหญ่เพศชาย ใช้ยาทาเฉพาะที่ที่มีส่วนผสมของยา Minoxidil 2–5% ในปริมาณ 1 มิลลิลิตร วันละ 2 ครั้ง หรือใช้ผลิตภัณฑ์โฟมหรือสเปรย์ที่มีส่วนผสมของยา Minoxidil 5% ในปริมาณครึ่งฝา ทาลงบนหนังศีรษะวันละ 2 ครั้ง
ผู้ใหญ่เพศหญิง ใช้ยาทาเฉพาะที่ที่มีส่วนผสมของยา Minoxidil 2% ในปริมาณ 1 มิลลิลิตร วันละ 2 ครั้ง หรือใช้ผลิตภัณฑ์โฟมหรือสเปรย์ที่มีส่วนผสมของยา Minoxidil 5% ในปริมาณครึ่งฝา ทาลงบนหนังศีรษะวันละ 1 ครั้ง
ภาวะความดันโลหิตสูงอย่างรุนแรง
ตัวอย่างการใช้ยา Minoxidil เพื่อรักษาภาวะความดันโลหิตสูงอย่างรุนแรง
เด็กอายุไม่เกิน 12 ปี เริ่มรับประทานยา 0.2 มิลลิกรัม/น้ำหนักตัว 1 กิโลกรัม วันละ 1 ครั้ง จากนั้นค่อย ๆ เพิ่มปริมาณยาเป็น 0.25–1 มิลลิกรัม/น้ำหนักตัว 1 กิโลกรัม แต่ไม่ควรรับประทานเกินวันละ 50 มิลลิกรัม ควรใช้ร่วมกับยาลดอัตราการเต้นของหัวใจ เช่น ยาเบต้า บล็อกเกอร์ (Beta Blocker) หรือยาเมทิลโดปา (Methyldopa) และยาขับปัสสาวะ
ผู้ใหญ่ เริ่มรับประทานยา 5 มิลลิกรัม วันละ 1 ครั้ง จากนั้นค่อย ๆ เพิ่มปริมาณยาเป็น 10–40 มิลลิกรัม แต่ไม่ควรรับประทานเกินวันละ 100 มิลลิกรัม ควรใช้ร่วมกับยาลดอัตราการเต้นของหัวใจ เช่น ยาเบต้า บล็อกเกอร์ (Beta Blocker) หรือยาเมทิลโดปา (Methyldopa) และยาขับปัสสาวะ
ผู้สูงอายุ เริ่มรับประทานยา 2.5 มิลลิกรัม วันละ 1 ครั้ง จากนั้นค่อย ๆ เพิ่มปริมาณยาตามที่แพทย์สั่ง
การใช้ยา Minoxidil
แพทย์อาจให้ผู้ป่วยใช้ยา Minoxidil ครั้งแรกที่โรงพยาบาลหรือคลินิกก่อน เพื่อดูผลข้างเคียงที่อาจเกิดขึ้นและสามารถรักษาหรือป้องกันได้อย่างทันท่วงที ผู้ป่วยควรใช้ยาตามคำแนะนำของแพทย์หรือคำแนะนำบนฉลากอย่างเคร่งครัด ไม่ควรใช้ยาในปริมาณที่มากเกินไปหรือน้อยเกินไป รวมถึงไม่ควรใช้ยาในระยะเวลาเวลานานกว่าที่แพทย์กำหนดด้วย
ในระหว่างการใช้ยา Minoxidil ชนิดรับประทาน ผู้ป่วยอาจต้องปฏิบัติดังนี้
- วัดอัตราการเต้นของหัวใจด้วยการวัดชีพจรอย่างสม่ำเสมอ
- วัดความดันโลหิตเป็นประจำและตรวจสอบการทำงานของหัวใจด้วยการใช้เครื่องตรวจคลื่นไฟฟ้าของหัวใจ
- ชั่งน้ำหนักของตัวเองอย่างสม่ำเสมอ หากพบว่าน้ำหนักเพิ่มขึ้นอย่างรวดเร็วมากกว่า 2 กิโลกรัมขึ้นไป ควรแจ้งให้แพทย์ทราบ
