Nitrofurantoin (ไนโตรฟูแรนโทอิน)
Nitrofurantoin (ไนโตรฟูแรนโทอิน) เป็นยาปฏิชีวนะที่ออกฤทธิ์ยับยั้งเชื้อแบคทีเรียในร่างกาย นำมาใช้รักษาและป้องกันการติดเชื้อในทางเดินปัสสาวะ และอาจใช้รักษาโรคอื่น ๆ ตามดุลยพินิจของแพทย์ด้วย
ยา Nitrofurantoin มีข้อห้ามใช้และอาจเกิดผลข้างเคียงได้ ดังนั้น การใช้ยาควรอยู่ภายใต้คำแนะนำของแพทย์และเภสัชกรเสมอ
เกี่ยวกับยา Nitrofurantoin
กลุ่มยา | ยาปฏิชีวนะ |
ประเภทยา | ยาตามใบสั่งแพทย์ |
สรรพคุณ | รักษาและป้องกันการติดเชื้อในทางเดินปัสสาวะ |
กลุ่มผู้ป่วย | ผู้ใหญ่ เด็ก |
รูปแบบของยา | ยารับประทาน |
คำเตือนในการใช้ยา Nitrofurantoin
- แจ้งให้แพทย์ทราบก่อนใช้ยานี้หากมีประวัติแพ้ยาหรือส่วนประกอบของยาชนิดนี้ แพ้ยาชนิดอื่น อาหาร หรือสารใด ๆ
- หลีกเลี่ยงการใช้ยาหากเป็นโรคไตรุนแรง มีประวัติดีซ่าน ตับผิดปกติจากการใช้ยา Nitrofurantoin มาก่อน ปัสสาวะน้อยกว่าปกติหรือไม่ปัสสาวะ และอยู่ในช่วง 2-4 สัปดาห์ก่อนคลอด
- แจ้งให้แพทย์ทราบก่อนใช้ยาหากเป็นโรคไต ภาวะโลหิตจาง โรคเบาหวาน มีการขาดวิตามินบี เกลือแร่ในร่างกายขาดความสมดุล เป็นโรคที่ทำให้ร่างกายอ่อนเพลีย หรือมีภาวะขาดเอนไซม์จีซิกพีดี (Glucose-6-Phosphate Dehydrogenase: G6PD)
- ห้ามให้เด็กอายุต่ำกว่า 1 เดือนใช้ยา Nitrofurantoin
- ผู้ที่ตั้งครรภ์หรือวางแผนมีบุตรควรปรึกษาแพทย์ถึงข้อดีและข้อเสียของยาก่อนใช้เสมอ
- ห้ามให้นมบุตรในระหว่างที่ใช้ยา เพราะยาอาจซึมผ่านสู่น้ำนมมารดาและเป็นอันตรายต่อทารกได้
- ระหว่างที่ใช้ยานี้ ให้หลีกเลี่ยงการใช้ยาลดกรดโดยไม่ได้ปรึกษาแพทย์ เพราะยาลดกรดบางชนิดอาจทำให้ร่างกายดูดซึมยา Nitrofurantoin ได้ยาก
ปริมาณการใช้ยา Nitrofurantoin
ปริมาณและระยะเวลาในการใช้ยาขึ้นอยู่กับดุลยพินิจของแพทย์ผู้รักษา โดยมีตัวอย่างการใช้ยา ดังนี้
ป้องกันการติดเชื้อในทางเดินปัสสาวะชนิดไม่ซับซ้อน
- ผู้ใหญ่ รับประทานยาปริมาณ 50-100 มิลลิกรัม ในเวลาก่อนนอน
เด็ก อายุ 3 เดือนขึ้นไป รับประทานยาปริมาณ 1 มิลลิกรัม/น้ำหนักตัว 1 กิโลกรัม/วัน
รักษาการติดเชื้อในทางเดินปัสสาวะเฉียบพลันชนิดไม่ซับซ้อน
- ผู้ใหญ่ รับประทานยาปริมาณ 50-100 มิลลิกรัม วันละ 4 ครั้ง เป็นเวลา 7 วัน
- เด็ก อายุ 3 เดือนขึ้นไป รับประทานยาปริมาณ 3 มิลลิกรัม/น้ำหนักตัว 1 กิโลกรัม/วัน โดยแบ่งรับประทาน 4 ครั้ง
การใช้ยา Nitrofurantoin
- ใช้ยาตามฉลากและตามคำสั่งแพทย์อย่างเคร่งครัด ไม่ใช้ยานี้ในปริมาณมากกว่า น้อยกว่า หรือติดต่อกันนานกว่าที่แพทย์แนะนำ หากมีข้อสงสัยควรสอบถามแพทย์หรือเภสัชกรก่อนใช้ยาเสมอ
