Propranolol (โพรพราโนลอล)
Propranolol (โพรพราโนลอล) เป็นยาเบต้าบล็อกเกอร์ (Beta-blocker) ที่นำมาใช้รักษาความดันโลหิตสูง อาการเจ็บหน้าอก อาการสั่น ภาวะหัวใจเต้นผิดจังหวะ และใช้รักษาภาวะที่เกี่ยวกับหัวใจและระบบไหลเวียนโลหิตอื่น ๆ นอกจากนั้นยังนำมาใช้ในการป้องกันและรักษากล้ามเนื้อหัวใจขาดเลือด และนำมาใช้เพื่อลดความรุนแรงและความถี่ของอาการปวดไมเกรน
กลไกการออกฤทธิ์ของยาจะช่วยยับยั้งการทำงานของสารเคมีบางชนิดในร่างกาย ซึ่งมีผลกระทบหรือเกี่ยวข้องกับหัวใจและหลอดเลือด โดยจะช่วยลดจังหวะการเต้นของหัวใจ ความดันโลหิต และความตึงเครียดของหัวใจ
นอกจากนั้น ยังนำมาใช้รักษาปานแดงในเด็กเล็ก (Infantile Hemangiomas) และอาจทำให้เกิดแผลหรือปานแดงที่ผิวหนัง หรืออาจทำให้เกิดภาวะแทรกซ้อนที่รุนแรงต่อตับ สมอง หรือระบบย่อยอาหาร โดยตัวยาที่นำมาใช้จะเป็นยาน้ำและจะใช้กับเด็กอายุ 5 สัปดาห์ขึ้นไป
เกี่ยวกับยา Propranolol
กลุ่มยา | ยาเบต้าบล็อกเกอร์ |
ประเภทยา | ยาตามใบสั่งแพทย์ |
สรรพคุณ | รักษาโรคความดันโลหิตสูงและอาการเจ็บหน้าอก |
กลุ่มผู้ป่วย | เด็กและผู้ใหญ่ |
รูปแบบของยา | ยารับประทาน ยาให้ทางหลอดเลือด |
คำเตือนของการใช้ยา Propranolol
- ไม่ควรใช้ยานี้หากเป็นโรคหืด มีจังหวะการเต้นของหัวใจเต้นช้ากว่าปกติ หรือมีภาวะทางหัวใจที่รุนแรง เช่น กลุ่มอาการซิคไซนัส (Sick Sinus Syndrome) หรือเกิดภาวะ Atrioventricular Block หรือ AV Block
- ไม่ควรใช้ยาน้ำแบบรับประทาน (Hemangeol) ในเด็กเล็กที่มีน้ำหนักตัวน้อยกว่า 2 กิโลกรัม
- ควรแจ้งประวัติการแพ้ยาและอาการแพ้อื่น ๆ กับแพทย์ก่อนการใช้ยา เพราะส่วนผสมบางตัวในยาอาจทำให้ผู้ป่วยมีอาการแพ้ หรือมีการตอบสนองที่อันตรายต่อยาเบต้าบล็อกเกอร์
- ผู้ที่วางแผนจะมีบุตรหรือกำลังตั้งครรภ์ ควรปรึกษาแพทย์ก่อนใช้ยาโพรพราโนลอล
- ยาโพรพราโนลอลสามารถผ่านเข้าสู่น้ำนมแม่และอาจเป็นอันตรายต่อการให้นมบุตร ดังนั้นควรแจ้งให้แพทย์ทราบก่อนใช้ยา
- เพื่อความปลอดภัยในการใช้ยาโพรพราโนลอล ควรแจ้งให้แพทย์ทราบหากมีภาวะหรืออาการต่อไปนี้
- มีความผิดปกติของกล้ามเนื้อ
- เป็นโรคหลอดลมอักเสบ (Bronchitis) โรคถุงลมโป่งพอง (Emphysema) หอบหืด (Bronchial Asthma) หรือความผิดปกติเกี่ยวกับการหายใจต่าง ๆ
