Rabeprazole (ราบีพราโซล)
Rabeprazole (ราบีพราโซล) เป็นยาลดกรดหรือยากลุ่มโปรตอนปั๊มอินฮิบิเตอร์ ออกฤทธิ์ช่วยลดกรดที่สร้างจากกระเพาะอาหาร ซึ่งจะช่วยลดอาการแสบร้อนกลางอก นำมาใช้รักษาภาวะกรดไหลย้อน กลุ่มอาการโซลลิงเจอร์–เอลลิสัน (Zollinger-Ellison Syndrome) แผลในกระเพาะอาหาร การติดเชื้อเฮลิโคแบคเตอร์ ไพโลไร นอกจากนี้ ยังช่วยฟื้นฟูความเสียหายของกระเพาะอาหารและหลอดอาหารจากการมีกรดเกิน และอาจใช้รักษาโรคอื่น ๆ ตามดุลยพินิจของแพทย์ด้วย
ยา Rabeprazole มีข้อห้ามใช้และอาจเกิดผลข้างเคียงได้ ดังนั้น การใช้ยาควรอยู่ภายใต้คำแนะนำของแพทย์และเภสัชกรเสมอ
เกี่ยวกับยา Rabeprazole
กลุ่มยา | ยาลดกรด |
ประเภทยา | ยาตามใบสั่งแพทย์ |
สรรพคุณ | รักษากรดไหลย้อน กลุ่มอาการโซลลิงเจอร์–เอลลิสัน โรคกระเพาะอาหาร การติดเชื้อเฮลิโคแบคเตอร์ ไพโลไร |
กลุ่มผู้ป่วย | เด็ก ผู้ใหญ่ |
รูปแบบของยา | ยารับประทาน |
คำเตือนในการใช้ยา Rabeprazole
- แจ้งให้แพทย์ทราบก่อนใช้ยานี้ หากมีประวัติแพ้ยาหรือส่วนประกอบของยาชนิดนี้ และแพ้ยาชนิดอื่น อาหาร หรือสารใด ๆ
- แจ้งให้แพทย์ทราบก่อนใช้ยานี้ หากมีประวัติป่วยเป็นโรคตับ โรคกระดูกพรุน โรคลูปัสหรือโรคแพ้ภูมิตัวเอง และภาวะแมกนีเซียมในเลือดต่ำ
- การใช้ยา Rabeprazole มีความเสี่ยงที่ทำให้ไตผิดปกติ เกิดการติดเชื้อในลำไส้ หรือเกิดโรคลูปัส
- การใช้ยา Rabeprazole อาจเพิ่มความเสี่ยงให้เกิดการแตกหักของกระดูกสะโพก ข้อมือ หรือกระดูกสันหลัง โดยมักเกิดขึ้นกับผู้ป่วยที่ใช้ยาติดต่อกันเป็นเวลานาน หรือใช้ยามากกว่าวันละ 1 ครั้ง รวมไปถึงผู้ป่วยที่มีอายุ 50 ปีขึ้นไป แต่ยังไม่เป็นที่แน่ชัดว่ายานี้เป็นสาเหตุที่แท้จริงของความเสี่ยงดังกล่าว
- ระหว่างที่ใช้ยา ให้หลีกเลี่ยงยาแก้ท้องเสียหากแพทย์ไม่ได้สั่ง และยานี้อาจทำให้เกิดอาการท้องเสียซึ่งเป็นอาการของภาวะติดเชื้อ ดังนั้น หากมีอาการท้องเสียเป็นน้ำหรือมีเลือดปนให้ไปพบแพทย์ทันที
- ผู้ที่ตั้งครรภ์ วางแผนมีบุตร และให้นมบุตร ควรปรึกษาแพทย์ถึงข้อดีและข้อเสียของยาก่อนใช้ยานี้
ปริมาณการใช้ยา Rabeprazole
ปริมาณและระยะเวลาในการใช้ยาขึ้นอยู่กับดุลยพินิจของแพทย์ผู้รักษา โดยมีตัวอย่างการใช้ยา ดังนี้
