Norfloxacin (นอร์ฟลอกซาซิน)
Norfloxacin (นอร์ฟลอกซาซิน) เป็นยาปฏิชีวนะที่จัดอยู่ในกลุ่มยาควิโนโลน (Quinolone) ซึ่งมีกลไกออกฤทธิ์ยับยั้งการเจริญเติบโตของเชื้อแบคทีเรีย โดยยานอร์ฟลอกซาซินจะนำมาใช้รักษาโรคที่เกิดจากการติดเชื้อแบคทีเรีย เช่น โรคติดเชื้อระบบทางเดินปัสสาวะ โรคติดต่อทางเพศสัมพันธ์ โรคต่อมลูกหมากอักเสบ
ยา Norfloxacin มีกลไกการออกฤทธิ์ช่วยยับยั้งและหยุดการเจริญเติบโตของแบคทีเรีย ซึ่งการใช้ยาควรอยู่ภายใต้คำแนะนำของแพทย์และเภสัชกร เนื่องจากยานี้มีข้อห้ามใช้และผลข้างเคียงมาก ดังนั้น การใช้ยาควรได้รับคำแนะนำจากแพทย์หรือเภสัชกร
เกี่ยวกับยา Norfloxacin
กลุ่มยา | ยาปฏิชีวนะกลุ่มควิโนโลน (Quinolone Antibiotic) |
ประเภทยา | ยาตามใบสั่งแพทย์ |
สรรพคุณ | รักษาการติดเชื้อจากแบคทีเรีย |
กลุ่มผู้ป่วย | ผู้ใหญ่ |
การใช้ยาในหญิงตั้งครรภ์ | Category C จากการศึกษาในสัตว์พบว่า ทำให้เกิดความผิดปกติต่อตัวอ่อนในครรภ์สัตว์ แต่ไม่มีการศึกษาในมนุษย์ หรือไม่มีข้อมูลเพียงพอในการศึกษาทดลองในมนุษย์และสัตว์ ควรใช้ยาเมื่อพิจารณาแล้วว่า มีประโยชน์มากกว่าความเสี่ยงที่อาจเกิดขึ้นต่อทารกในครรภ์ ทั้งนี้ ผู้ที่กำลังตั้งครรภ์หรือวางแผนจะมีบุตรควรแจ้งให้แพทย์หรือเภสัชกรทราบก่อนใช้ยานี้ |
การใช้ยาในผู้ให้นมบุตร | ยานี้อาจขับออกผ่านทางนมแม่ไปสู่ทารกได้ ผู้ที่กำลังให้นมบุตรควรปรึกษาแพทย์หรือเภสัชกรก่อนใช้ยา |
รูปแบบของยา | ยารับประทาน |
คำเตือนของการใช้ยา Norfloxacin
เพื่อความปลอดภัยในการใช้ยา Norfloxacin ผู้ป่วยควรระมัดระวังและปฏิบัติตามคำแนะนำ ดังนี้
- ควรแจ้งประวัติการแพ้ยาให้แพทย์และเภสัชกรทราบ โดยเฉพาะยาปฏิชีวนะในกลุ่มควิโนโลนตัวอื่น เช่น ยาไซโปรฟลอกซาซิน (Ciprofloxacin) และยาลีโวฟลอกซาซิน (Levofloxacin) รวมไปถึงประวัติอาการแพ้อื่น ๆ ก่อนการใช้ยา เพราะส่วนผสมบางตัวในยานี้อาจทำให้ผู้ป่วยมีอาการแพ้ได้
- ก่อนใช้ยานี้ควรแจ้งให้แพทย์และเภสัชกรทราบถึงประวัติโรคประจำตัว โดยเฉพาะผู้ที่มีปัญหาเกี่ยวกับเส้นเอ็นและข้อต่อ โรคไต โรคกล้ามเนื้ออ่อนแรง มีปัญหาเกี่ยวกับระบบประสาท โรคลมชัก
- ยานี้อาจทำให้เกิดความผิดปกติของคลื่นไฟฟ้าหัวใจ โดยอาจทำให้เกิดอาการที่รุนแรง แต่พบได้น้อย เช่น หัวใจเต้นเร็วหรือเต้นผิดปกติ เวียนศีรษะ หรือหมดสติ ซึ่งต้องได้รับการรักษาในทันที
- หากมีประวัติหัวใจเต้นช้า หัวใจล้มเหลว คลื่นไฟฟ้าหัวใจผิดปกติ หรือมีประวัติคนในครอบครัวมีปัญหาด้านหัวใจ ควรแจ้งให้แพทย์หรือเภสัชกรทราบก่อนใช้ยานอร์ฟลอกซาซิน