- เป็นโรคเบาหวาน หรือมีภาวะน้ำตาลในเลือดต่ำ
- จังหวะการเต้นหัวใจช้ากว่าปกติ หรือความดันโลหิตต่ำ
- มีภาวะหัวใจล้มเหลวหรือหัวใจวาย (Congestive Heart Failure)
- มีภาวะซึมเศร้า
- มีความผิดปกติของต่อมไทรอยด์
- เป็นโรคตับหรือไต
- เป็นเนื้องอกที่ต่อมหมวกไต หรือฟีโอโครโมไซโตมา (Pheochromocytoma)
- มีปัญหาเกี่ยวกับระบบไหลเวียนโลหิต เช่น โรคเรย์นอยด์ (Raynaud's Syndrome)
ปริมาณการใช้ยา Propranolol
รักษาหัวใจเต้นผิดจังหวะ
ผู้ใหญ่: ให้ทางหลอดเลือดดำ ขนาด 1 มิลลิกรัม สูงสุดไม่เกิน 10 มิลลิกรัม สำหรับผู้ป่วยที่ไม่ได้ให้ยาสลบ และ 5 มิลลิกรัม สำหรับผู้ป่วยที่ถูกให้ยาสลบ
ฟีโอโครโมไซโตมา (Pheochromocytoma)
ผู้ใหญ่: รับประทาน ขนาด 60 มิลลิกรัมต่อวัน แบ่งใช้ 3 ครั้ง เป็นเวลา 3 วัน ร่วมกับยาแอลฟ่าบล็อกเกอร์
สำหรับเนื้องอกที่ไม่สามารถผ่าตัดได้ ใช้ขนาด 30 มิลลิกรัม ต่อวัน
เด็ก: รับประทาน ขนาด 0.25-0.5 มิลลิกรัมต่อกิโลกรัม วันละ 3-4 ครั้ง
ความดันโลหิตสูง (Hypertension)
ผู้ใหญ่: ยารับประทานชนิดเม็ดหรือสารละลาย ขนาดเริ่มต้น 40-80 มิลลิกรัม วันละ 2 ครั้ง ขนาดปกติ 160-320 มิลลิกรัมต่อวัน สูงสุดไม่เกิน 640 มิลลิกรัมต่อวัน แคปซูลชนิดออกฤทธิ์นาน ขนาดเริ่มต้น 80 มิลลิกรัม วันละครั้ง ขนาดปกติ 120-160 มิลลิกรัมต่อวัน สูงสุดไม่เกิน 640 มิลลิกรัมต่อวัน
เด็ก: ยารับประทานชนิดเม็ด ขนาดเริ่มต้น 1 มิลลิกรัมต่อกิโลกรัมต่อวัน แบ่งใช้ 2 ครั้ง ขนาดปกติ 2-4 มิลลิกรัมต่อกิโลกรัมต่อวัน แบ่งใช้ 2 ครั้ง สูงสุดไม่เกิน 4 มิลลิกรัมต่อกิโลกรัมต่อวัน แบ่งใช้ 2-3 ครั้ง
โรคกล้ามเนื้อหัวใจตาย (Myocardial Infarction)
ผู้ใหญ่: ยารับประทานชนิดเม็ดหรือสารละลาย ขนาด 40 มิลลิกรัม วันละ 4 ครั้ง ใช้ติดต่อกัน 2-3 วัน และตามด้วย 80 มิลลิกรัม วันละ 2 ครั้ง ปริมาณการใช้ทางเลือก ขนาด 180-240 มิลลิกรัมต่อวัน ใช้ติดต่อกัน 5-21 วัน
ภาวะความดันสูงในระบบหลอดเลือดดำของตับ (Portal Hypertension)
ผู้ใหญ่: ยารับประทานชนิดเม็ดหรือสารละลาย ขนาดเริ่มต้น 40 มิลลิกรัม วันละ 2 ครั้ง เพิ่มขนาดทีละสัปดาห์จนถึง 160 มิลลิกรัม แคปซูลชนิดออกฤทธิ์นาน ขนาด 80 มิลลิกรัม และอาจเพิ่มขนาดถึง 160 มิลลิกรัม วันละครั้ง สูงสุดไม่เกิน 320 มิลลิกรัมต่อวัน