- รับประทานยา Nitrofurantoin พร้อมมื้ออาหารหรือหลังอาหารทันที
- ในการใช้ยาชนิดสารละลาย ให้เขย่าขวดก่อนนำไปวัดปริมาณยา โดยใช้ช้อนหรือถ้วยสำหรับวัดปริมาณยา
- ต้องใช้ยาให้ครบกำหนดตามที่แพทย์สั่ง แม้ว่าอาการจะดีขึ้นแล้วก็ตาม เพราะอาการอาจดีขึ้นก่อนที่โรคจะหายเป็นปกติ และอย่าลืมใช้ยา เพราะอาจทำให้เกิดการติดเชื้อซ้ำซ้อนได้
- โดยส่วนใหญ่ผู้ป่วยจะได้รับยาต่ออีก 3 วันขึ้นไปหลังจากทดสอบทางห้องปฏิบัติการแล้วไม่พบการติดเชื้อ
- กรณีที่ผู้ป่วยต้องใช้ยาติดต่อกันในระยะยาว อาจจำเป็นต้องได้รับการตรวจร่างกายบ่อยครั้ง
- การใช้ยา Nitrofurantoin อาจทำให้การทดสอบทางการแพทย์บางชนิดคลาดเคลื่อน เช่น การทดสอบกลูโคสในปัสสาวะ เป็นต้น ดังนั้น ผู้ป่วยต้องแจ้งให้ผู้ตรวจทราบว่ากำลังใช้ยานี้ก่อนเข้ารับการตรวจ
- การใช้ยา Nitrofurantoin อาจทำให้เกิดอาการท้องเสีย โดยเฉพาะท้องเสียเป็นน้ำหรือปนเลือด แต่ห้ามใช้ยาเพื่อหยุดอาการท้องเสียนอกจากแพทย์จะสั่ง
- เก็บยาไว้ในอุณหภูมิห้อง ให้ห่างจากความชื้น ความร้อน และแสงแดด
- หากลืมรับประทานยาตามเวลาที่กำหนด ให้ใช้ยาทันทีที่นึกขึ้นได้ แต่หากใกล้ถึงเวลาของยาในรอบถัดไป ให้ข้ามไปรับประทานยารอบต่อไป ห้ามเพิ่มปริมาณยาเป็น 2 เท่า
- หากสงสัยว่าตนใช้ยาเกินกว่าปริมาณที่กำหนด ควรแจ้งให้แพทย์ทราบทันที
ผลข้างเคียงจากการใช้ยา Nitrofurantoin
การใช้ยา Nitrofurantoin อาจทำให้เกิดผลข้างเคียง เช่น เวียนศีรษะ ปวดศีรษะ ท้องอืด ท้องไส้ปั่นป่วน ท้องเสีย คันหรือมีของเหลวไหลออกจากช่องคลอด เป็นต้น หากอาการดังกล่าวไม่หายไปหรือรบกวนการใช้ชีวิตประจำวัน ผู้ป่วยควรไปพบแพทย์
หากพบผลข้างเคียงที่รุนแรงจากการใช้ยา Nitrofurantoin ดังต่อไปนี้ ควรหยุดใช้ยาและรีบไปพบแพทย์
- ท้องเสียเป็นน้ำหรือปนเลือด
- มีไข้ หนาวสั่น ปวดตามตัว เหนื่อย น้ำหนักตัวลด
- เหน็บชา หรือเจ็บที่มือและเท้า
- เจ็บหน้าอกหรือแน่นหน้าอกอย่างกะทันหัน หายใจมีเสียง มีปัญหายในการหายใจ ไอหรือไอมากขึ้น
- การทำงานของตับผิดปกติ ซึ่งอาจมีอาการ เช่น คลื่นไส้ ท้องไส้ปั่นป่วน คัน เหนื่อย เบื่ออาหาร ปัสสาวะมีสีเข้ม อุจจาระมีสีซีด และตัวเหลืองตาเหลือง เป็นต้น
- กลุ่มอาการคล้ายโรคลูปัส ซึ่งอาจทำให้มีอาการ เช่น ปวดข้อหรือข้อบวมพร้อมกับมีไข้ ต่อมน้ำเหลืองบวม ปวดกล้ามเนื้อ เจ็บหน้าอก อาเจียน มีความคิดหรือพฤติกรรมผิดปกติ และสีผิวไม่สม่ำเสมอ เป็นต้น
ทั้งนี้ ผลข้างเคียงที่รุนแรงมักเกิดกับผู้สูงอายุหรือผู้ที่มีร่างกายอ่อนแอ และหากผู้ป่วยพบอาการผิดปกติใด ๆ เพิ่มเติม ควรแจ้งให้แพทย์ทราบด้วยเช่นกัน