Orlistat (ออริสแตท)
Orlistat (ออริสแตท) เป็นยารักษาโรคอ้วน ออกฤทธิ์ยับยั้งเอนไซม์หรือน้ำย่อยที่ย่อยไขมันจากอาหารที่รับประทานเข้าไป ซึ่งส่งผลให้ไขมันเหล่านี้ถูกขับออกจากร่างกายทางการขับถ่ายโดยไม่ถูกย่อย แต่ไม่สามารถยับยั้งการดูดซึมแคลอรี่จากน้ำตาลและอาหารไร้ไขมันอื่น ๆ ได้ ดังนั้น ผู้ป่วยต้องควบคุมปริมาณแคลอรี่ที่ได้รับจากอาหารเองไปด้วย
ยา Orlistat มีข้อห้ามใช้และอาจเกิดผลข้างเคียงได้ ดังนั้น การใช้ยาควรอยู่ภายใต้คำแนะนำของแพทย์และเภสัชกรเสมอ
เกี่ยวกับยา Orlistat
กลุ่มยา | ยาลดความอ้วน |
ประเภทยา | ยาตามใบสั่งแพทย์ |
สรรพคุณ | รักษาโรคอ้วน |
กลุ่มผู้ป่วย | เด็กและผู้ใหญ่ |
รูปแบบของยา | ยารับประทาน |
คำเตือนในการใช้ยา Orlistat
- ห้ามใช้ยานี้ หากมีประวัติแพ้ยาหรือส่วนประกอบของยาชนิดนี้
- แจ้งให้แพทย์ทราบก่อนใช้ยา หากผู้ป่วยมีประวัติเป็นนิ่วในไต นิ่วในถุงน้ำดี ตับอ่อนอักเสบ ภาวะขาดไทรอยด์ โรคตับ โรคไต โรคอะนอเร็กเซีย (Anorexia)หรือโรคคลั่งผอม โรคล้วงคอหรือบูลิเมีย ภาวะออกซาเลทสูง หรือเคยผ่านการปลูกถ่ายอวัยวะ
- แจ้งให้แพทย์ทราบถึงยาทุกชนิดที่กำลังใช้อยู่ โดยเฉพาะยาไซโคลสปอริน ยาอะมิโอดาโรน อินซูลิน ยารักษาโรคเบาหวาน ยาสำหรับการติดเชื้อเอชไอวีหรือโรคเอดส์ ยารักษาอาการชัก ยาป้องกันการแข็งตัวของเลือด รวมไปถึงวิตามินอี และผลิตภัณฑ์อาหารเสริมที่ประกอบด้วยเบต้าแคโรทีน
- ห้ามใช้ยา Orlistat ในขณะตั้งครรภ์ เพราะโดยปกติแพทย์จะไม่แนะนำให้ผู้ที่ตั้งครรภ์ลดน้ำหนักแม้ว่าจะมีน้ำหนักเกินก็ตาม
- หากตั้งครรภ์ในระหว่างที่ใช้ยานี้ ให้หยุดใช้ยาและแจ้งให้แพทย์ผู้รักษาทราบทันที เพราะยา Orlistat สามารถทำให้ร่างกายดูดซึมวิตามินบางชนิดได้ยากกว่าปกติ ซึ่งวิตามินเหล่านี้สำคัญต่อการตั้งครรภ์
- หญิงที่กำลังให้นมบุตร ห้ามใช้ยานี้โดยไม่ได้ปรึกษาแพทย์
- ยา Orlistat เป็นเพียงส่วนหนึ่งของการรักษา ซึ่งยังไม่รวมไปถึงการรับประทานอาหาร การออกกำลังกาย และการควบคุมน้ำหนัก ผู้ป่วยจึงควรปฏิบัติตามที่แพทย์แนะนำอย่างเคร่งครัดเสมอ
ปริมาณการใช้ยา Orlistat
ปริมาณและระยะเวลาในการใช้ยาขึ้นอยู่กับดุลยพินิจของแพทย์ผู้รักษา โดยมีตัวอย่างการใช้ยา ดังนี้
โรคอ้วน
ผู้ใหญ่
- ผู้ป่วยที่มีค่า BMI มากกว่าหรือเท่ากับ 30 มิลลิกรัม/พื้นที่ผิวหนัง 1 ตารางเมตร หรือมีน้ำหนักมากกว่า 27 กิโลกรัม/พื้นที่ผิวหนัง 1 ตารางเมตรที่เสี่ยงเป็นโรคอ้วน ให้รับประทานยาปริมาณ 120 มิลลิกรัม วันละ 3 ครั้ง โดยรับประทานพร้อมอาหารมื้อหลัก
- ผู้ป่วยที่มีค่า BMI มากกว่าหรือเท่ากับ 28 กิโลกรัม/พื้นที่ผิวหนัง 1 ตารางเมตร ที่ไม่มีปัจจัยเสี่ยงใด ๆ ให้รับประทานยา 60 มิลลิกรัม วันละ 3 ครั้ง และข้ามการรับประทานยามื้อนั้นหากไม่ได้รับประทานอาหารหรือรับประทานอาหารที่ไม่มีไขมัน
ทั้งนี้ หากผู้ป่วยไม่สามารถลดน้ำหนักลงได้อย่างน้อย 5 เปอร์เซ็นต์ของน้ำหนักตัวในช่วง 12 สัปดาห์แรกของการรักษา ให้ผู้ป่วยหยุดใช้ยา
การใช้ยา Orlistat
