Propofol (โปรโพฟอล)
Propofol (โปรโพฟอล) เป็นยาระงับความรู้สึกที่ออกฤทธิ์ทำให้ระบบประสาทและสมองทำงานช้าลง ซึ่งจะช่วยให้ผู้ป่วยรู้สึกผ่อนคลาย ไร้ความรู้สึก และหลับลงอย่างรวดเร็วในช่วงก่อนและระหว่างขั้นตอนการผ่าตัดหรือการวินิจฉัยโรค โดยนำมาใช้เป็นยาสลบหรือยานำในช่วงเริ่มต้นเพื่อทำให้ผู้ป่วยสลบ นอกจากนี้ อาจใช้รักษาโรคอื่น ๆ ตามดุลยพินิจของแพทย์ด้วย
ยา Propofol มีข้อห้ามใช้และอาจเกิดผลข้างเคียงได้ ดังนั้น การใช้ยาควรอยู่ภายใต้คำแนะนำของแพทย์และเภสัชกรเสมอ
เกี่ยวกับยา Propofol
กลุ่มยา | ยาระงับความรู้สึก |
ประเภทยา | ยาตามใบสั่งแพทย์ |
สรรพคุณ | ใช้ระงับความรู้สึกก่อนการรักษาทางการแพทย์ |
กลุ่มผู้ป่วย | เด็ก ผู้ใหญ่ |
รูปแบบของยา | ยาฉีด |
คำเตือนในการใช้ยา Propofol
- หลีกเลี่ยงการใช้ยา Propofol หากมีประวัติแพ้ยา หรือส่วนประกอบของยาชนิดนี้
- แจ้งให้แพทย์ทราบเกี่ยวกับโรคประจำตัวและประวัติการแพ้ต่าง ๆ ก่อนใช้ยานี้ โดยเฉพาะโรคลมบ้าหมู อาการชัก ภาวะไขมันคอเลสเตอรอลหรือไตรกลีเซอไรด์สูง รวมไปถึงหากกำลังตั้งครรภ์หรืออยู่ในช่วงให้นมบุตร
- แจ้งให้แพทย์ทราบเกี่ยวกับยาทุกชนิดที่กำลังใช้อยู่ เพราะยาบางชนิดอาจทำปฏิกิริยากับยา Propofol เช่น ยานอนหลับ ยาแก้ปวด ชนิดเสพติด ยาแก้ไอ ยาคลายกล้ามเนื้อ ยารักษาโรควิตกกังวล ยารักษาโรคซึมเศร้า หรือยารักษาอาการชัก เป็นต้น
- ยา Propofol อาจส่งผลต่อพัฒนาการสมองของเด็กอายุต่ำกว่า 3 ปี หรือทารกในครรภ์ที่มารดาได้รับยานี้ในช่วงใกล้คลอด โดยเฉพาะหากใช้ยาเป็นเวลา 3 ชั่วโมงขึ้นไป หรือใช้ยาซ้ำในขั้นตอนการรักษา เพราะยาอาจส่งผลต่อกระบวนการเรียนรู้หรือพฤติกรรมของเด็กในอนาคต ดังนั้น ในบางกรณีที่แพทย์พิจารณาว่าผู้ป่วยมีความเสี่ยงสูง อาจเลื่อนการใช้ยาในการรักษาออกไปก่อน อย่างไรก็ตาม การศึกษาวิจัยถึึงผลกระทบดังกล่าวยังไม่มากพอและยังต้องมีการวิจัยเพิ่มเติมในด้านนี้ต่อไป
- ก่อนเข้ารับการผ่าตัดหรือการวินิจฉัยโรค ให้ผู้ป่วยปรึกษาแพทย์เกี่ยวกับยาทุกชนิดที่จะใช้ในระหว่างขั้นตอนดังกล่าว รวมไปถึงระยะเวลาที่ใช้ในการผ่าตัดด้วย
- ผู้ที่อยู่ในช่วงให้นมบุตร ควรหลีกเลี่ยงการใช้ยานี้ เพราะยาสามารถผ่านทางน้ำนมและอาจทำให้เกิดอันตรายต่อทารกได้
- ยา Propofol อาจทำให้เกิดอาการเวียนศีรษะหรือง่วงซึมอย่างรุนแรงต่อเนื่องหลายชั่วโมง จึงควรหลีกเลี่ยงการขับรถด้วยตนเองหรือการทำกิจกรรมที่ต้องอาศัยความตื่นตัวหลังจากได้รับยาอย่างน้อย 24 ชั่วโมง
ปริมาณการใช้ยา Propofol
ปริมาณและระยะเวลาในการใช้ยาขึ้นอยู่กับดุลยพินิจของแพทย์ผู้รักษา โดยมีตัวอย่างการใช้ยา ดังนี้
ใช้เป็นยาสลบในการวินิจฉัยและการผ่าตัด
ผู้ใหญ่ ฉีดยาเข้าหลอดเลือดดำปริมาณเริ่มต้น 6-9 มิลลิกรัม/น้ำหนักตัว 1 กิโลกรัม/ชั่วโมง โดยหยดยาเป็นเวลาประมาณ 3-5 นาที หรือฉีดยาเข้าทางหลอดเลือดดำช้า ๆ ปริมาณ 0.5-1 มิลลิกรัม/น้ำหนักตัว 1 กิโลกรัม เป็นเวลา 1-5 นาที
