Rivaroxaban (ไรวาโรซาแบน)

Rivaroxaban (ไรวาโรซาแบน)

Rivaroxaban (ไรวาโรซาแบน) เป็นยาในกลุ่มต้านการแข็งตัวของเลือดเพื่อลดความเสี่ยงต่อการเกิดโรคหลอดเลือดสมองและการแข็งตัวของเลือดในผู้ป่วยหัวใจห้องบนเต้นพลิ้ว (Atrial Fibrillation) รักษาและป้องกันภาวะลิ่มเลือดในหลอดเลือดดำส่วนลึก (Deep Vein Thrombosis: DVT) และโรคลิ่มเลือดอุดกั้นในปอด (Pulmonary Embolism: PE) ในผู้ที่ผ่าตัดเปลี่ยนข้อเข่าหรือสะโพกเทียม และอาจใช้รักษาอาการอื่น ๆ ตามดุลพินิจของแพทย์

Rivaroxaban,Tablet,Drug,Close,Up,Of,Anticoagulant,Medication,Used,To

เกี่ยวกับยา Rivaroxaban

กลุ่มยา ยาต้านการแข็งตัวของเลือด (Anticoagulants)
ประเภทยา ยาตามใบสั่งแพทย์
สรรพคุณ ป้องกันและรักษาอันตรายที่อาจเกิดจากลิ่มเลือด
กลุ่มผู้ป่วย ผู้ใหญ่
รูปแบบของยา ยารับประทาน
การใช้ยาในหญิงตั้งครรภ์และผู้ให้นมบุตร Category C จากการศึกษาในสัตว์พบว่า ทำให้เกิดความผิดปกติต่อตัวอ่อนในครรภ์สัตว์ แต่ไม่มีการศึกษาในมนุษย์ หรือไม่มีข้อมูลเพียงพอในการศึกษาทดลองในมนุษย์และสัตว์ จึงควรใช้ยาเมื่อพิจารณาแล้วว่า มีประโยชน์มากกว่าความเสี่ยงที่อาจเกิดขึ้นต่อทารกในครรภ์ สำหรับคุณแม่ที่ต้องให้นมบุตรสามารถใช้ยาได้เนื่องจากปริมาณยาที่ปะปนในน้ำนมมีน้อย แต่ควรสังเกตว่าทารกมีอาการเลือดออกมากผิดปกติหรือไม่