อาการปวดศีรษะข้างเดียว (Prophylaxis of Migraine)
ผู้ใหญ่: ยารับประทานชนิดเม็ดหรือสารละลาย ขนาดเริ่มต้น 40 มิลลิกรัม วันละ 2 ครั้ง หรือ 3 ครั้ง ขนาดปกติ 120-240 มิลลิกรัมต่อวัน แคปซูลชนิดออกฤทธิ์นาน ขนาด 80 มิลลิกรัมต่อวัน อาจเพิ่มขึ้นถึง 160 มิลลิกรัมต่อวัน สูงสุดไม่เกิน 240 มิลลิกรัมต่อวัน
เด็ก: แคปซูลชนิดออกฤทธิ์นานหรือสาระลาย สำหรับเด็กอายุน้อยกว่าหรือเท่ากับ 12 ปี ขนาด 10-20 มิลลิกรัม วันละ 2 หรือ 3 ครั้ง สำหรับเด็กอายุ 12 ปี ขึ้นไป ขนาดเริ่มต้น 40 มิลลิกรัม วันละ 2 หรือ 3 ครั้ง เพิ่มขึ้นทีละสัปดาห์จนถึง 160 มิลลิกรัมต่อวัน สูงสุดไม่เกิน 240 มิลลิกรัมต่อวัน
ภาวะหัวใจเต้นผิดจังหวะ (Cardiac Arrhythmias)
ผู้ใหญ่: รับประทาน ขนาด 30-160 มิลลิกรัมต่อวัน แบ่งรับประทาน 3 ครั้งต่อวัน
เด็ก: รับประทาน ขนาด 0.25-0.5 มิลลิกรัมต่อกิโลกรัม 3-4 ครั้งต่อวัน
โรคสั่นไม่ทราบสาเหตุ (Essential Tremor)
ผู้ใหญ่: รับประทาน ขนาดเบื้องต้น 40 มิลลิกรัม วันละ 2 หรือ 3 ครั้ง ขนาดปกติ 120-240 มิลลิกรัมต่อวัน
แคปซูลชนิดออกฤทธิ์นาน ขนาด 80 มิลลิกรัมต่อวัน อาจเพิ่มขนาดเป็น 160 มิลลิกรัม วันละครั้ง สูงสุดไม่เกิน 240 มิลลิกรัมต่อวัน
ความวิตกกังวล
ผู้ใหญ่: รับประทานขนาด 10-40 มิลลิกรัม วันละ 2 หรือ 3 ครั้ง แคปซูลชนิดออกฤทธิ์นาน ขนาด 80 มิลลิกรัม วันละครั้ง สูงสุดไม่เกิน 160 มิลลิกรัม วันละครั้ง
เจ็บหน้าอกจากหัวใจขาดเลือด (Angina Pectoris)
ผู้ใหญ่: รับประทาน ขนาดเบื้องต้น 40 มิลลิกรัมวันละ 2 หรือ 3 ครั้ง ขนาดปกติ 120-240 มิลลิกรัมต่อวัน สูงสุดไม่เกิน 320 มิลลิกรัมต่อวัน แคปซูลชนิดออกฤทธิ์นาน ขนาด 80 มิลลิกรัมต่อวัน อาจเพิ่มขึ้นถึง 160 มิลลิกรัม วันละครั้ง สูงสุดไม่เกิน 240 มิลลิกรัมต่อวัน
โรคกล้ามเนื้อหัวใจห้องซ้ายล่างหนาผิดปกติแต่กำเนิด (Hypertrophic Cardiomyopathy)
ผู้ใหญ่: รับประทาน ขนาด 10-40 มิลลิกรัม 3-4 ครั้งต่อวัน
ภาวะต่อมไทรอยด์ทำงานเกิน (Hyperthyroidism)
ผู้ใหญ่: รับประทานขนาด 10-40 มิลลิกรัม 3-4 ครั้งต่อวัน แคปซูลชนิดออกฤทธิ์นาน ขนาด 80 มิลลิกรัมต่อวัน อาจเพิ่มขึ้นถึง 160 มิลลิกรัมมต่อวัน สูงสุดไม่เกิน 240 มิลลิกรัมต่อวัน