โรคกรดไหลย้อน
เด็กอายุตั้งแต่ 12 ปีขึ้นไป รับประทานยาปริมาณ 20 มิลลิกรัม วันละ 1 ครั้ง ในตอนเช้า เป็นระยะเวลา 8 สัปดาห์
ผู้ใหญ่ รับประทานยาปริมาณ 20 มิลลิกรัม เป็นระยะเวลา 4-8 สัปดาห์ ส่วนปริมาณยาสำหรับควบคุมอาการ ให้รับประทานยา 10 หรือ 20 มิลลิกรัม/วัน โดยรับประทานในตอนเช้าวันละ 1 ครั้ง
ผู้สูงอายุ รับประทานยาปริมาณเดียวกันกับผู้ใหญ่ โดยไม่จำเป็นต้องปรับปริมาณยา
ผู้ใหญ่ รับประทานยาปริมาณ 20 มิลลิกรัม ในตอนเช้าวันละ 1 ครั้ง เป็นระยะเวลา 4-8 สัปดาห์หากเป็นแผลในลำไส้เล็กส่วนต้น หรือรับประทานยาเป็นเวลา 6-12 สัปดาห์หากเป็นแผลที่กระเพาะอาหาร
ผู้สูงอายุ รับประทานยาปริมาณเดียวกันกับผู้ใหญ่ โดยไม่จำเป็นต้องปรับปริมาณยา
รักษาการติดเชื้อเฮลิโคแบคเตอร์ ไพโลไร หรือ เอชไพโล ( H.pylori)
ผู้ใหญ่
- รับประทานยาปริมาณ 20 มิลลิกรัมร่วมกับยาคลาริโธรมัยซินปริมาณ 500 มิลลิกรัมและยาอะม็อกซีซิลลินปริมาณ 1 กรัม วันละ 2 ครั้ง
- รับประทานยาปริมาณ 20 มิลลิกรัมร่วมกับยาคลาริโธรมัยซินปริมาณ 250 มิลลิกรัมและยาเมโทรนิดาโซลปริมาณ 400 มิลลิกรัม วันละ 2 ครั้ง
ผู้สูงอายุ รับประทานปริมาณเดียวกันกับผู้ใหญ่ โดยไม่จำเป็นต้องปรับปริมาณยา
กลุ่มอาการโซลลิงเจอร์–เอลลิสัน (Zollinger-Ellison Syndrome)
ผู้ใหญ่ รับประทานยาปริมาณเริ่มต้น 60 มิลลิกรัม วันละ 1 ครั้ง ในตอนเช้า และหากจำเป็นให้ปรับปริมาณยาสูงสุดได้ไม่เกิน 120 มิลลิกรัม/วัน โดยหากปริมาณยามากกว่า 100 มิลลิกรัม ให้แบ่งรับประทาน 2 ครั้ง
ผู้สูงอายุ รับประทานปริมาณเดียวกันกับผู้ใหญ่ โดยไม่จำเป็นต้องปรับปริมาณยา
การใช้ยา Rabeprazole
- ใช้ยาตามฉลากและตามคำสั่งแพทย์อย่างเคร่งครัด ไม่ใช้ยาในปริมาณมากกว่า น้อยกว่า หรือติดต่อกันนานกว่าที่แพทย์แนะนำ หากมีข้อสงสัยควรสอบถามแพทย์หรือเภสัชกรก่อนใช้ยาเสมอ
- ห้ามใช้ยา Rabeprazole ในเด็กอายุต่ำกว่า 12 ปี โดยไม่ปรึกษาแพทย์
- ให้รับประทานยา Rabeprazole พร้อมกับน้ำเปล่า 1 แก้ว
- หากใช้ยาเพื่อรักษาแผลในลำไส้เล็กส่วนต้น ให้รับประทานยาหลังอาหาร หากใช้เพื่อป้องกันการติดเชื้อเฮลิโคแบคเตอร์ ไพโลไร ให้รับประทานยาพร้อมอาหาร และกรณีที่ใช้รักษาภาวะอื่น ๆ อาจรับประทานพร้อมอาหารหรือไม่พร้อมก็ได้