คำเตือนในการใช้ยา Rivaroxaban

ข้อควรทราบเพื่อความปลอดภัยก่อนการใช้ยา Rivaroxaban มีดังนี้

  • ผู้ที่มีอาการแพ้ยา Rivaroxaban แพ้สารอื่น ๆ มีอาการเสียเลือดมากหรือกำลังมีเลือดออกไม่ควรใช้ยาชนิดนี้ และผู้ป่วยควรสอบถามแพทย์หรือเภสัชกรเกี่ยวกับส่วนประกอบของยา Rivaroxaban
  • แจ้งให้แพทย์ทราบเกี่ยวกับยา วิตามิน หรือสมุนไพรทุกชนิดที่ผู้ป่วยกำลังใช้อยู่ เพราะยาบางชนิดอาจทำปฏิกิริยากับยานี้จนก่อให้เกิดผลข้างเคียงหรือทำให้ยามีประสิทธิภาพลดลง และอาจเพิ่มความเสี่ยงให้เกิดภาวะเลือดออกง่ายขึ้นได้ โดยเฉพาะผู้ที่รับประทานยาแอสไพริน ยาอีน็อกซาพาริน (Enoxaparin) ยาเฮพาริน (Heparin) ยาวาฟาริน (Warfarin) ยาโคลพิโดเกรล (Clopidogrel) และยาต้านเศร้าบางชนิด
  • แจ้งให้แพทย์ก่อนการใช้ยา Rivaroxaban หากผู้ป่วยมีปัญหาสุขภาพบางประการ โดยเฉพาะโรคตับ โรคไต โรคหลอดเลือดสมอง โรคทางพันธุกรรมที่เกี่ยวข้องกับความผิดปกติของเอนไซม์ ภาวะเลือดออกผิดปกติ ภาวะการแข็งตัวของเลือดผิดปกติบางชนิด กลุ่มอาการต้านฟอสโฟลิพิด มีความผิดปกติของจอตา หกล้มหรือได้รับบาดเจ็บบ่อย ผู้ที่ใส่ลิ้นหัวใจเทียมหรือเป็นผู้ที่เพิ่งเข้ารับการผ่าตัดหรือได้รับบาดเจ็บอย่างรุนแรง
  • แจ้งให้แพทย์ทราบทันทีหากมีอาการของภาวะเลือดออกผิดปกติ เช่น ปวดหัว เวียนหัว รู้สึกอ่อนแรง มีเลือดออกตามไรฟัน ไอเป็นเลือด อาเจียนเป็นเลือดหรือเป็นสีน้ำตาลคล้ำ เลือดกำเดาไหล มีประจำเดือนมากหรือมีเลือดไหลออกจากช่องคลอด ปัสสาวะเป็นเลือด อุจจาระมีเลือดปนหรือมีลักษณะคล้ายยางมะตอย เป็นต้น
  • แจ้งให้แพทย์ทราบหากเคยเจาะนํ้าไขสันหลังหรือเคยเจาะซ้ำหลายครั้ง เคยฉีดยาชาหรือทำหัตถการบริเวณไขสันหลัง ไขสันหลังมีความผิดปกติโดยกำเนิดจากพันธุกรรม ใส่สายสวนบริเวณไขสันหลัง เป็นผู้ที่ใช้ยาในกลุ่มเอ็นเสด (NSAID) ยารักษาหรือป้องกันการแข็งตัวของเลือดชนิดอื่น เนื่องจากยา Rivaroxaban อาจทำให้เกิดการแข็งตัวอย่างรุนแรงของเลือดรอบไขสันหลัง ซึ่งอาจส่งผลให้เป็นอัมพาตในระยะยาวได้
  • หากต้องเข้ารับผ่าตัดร่างกายหรือช่องปาก ควรแจ้งให้แพทย์ทราบว่าอยู่ในช่วงการรับประทานยานี้
  • แจ้งให้แพทย์ทราบหากกำลังวางแผนตั้งครรภ์หรืออยู่ในช่วงตั้งครรภ์ เนื่องจากยา Rivaroxaban อาจเป็นอันตรายต่อมารดาและทารกในครรภ์
  • ปรึกษาแพทย์ก่อนการให้นมบุตรระหว่างการใช้ยา Rivaroxaban เนื่องจากตัวยาอาจปนเปื้อนไปกับน้ำนมได้
  • ยา Rivaroxaban อาจส่งผลให้เกิดภาวะเลือดออกในทางเดินอาหาร โดยเฉพาะคนที่ดื่มเครื่องดื่มแอลกอฮอล์เป็นประจำ จึงควรจำกัดปริมาณการดื่มเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ หรือปรึกษาแพทย์และเภสัชกรถึงปริมาณแอลกอฮอล์ที่ดื่มได้อย่างปลอดภัย
  • ในระหว่างใช้ยา Rivaroxaban ควรระมัดระวังไม่ให้เลือดออก จึงควรระมัดระวังการใช้ของมีคม อย่างกรรไกรตัดเล็บ มีดโกน และการใช้แปรงสีฟัน ไหมขัดฟันและไม้จิ้มฟัน รวมทั้งควรหลีกเลี่ยงการเล่นกีฬาที่มีการปะทะ เพราะยาชนิดนี้อาจทำให้เกิดภาวะเลือดไหลผิดปกติ
  • หากได้รับบาดเจ็บอย่างรุนแรงในขณะใช้ยานี้ โดยเฉพาะการบาดเจ็บบริเวณศีรษะ ควรแจ้งให้แพทย์ทราบทันทีเพื่อตรวจหาอาการเลือดออกภายในที่อาจเป็นอันตรายต่อชีวิต