เด็ก: รับประทาน ขนาด 0.25-0.5 มิลลิกรัมต่อกิโลกรัม 3-4 ครั้งต่อวัน
*ปริมาณและระยะเวลาในการใช้ยาขึ้นอยู่กับดุลยพินิจของแพทย์ผู้รักษา
การใช้ยา Propranolol
ก่อนใช้ยาควรแจ้งให้แพทย์หรือเภสัชกรทราบหากเคยมีประวัติการแพ้ยา โรคประจำตัว หรือกำลังใช้ยาตัวใดอยู่ในช่วงนั้น ผู้ป่วยควรอ่านฉลากอย่างละเอียดก่อนรับประทานและใช้ยาตามคำแนะนำของแพทย์อย่างเคร่งครัด ไม่ควรหยุด เปลี่ยน หรือปรับขนาดของยาด้วยตนเอง
- ยาชนิดนี้สามารถรับประทานพร้อมอาหารหรือไม่พร้อมก็ได้ แต่ควรเป็นเวลาเดียวกันในแต่ละวัน ไม่ควรบด หัก เคี้ยว หรือแกะยาแคปซูลชนิดออกฤทธิ์นาน โดยให้กลืนลงไปทั้งแคปซูล
- สำหรับยาชนิดรับประทาน (Hemangeol) ที่ให้ในทารก ควรให้ใช้ยาระหว่างที่กำลังให้นมหรือใช้หลังที่เพิ่งให้นมเสร็จแล้ว โดยปริมาณการให้ยาควรเว้นระยะอย่างน้อย 9 ชั่วโมง และต้องคอยตรวจสอบว่าทารกรับประทานอาหารหรือนมได้เป็นปกติหรือไม่ และหากพบว่าทารกมีการเปลี่ยนแปลงของน้ำหนักตัวควรแจ้งให้แพทย์ทราบ เพราะการให้ปริมาณยา Hemangeol จะขึ้นอยู่กับน้ำหนักตัวของเด็ก หากพบว่าเด็กที่ได้รับยา Hemangeol มีอาการอาเจียน หรือไม่อยากอาหาร รีบแจ้งให้แพทย์ทราบ
- ยาชนิดน้ำควรวัดปริมาณด้วยหลอดดูดยาที่เตรียมมาให้ หรือช้อนสำหรับวัดปริมาณยาโดยเฉพาะหรือถ้วยยา และห้ามเขย่ายาชนิดน้ำ
- ผู้ป่วยควรตรวจความวัดดันโลหิตอย่างสม่ำเสมอ และหากจำเป็นต้องได้รับการผ่าตัด ควรบอกกับศัลยแพทย์ว่ากำลังใช้ยาโพรพราโนลอลอยู่ ซึ่งผู้ป่วยอาจต้องหยุดใช้ยาไประยะหนึ่ง
- ควรแจ้งให้แพทย์ทราบว่ากำลังใช้ยาโพรพราโนลอลก่อนเข้ารับการตรวจทางการแพทย์ทุกครั้ง เพราะยาสามารถทำให้เกิดผลลัพธ์ที่ผิดปกติสำหรับการตรวจทางการแพทย์บางชนิด
- ผู้ป่วยที่ใช้ยาโพรพราโนลอลในการรักษาความดันโลหิตสูง ควรใช้ยาอย่างต่อเนื่องแม้ว่าจะมีอาการที่ดีขึ้นแล้วก็ตาม เพราะโรความดันโลหิตสูงมักจะไม่มีอาการแสดง
- การรับประทานยาโพรพราโนลอลเป็นส่วนหนึ่งของโปรแกรมการรักษา ซึ่งผู้ป่วยควรควบคุมอาหาร ออกกำลังกาย ควบคุมน้ำหนัก และดูแลสุขภาพร่างกายให้แข็งแรงควบคู่ไปกับการใช้ยา และพบแพทย์ตามนัดอย่างสม่ำเสมอ