ส่วนปริมาณยาสำหรับควบคุมอาการ ให้หยดเข้าหลอดเลือดดำ 1.5-4.5 มิลลิกรัม/น้ำหนักตัว 1 กิโลกรัม/ชั่วโมง หากเป็นผู้ป่วยที่ีมีความเสี่ยงสูง ให้ลดปริมาณยาลง 20 เปอร์เซ็นต์ และผู้ป่วยที่ใช้เครื่องช่วยหายใจ ให้หยดยาเข้าหลอดเลือดดำปริมาณ 0.3-4 มิลลิกรัม/น้ำหนักตัว 1 กิโลกรัม/ชั่วโมง
ใช้เป็นยานำให้สลบและควบคุมอาการเพื่อการให้ยาสลบ
- เด็กอายุมากกว่า 8 ปี ฉีดยาเข้าหลอดเลือดดำปริมาณเริ่มต้น 2.5 มิลลิกรัม/น้ำหนักตัว 1 กิโลกรัม ตามด้วยปริมาณยาควบคุมอาการแบบรวดเร็วเป็นระยะ หรือหยดยาเข้าหลอดเลือดดำปริมาณ 9-15 มิลลิกรัม/น้ำหนักตัว 1 กิโลกรัม/ชั่วโมง
- ผู้ใหญ่ ฉีดหรือหยดยาเข้าหลอดเลือดดำปริมาณ 40 มิลลิกรัม ทุก 10 วินาที โดยปริมาณยาทั่วไป คือ 1.5-2.5 มิลลิกรัม/น้ำหนักตัว 1 กิโลกรัม ส่วนปริมาณยาสำหรับควบคุมอาการ ให้ฉีดหรือหยดยาเข้าหลอดเลือดดำปริมาณ 4-12 มิลลิกรัม/น้ำหนักตัว 1 กิโลกรัม/ชั่วโมง หรือฉีดยาเข้าหลอดเลือดอย่างรวดเร็วเป็นระยะ ปริมาณ 20-50 มิลลิกรัม/ครั้ง
- ผู้สูงอายุ และผู้ป่วยที่ผ่าตัดทางระบบประสาทหรือมีอาการอ่อนแรง ให้หยดยา 20 มิลลิกรัม ทุก 10 วินาที โดยปริมาณปกติให้ฉีดยา 1-1.5 มิลลิกรัม/น้ำหนักตัว 1 กิโลกรัม และปริมาณยาสำหรับควบคุมอาการให้ฉีดยาปริมาณ 3-6 มิลลิกรัม/น้ำหนักตัว 1 กิโลกรัม/ชั่วโมง
การใช้ยา Propofol
- ใช้ยาตามฉลากและตามคำสั่งแพทย์อย่างเคร่งครัด หากมีข้อสงสัยควรสอบถามแพทย์หรือเภสัชกรก่อนใช้ยาเสมอ
- ยา Propofol ใช้ฉีดเข้าทางหลอดเลือดดำโดยแพทย์ผู้เชี่ยวชาญเท่านั้น
- ผู้ป่วยจะรู้สึกผ่อนคลายและหลับได้ง่ายหลังจากได้รับยา ซึ่งในระหว่างนั้น แพทย์จะตรวจการหายใจ ความดันโลหิต ระดับออกซิเจนในร่างกาย การทำงานของไต และการตอบสนองของร่างกายอื่น ๆ อย่างใกล้ชิด
ผลข้างเคียงจากการใช้ยา Propofol
การใช้ยา Propofol อาจทำให้เกิดผลข้างเคียงได้ เช่น กล้ามเนื้อเคลื่อนไหวได้เอง คลื่นไส้ อาเจียน ปวดศีรษะ มีไข้ คัน มีผื่นขึ้น หัวใจเต้นช้าหรือเร็ว ไขมันในเลือดสูง เจ็บแสบหรือระคายเคืองบริเวณที่่ฉีดยา เป็นต้น หากอาการดังกล่าวไม่หายไปหรือรบกวนการใช้ชีวิตประจำวัน ผู้ป่วยควรไปพบแพทย์
หากพบผลข้างเคียงที่รุนแรงจากการใช้ยาดังต่อไปนี้ ควรหยุดใช้ยาหรือไปพบแพทย์ทันที
- รู้สึกเวียนศีรษะ คล้ายจะหมดสติ
- อ่อนเพลีย หายใจไม่อิ่ม
- รู้สึกไม่สบายบริเวณที่ฉีดยาหรือเจ็บอย่างรุนแรง
- มีภาวะหยุดหายใจชั่วคราว
- หัวใจเต้นช้า
- ความดันเลือดต่ำ
- เกิดอาการชักกระตุก
- ตับอ่อนอักเสบ โดยอาจสังเกตพบอาการผิดปกติบางอย่าง เช่น ปวดท้องส่วนบนอย่างรุนแรงและอาจปวดร้าวลามไปที่หลัง มีไข้ คลื่นไส้ อาเจียน และมีภาวะขาดน้ำ เป็นต้น
- อาการแพ้รุนแรง เช่น ลมพิษ หายใจลำบาก หน้าบวม ริมฝีปากบวม คอบวม เป็นต้น