- ยานี้อาจส่งผลที่รุนแรงต่อการเปลี่ยนแปลงของระดับน้ำตาลในเลือด โดยเฉพาะกับผู้ที่เป็นโรคเบาหวาน แต่เป็นกรณีที่พบได้น้อย
- ผู้ที่กำลังตั้งครรภ์ กำลังวางแผนจะมีบุตร หรืออยู่ในช่วงให้นมบุตร ควรแจ้งแพทย์ก่อนการใช้ยานี้
- เด็กอายุต่ำกว่า 18 ปี ไม่ควรรับประทานยานี้ ยกเว้นจะได้รับคำแนะนำจากแพทย์ เนื่องจากมีความเสี่ยงในการเกิดผลข้างเคียงจากยาสูง
- หลีกเลี่ยงการขับรถ ทำงานเกี่ยวกับเครื่องจักร หรือทำกิจกรรมใด ๆ ที่ต้องใช้ความระมัดระวัง เพราะยานี้อาจทำให้เกิดอาการวิงเวียน ง่วงนอน ซึ่งเป็นเหตุให้เกิดอุบัติเหตุได้ รวมไปถึงควรจำกัดการดื่มเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ให้พอเหมาะ
- หลีกเลี่ยงการสัมผัสกับแสงแดด ควรใช้ครีมกันแดดหรือใส่เสื้อผ้าที่ช่วยกันแสงแดดเมื่อต้องออกกลางแจ้ง เพราะการใช้ยานี้อาจส่งผลให้ผิวไวต่อแสงแดดมากขึ้น
- ไม่ควรรับการฉีดวัคซีนในขณะที่ใช้ยานี้ นอกจากจะได้รับคำแนะนำจากแพทย์ เพราะอาจทำให้วัคซีนมีประสิทธิภาพลดลงได้
- เด็กควรปรึกษาแพทย์ก่อนใช้ยานี้ เนื่องจากมีความเสี่ยงสูงที่จะทำให้เกิดปัญหาเกี่ยวกับข้อต่อและเส้นเอ็น
ปริมาณการใช้ยา Norfloxacin
ปริมาณการใช้ยา Norfloxacin และระยะเวลาในการใช้ยาขึ้นอยู่กับดุลยพินิจของแพทย์ผู้รักษา เช่น
โรคต่อมลูกหมากอักเสบ (Prostatitis)
ตัวอย่างปริมาณการใช้ยา Norfloxacin เพื่อรักษาโรคต่อมลูกหมากอักเสบ
ผู้ใหญ่: รับประทานขนาด 400 มิลลิกรัม ทุก ๆ 12 ชั่วโมง เป็นระยะเวลา 28 วัน
โรคติดเชื้อระบบทางเดินปัสสาวะ (Urinary Tract Infections)
ตัวอย่างปริมาณการใช้ยา Norfloxacin เพื่อรักษาการติดเชื้อทางเดินปัสสาวะ
ผู้ใหญ่: รับประทานยาขนาด 400 มิลลิกรัม ทุก ๆ 12 ชั่วโมง โดยระยะเวลาอาจขึ้นอยู่กับชนิดของโรคและดุลยพินิจของแพทย์
โรคกรวยไตอักเสบ (Pyelonephritis)
ตัวอย่างปริมาณการใช้ยา Norfloxacin เพื่อรักษาโรคกรวยไตอักเสบ
ผู้ใหญ่: รับประทานยาขนาด 400 มิลลิกรัม ทุก ๆ 12 ชั่วโมง เป็นระยะเวลา 14 วัน
โรคหนองใน (Gonorrhea)
ตัวอย่างปริมาณการใช้ยา Norfloxacin เพื่อรักษาโรคหนองใน
ผู้ใหญ่: รับประทานยาปริมาณ 800 มิลลิกรัม ในครั้งเดียว
การใช้ยา Norfloxacin
ก่อนการใช้ยาควรอ่านฉลากวิธีการใช้ยาอย่างละเอียด และหากมีความสงสัยใด ๆ เกี่ยวกับการใช้ควรสอบถามแพทย์หรือเภสัชกรให้เข้าใจ นอกจากนี้ ควรปฏิบัติตามคำแนะนำต่าง ๆ ดังนี้
- ควรใช้ยาตามที่แพทย์แนะนำอย่างเคร่งครัด ซึ่งขนาดยาที่ใช้ทั่วไป คือ 400 มิลลิกรัม รับประทานทุก ๆ 12 ชั่วโมงหรือวันละ 2 ครั้ง กลืนทั้งเม็ดพร้อมน้ำสะอาด
