ความหมาย เนโฟรติก ซินโดรม (Nephrotic Syndrome)
Nephrotic Syndrome (เนโฟรติก ซินโดรม) หรือกลุ่มอาการโปรตีนรั่วในปัสสาวะ เป็นกลุ่มอาการโรคไตที่ทำให้ร่างกายขับโปรตีนออกทางปัสสาวะมาก ผู้ป่วยจะมีอาการบวมน้ำ โดยเฉพาะบริเวณเท้า ข้อเท้า และอาจเสี่ยงต่อการเกิดปัญหาสุขภาพต่าง ๆ ตามมา ซึ่งสาเหตุเกิดจากความผิดปกติที่ผนังหลอดเลือดในไตทำให้ไม่สามารถกรองโปรตีนหรือไข่ขาวได้ จึงมีไข่ขาวรั่วออกมากทางปัสสาวะจำนวนมาก กลุ่มอาการนี้เกิดขึ้นได้กับทุกวัย โดยจะพบมากในเด็กอายุ 2-5 ปี และมักพบในเพศชายมากกว่าเพศหญิง
อาการของเนโฟรติก ซินโดรม
ผู้ป่วยบางรายอาจไม่มีอาการแสดงให้เห็นชัดเจน และบางรายอาจไม่รู้ว่าตนเองกำลังป่วยเป็นกลุ่มอาการ Nephrotic Syndrome จนกระทั่งได้รับการตรวจปัสสาวะ
อย่างไรก็ตาม หากมีอาการป่วยปรากฏขึ้น มักพบอาการในลักษณะต่อไปนี้
- มีอาการบวมบริเวณรอบดวงตา ท้อง แขน ขา ข้อเท้า และเท้า
- น้ำหนักตัวเพิ่มขึ้น
- ปัสสาวะเป็นฟอง
- ปวดปัสสาวะน้อยมาก
- อ่อนเพลีย
- เบ่ื่ออาหาร
- ท้องเสีย
สาเหตุของเนโฟรติก ซินโดรม
สาเหตุที่ทำให้เกิด Nephrotic Syndrome นั้นมีทั้งชนิดปฐมภูมิซึ่งเกิดจากโรคที่ส่งผลกระทบต่อไต และชนิดทุติยภูมิซึ่งเกิดจากโรคที่ส่งผลกระทบต่ออวัยวะหลายส่วนในร่างกายรวมทั้งไตด้วย
โดยปัจจัยต่าง ๆ ที่เป็นสาเหตุทำให้กรวยไตเกิดความเสียหายจนไตขับโปรตีนออกมาทางปัสสาวะเป็นปริมาณมาก มีดังนี้
- กรวยไตเป็นแผล ซึ่งอาจมีสาเหตุจากโรคบางชนิด ความบกพร่องทางพันธุกรรม หรืออาจเกิดขึ้นโดยไม่มีสาเหตุ
- การกรองไตผิดปกติ จึงส่งผลให้ไตทำงานผิดปกติ เป็นสาเหตุที่พบบ่อยในเด็กเล็ก แต่เมื่อตัดชิ้นเนื้อส่งตรวจด้วยกล้องจุลทรรศน์จะพบความผิดปกติน้อยมาก
- เยื่อบุผิวภายในกรวยไตหนาตัวขึ้น ซึ่งอาจมีสาเหตุมาจากบางโรค เช่น โรคไวรัสตับอักเสบ บี ฃโรคมาลาเรีย และโรคมะเร็ง เป็นต้น
- กลุ่มอาการอะมีลอยโดซิส (Amyloidosis) เกิดขึ้นเมื่อมีการสะสมของสารโปรตีนอะมีลอยด์ในไต (Amyloid) จนส่งผลให้ไตทำงานผิดปกติ
- โรคพุ่มพวง หรือโรคแพ้ภูมิตัวเอง เพราะโรคนี้อาจส่งผลกระทบต่อไตอย่างร้ายแรงได้
- โรคไตจากเบาหวาน เพราะโรคเบาหวานอาจทำให้ไตถูกทำลาย ซึ่งอาจส่งผลกระทบต่อกรวยไตได้
- ลิ่มเลือดอุดตันในหลอดเลือดไต
- การใช้ยาบางชนิด เช่น ยาแก้อักเสบ และยาต้านการติดเชื้อ เป็นต้น
การวินิจฉัยเนโฟรติก ซินโดรม
แพทย์มักเริ่มวินิจฉัยอาการ Nephrotic Syndrome ด้วยการสอบถามอาการผิดปกติที่เกิดขึ้น ตรวจประวัติการเจ็บป่วย ตรวจร่างกาย และตรวจปัสสาวะโดยเก็บตัวอย่างปัสสาวะใน 24 ชั่วโมง เพื่อตรวจปริมาณของโปรตีนที่ปนอยู่ในน้ำปัสสาวะ