- ห้ามบด หัก หรือเคี้ยวยา แต่ให้รับประทานโดยกลืนยาทั้งเม็ด
- ห้ามปรับเปลี่ยนปริมาณยาโดยไม่ได้ปรึกษาแพทย์ และใช้ยา Rabeprazole ให้ครบตามจำนวนที่แพทย์สั่งอย่างเคร่งครัดแม้อาการจะดีขึ้นแล้วก็ตาม
- แจ้งให้แพทย์หรือผู้ตรวจทางห้องปฏิบัติการทราบว่ากำลังใช้ยานี้ เพราะยาอาจส่งผลให้การตรวจบางชนิดคลาดเคลื่อน
- แจ้งให้แพทย์ทราบหากอาการไม่ดีขึ้นหรือแย่ลง
- กรณีที่ใช้ยานี้ติดต่อกันนานกว่า 3 ปี อาจทำให้ผู้ป่วยมีภาวะขาดวิตามินบี 12 ซึ่งผู้ป่วยควรปรึกษาแพทย์ถึงวิธีการป้องกันการเกิดภาวะดังกล่าว
- หากลืมรับประทานยา ให้รับประทานทันทีที่นึกขึ้นได้ หากใกล้กับเวลาที่ต้องใช้ยาในรอบถัดไป ให้ข้ามไปใช้ยารอบต่อไป และห้ามเพิ่มปริมาณยาเป็น 2 เท่า
- เก็บยาไว้ที่อุณหภูมิห้อง ให้ห่างจากความร้อนและความชื้น
- หากสงสัยว่าตนใช้ยาเกินกว่าปริมาณที่กำหนด ควรแจ้งให้แพทย์ทราบทันที
ผลข้างเคียงจากการใช้ยา Rabeprazole
การใช้ยา Rabeprazole อาจทำให้เกิดผลข้างเคียง ได้แก่ ปวดศีรษะ คลื่นไส้ อาเจียน ท้องผูก ท้องเสีย และปวดท้อง เป็นต้น หากอาการดังกล่าวไม่หายไปหรือรบกวนการใช้ชีวิตประจำวัน ผู้ป่วยควรไปพบแพทย์
หากพบผลข้างเคียงที่รุนแรงจากการใช้ยา Rabeprazole ดังต่อไปนี้ ควรหยุดใช้ยาและไปพบแพทย์ทันที
- ปวดท้องรุนแรง ท้องเสียเป็นน้ำหรือปนเลือด
- เจ็บหรือมีความผิดปกติอย่างกะทันหันในการเคลื่อนไหวสะโพก ข้อมือ และหลัง
- ไตผิดปกติ ซึ่งอาจทำให้เกิดอาการ เช่น ปัสสาวะน้อยกว่าปกติ ปัสสาวะปนเลือด ตัวบวม และน้ำหนักเพิ่มขึ้นอย่างรวดเร็ว เป็นต้น
- โรคลูปัสหรือโรคแพ้ภูมิตัวเอง ซึ่งอาจทำให้เกิดอาการ เช่น ปวดข้อ มีผื่นขึ้นที่แก้มหรือแขน เป็นต้น
- วิตามินบีต่ำ ซึ่งอาจมีอาการบางอย่าง เช่น ผิวซีด เหนื่อย กล้ามเนื้ออ่อนแรง หัวใจเต้นผิดจังหวะ รู้สึกหวิว หรือหายใจไม่อิ่ม เป็นต้น
- ภาวะแมกนีเซียมในเลือดต่ำ ซึ่งอาจทำให้เกิดอาการ เช่น เวียนศีรษะ หัวใจเต้นผิดปกติ กระสับกระส่าย เจ็บกล้ามเนื้อ กล้ามเนื้ออ่อนแรง กล้ามเนื้อที่มือและเท้ากระตุก รู้สึกอึดอัด เสียงแหบ และชัก เป็นต้น
นอกจากนี้ หากผู้ป่วยพบอาการผิดปกติใด ๆ เพิ่มเติม ควรรีบแจ้งให้แพทย์ทราบด้วยเช่นกัน