- ควรรับประทานยาในขณะที่ท้องว่าง ก่อนอาหารประมาณ 1 ชั่วโมง หรือ 2 ชั่วโมงหลังรับประทานอาหาร เพื่อให้ร่างกายดูดซึมยาได้อย่างมีประสิทธิภาพ หรือควรใช้ยานี้ในเวลาเดียวกันทุกวัน เพื่อช่วยให้ไม่ลืมรับประทานยา
- ไม่ควรดื่มนมหรือโยเกิร์ตในช่วง 2 ชั่วโมงก่อนหรือหลังใช้ยาเพราะอาจทำให้ร่างกายดูดซึมยาได้ไม่เต็มที่
- หลีกเลี่ยงการบริโภคเครื่องดื่มที่มีคาเฟอีน เช่น กาแฟ หรือเครื่องดื่มชูกำลัง เนื่องจากทำให้การออกฤทธิ์ของคาเฟอีนยาวนานขึ้น
- ผู้ป่วยควรใช้ยาอย่างต่อเนื่องจนกว่าจะครบปริมาณตามที่กำหนดแม้ว่าอาการจะดีขึ้น ไม่ควรหยุดยาเอง เพื่อป้องกันการกลับมาของโรค แต่หากอาการยังไม่ดีขึ้นหรืออาการแย่ลงควรไปพบแพทย์
- ควรเก็บยาไว้ในที่อุณหภูมิห้อง 15–30 องศาเซลเซียส เก็บให้พ้นจากความร้อน แสงแดด และเก็บให้พ้นจากมือเด็ก
ปฏิกิริยาระหว่างยา Norfloxacin กับยาอื่น
การรับประทานยาบางชนิดร่วมกับยา Norfloxacin อาจทำให้ประสิทธิภาพของยาลดลงได้ เช่น
- ยารักษาแผลในกระเพาะอาหาร และยาลดกรดที่มีส่วนผสมของแมกนีเซียมและอะลูมิเนียม
- ยาหรือวิตามินที่มีส่วนประกอบของธาตุเหล็กหรือสังกะสี
- ยาไดดาโนซีน (Didanosine) ยาอะทาซานาเวียร์ (Atazanavir) หรือยาต้านไวรัสอื่น ๆ
- ยาขับปัสสาวะ
- ยาที่ใช้ในการรักษาโรคหัวใจเต้นผิดจังหวะ
- ยารักษาโรคซึมเศร้าหรือยารักษาอาการทางจิดเวชอื่น ๆ
โดยยา Norfloxacin ยังอาจทำปฏิกิริยายาอื่น ๆ ดังนั้น ควรแจ้งแพทย์ทุกครั้ง หากกำลังใช้ยาใดอยู่เพื่อให้ยามีประสิทธิภาพในการรักษาสูงสุด
ผลข้างเคียงจากการใช้ยา Norfloxacin
ยา Norfloxacin อาจก่อให้เกิดผลข้างเคียงที่พบได้บ่อย เช่น
- อาหารไม่ย่อย
- คลื่นไส้
- ท้องเสีย
- ปวดศีรษะ
- เวียนศีรษะ
- ผื่นคัน
- มีปัญหาเกี่ยวกับการนอนหลับ
นอกจากนี้ ยา Norfloxacin ยังอาจก่อให้เกิดผลข้างเคียงที่มีความรุนแรง เช่น
- มีอาการช้ำหรือเลือดออกผิดปกติ
- ผิวไวต่อแสงแดด
- มีสัญญาณบ่งบอกว่าไตมีปัญหา เช่น มีการเปลี่ยนแปลงของปริมาณปัสสาวะ
- มีสัญญาณบ่งบอกว่าตับมีปัญหา เช่น คลื่นไส้ อาเจียน เบื่ออาหาร ปวดท้อง ดีซ่าน หรือปัสสาวะสีเข้ม
- เวียนศีรษะอย่างรุนแรง
- หัวใจเต้นเร็วหรือเต้นผิดปกติ
- หมดสติ
หากผลข้างเคียงมีอาการไม่ดีขึ้น แย่ลง หรือมีอาการผลข้างเคียงที่รุนแรงเกิดขึ้น ควรรีบไปแพทย์ทันทีเพื่อรับการรักษาอาการผลข้างเคียงที่เกิดขึ้น
ทั้งนี้ หากพบอาการแพ้ยานอร์ฟลอกซาซินที่รุนแรง ได้แก่ ผื่นคัน อาการบวมที่ใบหน้า ลิ้นและคอ เวียนศีรษะอย่างรุนแรง หรือมีปัญหาในการหายใจ ควรได้รับการช่วยเหลือหรือควรไปพบแพทย์ทันที