- ใช้ยาตามฉลากและตามคำสั่งแพทย์อย่างเคร่งครัด ไม่ใช้ยานี้ในปริมาณมากกว่า น้อยกว่า หรือติดต่อกันนานกว่าที่แพทย์แนะนำ หากมีข้อสงสัยควรสอบถามแพทย์หรือเภสัชกรก่อนใช้ยาเสมอ
- ห้ามให้ผู้อื่นใช้ยานี้ โดยเฉพาะผู้ที่มีประวัติเกิดความผิดปกติเกี่ยวกับการรับประทานอาหาร
- ควรจำกัดการบริโภคไขมันในแต่ละมื้ออาหารให้ไม่เกิน 30 เปอร์เซ็นต์ของปริมาณแคลอรี่ที่ร่างกายต้องการต่อวัน
- ให้ข้ามการใช้ยามื้อนั้นหากไม่ได้รับประทานอาหาร หรือรับประทานอาหารที่ไม่มีส่วนประกอบของไขมัน
- ระหว่างที่ใช้ยา ผู้ป่วยควรอ่านฉลากอาหารที่รับประทานอย่างละเอียด หรือสอบถามแพทย์และนักโภชนาการเกี่ยวกับการวางแผนรับประทานอาหารที่ดีต่อสุขภาพ
- หลีกเลี่ยงอาหารไขมันสูง เพราะหากใช้ยานี้ร่วมกับการรับประทานอาหารที่มีไขมันสูงมากกว่า 30 เปอร์เซ็นต์ของปริมาณอาหารทั้งหมดที่รับประทานใน 1 วัน อาจเพิ่มความเสี่ยงให้เกิดผลข้างเคียงต่อกระเพาะอาหารและลำไส้ได้
- ยานี้อาจทำให้ร่างกายดูดซึมวิตามินที่ละลายในไขมันยากขึ้น ซึ่งผู้ป่วยอาจต้องรับประทานวิตามินและแร่ธาตุเสริมระหว่างที่ใช้ยานี้ ได้แก่ วิตามินเอ วิตามินดี วิตามินอี วิตามินเค โดยให้ผู้ป่วยปฏิบัติตามที่แพทย์สั่งอย่างเคร่งครัด และควรรับประทานผลิตภัณฑ์อาหารเสริมในช่วงเวลาก่อนนอน หรืออย่างน้อย 2 ชั่วโมงก่อนหรือหลังใช้ยา Orlistat
- ควรเก็บยาอย่างระมัดระวัง เพราะยานี้อาจถูกนำไปใช้ในการลดน้ำหนักอย่างผิดวิธี
- หากสงสัยว่าตนใช้ยาเกินกว่าปริมาณที่กำหนด ควรแจ้งให้แพทย์ทราบทันที
- หากลืมใช้ยาตามเวลาที่กำหนด ให้ใช้ยาทันทีที่นึกขึ้นได้ แต่ห้ามเกิน 1 ชั่วโมงหลังรับประทานอาหาร แต่หากเกิน 1 ชั่วโมงไปแล้วและใกล้ถึงเวลาใช้ยาในรอบถัดไป ให้ข้ามไปใช้ยารอบต่อไป และไม่เพิ่มปริมาณยาเป็น 2 เท่า
- เก็บยาไว้ที่อุณหภูมิห้อง ให้ห่างจากความร้อน ความชื้น แสงแดด และปิดฝาให้สนิท หากยาหมดอายุให้ทิ้งยาทันที
ผลข้างเคียงจากการใช้ยา Orlistat
การใช้ยา Orlistat อาจทำให้เกิดผลข้างเคียงชั่วคราว ได้แก่ อุจจาระปนไขมัน อุจจาระมีสีส้มหรือน้ำตาล มีจุดน้ำมันเปื้อนชุดชั้นใน มีแก๊ซหรือน้ำมันถูกขับออกมาจากร่างกาย ไม่สามารถควบคุมการขับถ่ายได้ ท้องเสีย ลำไส้เคลื่อนไหวมากขึ้น คลื่นไส้ เจ็บทวารหนัก เลือดออกทางทวารหนัก ประจำเดือนมาผิดปกติ หลอดเลือดอักเสบ ปวดศีรษะ อ่อนเพลีย วิตกกังวล เป็นต้น
หากอาการข้างเคียงข้างต้นไม่หายไปหรือรบกวนการใช้ชีวิตประจำวัน ผู้ป่วยควรไปพบแพทย์ นอกจากนี้ ควรหยุดใช้ยาหรือไปพบแพทย์ทันที หากพบผลข้างเคียงที่รุนแรงจากการใช้ยา Orlistat ดังต่อไปนี้
- อาการแพ้ยา เช่น ลมพิษ หายใจลำบาก หน้าบวม ริมฝีปากบวม ลิ้นบวม คอบวม เป็นต้น
- ปวดท้องรุนแรง
- ปัสสาวะปนเลือด รู้สึกเจ็บขณะปัสสาวะ หรือปัสสาวะลำบาก
- ไตทำงานผิดปกติ อาจทำให้เกิดอาการ เช่น ไม่ปัสสาวะ ปัสสาวะน้อย ข้อเท้าหรือเท้าบวม อ่อนเพลีย หายใจไม่อิ่ม เป็นต้น
- ตับผิดปกติ อาจทำให้เกิดอาการ เช่น คลื่นไส้ ปวดท้องส่วนบน คัน รู้สึกเหนื่อย เบื่ออาหาร ปัสสาวะมีสีเข้ม อุจจาระมีสีโคลน และดีซ่าน เป็นต้น
หากผู้ป่วยพบอาการผิดปกติใด ๆ เพิ่มเติม ก็ควรรีบแจ้งให้แพทย์ทราบด้วยเช่นกัน