- ควรใช้ยาตามที่แพทย์สั่งไว้อย่างเคร่งครัด ไม่ควรข้ามหรือหยุดใช้ยาในทันที เพราะการหยุดในทันทีอาจทำให้อาการแย่ลงได้ ในกรณีที่ลืมรับประทานยาตามเวลาที่กำหนด สำหรับยาโพรพราโนลอลแบบออกฤทธิ์ระยะสั้น ให้รับประทานยาได้ทันที แต่หากใกล้ถึงเวลาการรับประทานยาในรอบต่อไปอย่างน้อย 4 ชั่วโมง ให้ข้ามไปรับประทานยาในรอบถัดไป สำหรับยาโพรพราโนลอลแบบออกฤทธิ์ระยะยาวให้รับประทานยาได้ทันที แต่หากใกล้ถึงเวลาการรับประทานยาในรอบต่อไปอย่างน้อย 8 ชั่วโมง ให้ข้ามไปรับประทานยาในรอบถัดไป ไม่ควรเพิ่มปริมาณยาเป็น 2 เท่าและหากมีอาการที่ผิดปกติเกิดขึ้น ควรไปพบแพทย์
- ควรเก็บยาไว้ที่อุณหภูมิห้อง ห่างจากความร้อน ความชื้น แสงแดด และห้ามนำยาชนิดน้ำไปแช่แข็ง ส่วนยา Hemangeol ที่ไม้ได้ใช้และมีอายุนาน 2 เดือน (เปิดใช้แล้ว) ไม่ควรเก็บไว้
ผลข้างเคียงจากการใช้ยา Propranolol
ผลข้างเคียงจากการใช้ยาโพรพราโนลอลที่พบบ่อย ได้แก่ คลื่นไส้ อาเจียน ท้องผูก ท้องเสีย ปวดท้อง ความต้องการทางเพศลดลง เสื่อมสมรรถภาพทางเพศ นอนไม่หลับ หรืออ่อนเพลีย
หากผู้ป่วยพบอาการแพ้ยา ได้แก่ ลมพิษ หายใจติดขัด มีอาการบวมที่หน้า ริมฝีปาก ลิ้นหรือคอ ควรติดต่อพบแพทย์โดยเร็ว หรือมีอาการต่อไปนี้:
- จังหวะของหัวใจเต้นช้าหรือไม่สม่ำเสมอ
- รู้สึกหวิว คล้ายจะหมดสติ
- มีปัญหาในการหายใจหรือหายใจมีเสียงหวีด
- หายใจตื้น
- บวม น้ำหนักเพิ่ม
- อ่อนเพลียอย่างกะทันหัน มีปัญหาในการมองเห็น หรือเสียความสามารถในการประสานงานการเคลื่อนไหวของร่างกาย
- มือและเท้าเย็น
- ภาวะซึมเศร้า สับสน ประสาทหลอน
- มีปัญหาเกี่ยวกับตับ อาจทำให้มีอาการ เช่น คลื่นไส้ ปวดท้องช่วงบน อ่อนเพลีย เบื่ออาหาร ปัสสาวะสีเข้ม อุจจาระสีซีด ดีซ่าน
- น้ำตาลในเลือดต่ำ อาจทำให้มีอาการ เช่น ปวดศีรษะ หิว อ่อนเพลีย เหงื่อออก สับสน หงุดหงิด เวียนศีรษะ หัวใจเต้นเร็ว รู้สึกกระวนกระวาย
- น้ำตาลในเลือดต่ำในเด็กเล็ก อาจทำให้เกิดอาการ เช่น ผิวมีสีซีด ม่วงหรือฟ้า มีเหงื่อออก ร้องไห้ ไม่อยากอาหาร หนาว ง่วงซึม อ่อนเพลีย หายใจตื้น ชัก หมดสติ
- เกิดปฏิกริยาที่รุนแรงต่อผิวหนัง อาจทำให้เกิดอาการ เช่น มีไข้ เจ็บคอ บวมที่ใบหน้าหรือลิ้น แสบตา เจ็บผิวหนังและมีผื่นสีแดงหรือม่วงกระจายตามผิวหนัง และทำให้เกิดแผลพุพอง