การใช้ยา Minoxidil ชนิดยาทาเฉพาะที่ ควรทาตัวยาลงบนหนังศีรษะโดยตรงและนวดด้วยนิ้วมือ โดยระวังไม่ให้ยาเข้าตา จมูก ปาก หรือเนื้อเยื่อเมือกอื่น ๆ ในร่างกาย และต้องล้างมือทุกครั้งหลังจากการใช้ยา ส่วนการใช้ยา Minoxidil ชนิดโฟม ควรล้างมือด้วยน้ำเย็นและเช็ดมือให้แห้งสนิทก่อนการใช้ยา เพราะตัวโฟมสามารถละลายได้หากสัมผัสกับนิ้วมือที่อุ่น
ในกรณีที่ลืมใช้ยา ควรใช้ยาให้เร็วที่สุดเมื่อนึกขึ้นได้ แต่ถ้านึกขึ้นได้ตอนใกล้กับเวลาใช้ยาครั้งถัดไปให้ใช้ยาในครั้งถัดไปเพียงครั้งเดียว และควรเก็บยาในที่ที่มีอุณหภูมิต่ำกว่า 25 องศาเซลเซียส หลีกเลี่ยงความชื้น ความร้อน และแสง เพราะอาจทำให้ยาเสื่อมสภาพได้
ปฏิกิริยาระหว่างยา Minoxidil กับยาอื่น
ยา Minoxidil อาจทำปฏิกิริยากับยา วิตามิน หรือสมุนไพรบางชนิด ซึ่งอาจก่อให้เกิดผลข้างเคียงหรือทำให้ยามีประสิทธิภาพลดลง โดยเฉพาะยาต่อไปนี้
- ยารักษาภาวะความดันโลหิตสูงชนิดอื่น ๆ เพราะอาจเพิ่มประสิทธิภาพของยา และส่งผลให้ความดันโลหิตต่ำมากเกินไป
- ยาที่ออกฤทธิ์ปิดกั้นระบบประสาทอัตโนมัติ (Sympathomimetic Blocking Drugs) เช่น ยากัวเนธิดีน (Guanethidine) เพราะอาจส่งผลให้ความดันโลหิตต่ำมากเกินไป
- ยาทาเฉพาะที่อื่น ๆ เช่น ยาคอร์ติโคสเตียรอยด์ ยาเรตินอยด์ เพราะอาจทำให้ประสิทธิภาพในการดูดซึมยาเพิ่มมากขึ้น
ตัวอย่างยาและสมุนไพรข้างต้นเป็นเพียงส่วนหนึ่งที่อาจทำปฏิกิริยากับยา Minoxidil เท่านั้น หากผู้ป่วยกำลังใช้ยาหรือผลิตภัณฑ์ใด ๆ อยู่ ควรแจ้งให้แพทย์และเภสัชกรทราบก่อนเสมอ เพื่อความปลอดภัยต่อร่างกาย
ผลข้างเคียงจากการใช้ยา Minoxidil
การใช้ยา Minoxidil ชนิดรับประทาน อาจทำให้เกิดผลข้างเคียงบางประการ เช่น
- มีอาการเจ็บหน้าอก โดยอาการเจ็บอาจลามไปบริเวณกรามหรือไหล่ หรือหากมีอาการเจ็บหน้าอกอยู่แล้วอาจทำให้อาการแย่ลงได้
- หัวใจเต้นเร็ว ใจสั่น รู้สึกหวิว ๆ และหายใจถี่
- มีอาการบวมที่ขา ข้อเท้า หรือเท้า
- น้ำหนักตัวเพิ่มขึ้นอย่างรวดเร็ว
- รู้สึกเจ็บแสบผิวหนัง ร่วมกับเกิดผื่นสีแดงหรือม่วง
- มีของเหลวเกิดขึ้นที่ปอด อาจทำให้รู้สึกเจ็บเวลาหายใจ หายใจเร็ว หอบเหนื่อย หรือไอแบบมีเสมหะ
ส่วนการใช้ยา Minoxidil ชนิดยาทาเฉพาะที่ อาจทำให้เกิดผลข้างเคียงได้เช่นกัน ไม่ว่าจะเป็นผมหรือขนตามร่างกายเปลี่ยนสี เปลี่ยนแปลงความยาว ความหนา หรือมีผิวสัมผัสเปลี่ยนแปลงไป รวมถึงอาจเกิดผื่นคัน รู้สึกเจ็บเต้านม คลื่นไส้ หรืออาเจียนร่วมด้วย
นอกจากนี้ หากพบว่ามีอาการแพ้ยาเกิดขึ้น ได้แก่ เกิดลมพิษ หายใจลำบาก ใบหน้า ริมฝีปาก ลิ้น และลำคอบวม ควรรีบไปพบแพทย์