หากวินิจฉัยว่าผู้ป่วยเป็น Nephrotic Syndrome แพทย์อาจตรวจเลือดเพื่อหาระดับโปรตีนในเลือดด้วย นอกจากนี้ แพทย์อาจต้องตรวจเพิ่มเติมด้วยวิธีอื่น ๆ เช่น การเก็บตัวอย่างชิ้นเนื้อไปส่งตรวจ เป็นต้น เพื่อวินิจฉัยความผิดปกติของไตต่อไป
การรักษาเนโฟรติก ซินโดรม
การรักษาอาการ Nephrotic Syndrome นั้นขึ้นอยู่กับสาเหตุ โดยกระบวนการรักษาหลัก คือ การรักษาด้วยยา ซึ่งแพทย์จะใช้ยารักษาตามอาการ ดังนี้
- ยาขับปัสสาวะ เช่น ฟูโรซีไมด์ สไปโรโนแลคโตน และไฮโดรคลอโรไทอะไซด์ เป็นต้น เพื่อลดอาการบวมโดยช่วยกระตุ้นให้ไตระบายของเหลวส่วนเกินออกจากร่างกาย
- ยากดภูมิคุ้มกัน อย่างยาคอร์ติโคสเตียรอยด์ ซึ่งอาจช่วยลดการอักเสบของโรคบางชนิดได้ เช่น โรคพุ่มพวง และกลุ่มอาการอะมีลอยโดซิส เป็นต้น
- ยาลดคอเลสเตอรอล กลุ่มยาสแตติน เช่น อะทอร์วาสแตติน ฟลูวาสแตติน และโลวาสแตติน เป็นต้น ซึ่งยากลุ่มนี้จะช่วยลดระดับคอเลสเตอรอลในร่างกายได้
- ยาควบคุมความดันโลหิต แพทย์อาจให้ยากลุ่มแองจิโอเทนซิน 2 รีเซพเตอร์ บล็อกเกอร์ ยาลอซาร์แทน ยาวาลซาร์แทน และยาต้านเอนไซม์ เอซีอี เช่น บีนาซีพริล แคปโตพริล อีนาลาพริล เป็นต้น เพื่อช่วยลดความดันโลหิตและลดปริมาณโปรตีนในปัสสาวะ
- ยาเจือจางเลือด แพทย์อาจสั่งจ่ายยาต้านการจับตัวของเลือด เช่น เฮพาริน วาฟาริน และดาบิกาทราน เป็นต้น เพื่อไม่ให้เลือดจับตัวกันเป็นลิ่มในหลอดเลือด และลดความเสี่ยงการเกิดลิ่มเลือด
หากอาการของผู้ป่วยไม่ตอบสนองต่อการรักษาด้วยยา หรือมีอาการป่วยที่รุนแรงมาก อาจต้องเข้ารับการรักษาที่โรงพยาบาลเพื่อฉีดโปรตีนอัลบูมินเข้าหลอดเลือดดำ และอาจต้องได้รับการฟอกไตเพื่อกำจัดของเสียที่สะสมอยู่ในเลือดออกไป เนื่องจากไตไม่สามารถทำงานได้ตามปกติ
ภาวะแทรกซ้อนของเนโฟรติก ซินโดรม
กลุ่มอาการ Nephrotic Syndrome อาจทำให้เกิดอาการแทรกซ้อนได้ เช่น ความดันโลหิตสูง ระดับไขมันคอเลสเตอรอลและไตรกลีเซอไรด์ในเลือดเพิ่มสูงขึ้น ภาวะลิ่มเลือดในหลอดเลือดอุดตัน ภาวะขาดสารอาหาร ภาวะไตวายเฉียบพลัน โรคไตเรื้อรัง และอาจเกิดการติดเชื้อ เป็นต้น
การป้องกันเนโฟรติก ซินโดรม
แม้ Nephrotic Syndrome จะไม่มีวิธีการป้องกันโดยตรง แต่การปฏิบัติตามคำแนะนำดังต่อไปนี้ อาจช่วยให้กรวยไตเสี่ยงเกิดความเสียหายน้อยลง
- ควบคุมความดันโลหิตเพื่อป้องกันภาวะความดันโลหิตสูงจนเป็นอันตราย
- ควบคุมอาการของโรคเบาหวาน
- รับประทานยาปฏิชีวนะให้ครบตามจำนวนและระยะเวลาที่แพทย์กำหนดไว้
- เข้ารับการฉีดวัคซีนป้องกันโรคติดเชื้อ โดยเฉพาะผู้ที่ทำงานใกล้ชิดกับผู้ป่วยโรคไวรัสตับอักเสบหรือโรคติดเชื้ออื่น ๆ