ปริมาณการใช้ยา Rivaroxaban

ปริมาณและระยะเวลาในการใช้ยา Rivaroxaban ขึ้นอยู่กับดุลยพินิจของแพทย์และสุขภาพโดยรวมของผู้ป่วย โดยมีตัวอย่างการใช้ยาดังนี้

ภาวะลิ่มเลือดในหลอดเลือดดำส่วนลึกและโรคลิ่มเลือดอุดกั้นในปอด

ตัวอย่างการใช้ยา Rivaroxaban เพื่อรักษาและป้องกันภาวะลิ่มเลือดในหลอดเลือดดำส่วนลึกและโรคลิ่มเลือดอุดกั้นในปอด

  • ผู้ใหญ่ เริ่มรับประทานยาปริมาณ 15 มิลลิกรัม 2 ครั้ง/วัน เป็นเวลา 3 สัปดาห์ ก่อนจะปรับปริมาณยาเป็น 20 มิลลิกรัม 1 ครั้ง/วัน สำหรับป้องกันการเกิดอาการซ้ำ ให้รับประทานยาปริมาณ 10 มิลลิกรัม 1 ครั้ง/วัน ตามด้วยการรับประทานยาต้านภาวะแข็งตัวของเลือดเป็นเวลา 6 เดือน หรือ 20 มิลลิกรัม 1 ครั้ง/วันสำหรับผู้ป่วยที่มีความเสี่ยงสูงต่อการเกิดอาการซ้ำ

โรคหลอดเลือดสมองและลิ่มเลือดอุดตันจากภาวะหัวใจห้องบนสั่นพลิ้วชนิดไม่มีความผิดปกติเกี่ยวกับลิ้นหัวใจ (Non-Valvular Atrial Fibrillation)

ตัวอย่างการใช้ยา Rivaroxaban เพื่อป้องกันการเกิดโรคหลอดเลือดสมองและลิ่มเลือดอุดตันจากภาวะหัวใจห้องบนสั่นพลิ้วชนิดไม่มีความผิดปกติเกี่ยวกับลิ้นหัวใจ

  • ผู้ใหญ่ รับประทานยาปริมาณ 20 มิลลิกรัม 1 ครั้ง/วัน โดยรับประทานพร้อมอาหารในมื้อเย็น

ภาวะลิ่มเลือดอุดตันในหลอดเลือดดำ (Venous Thromboembolism: VTE)

ตัวอย่างการใช้ยา Rivaroxaban เพื่อป้องกันการเกิดภาวะลิ่มเลือดอุดตันในหลอดเลือดดำ

  • ผู้ใหญ่ รับประทานยาปริมาณ 10 มิลลิกรัม 1 ครั้ง/วัน โดยเริ่มรับประทานหลังการผ่าตัดข้อเข่าหรือการผ่าตัดสะโพก 6–10 ชั่วโมง ผู้ป่วยที่ผ่าตัดสะโพกให้รับประทานยาเป็นเวลา 5 สัปดาห์ และผู้ป่วยที่ผ่าตัดข้อเข่าให้รับประทานยาเป็นเวลา 3 สัปดาห์ ทั้งนี้ ปริมาณยาอาจปรับเปลี่ยนหรือหยุดการใช้ตามสภาวะร่างกายของผู้ป่วยและดุลยพินิจของแพทย์

โรคหัวใจและหลอดเลือดกำเริบ

ตัวอย่างการใช้ยา Rivaroxaban เพื่อป้องกันอาการของโรคหัวใจและหลอดเลือดกำเริบในผู้ป่วยโรคหลอดเลือดแดงส่วนปลายตีบ (Peripheral Arterial Disease) หรือผู้ป่วยโรคหัวใจและหลอดเลือด

 

  • ผู้ใหญ่ รับประทานยาปริมาณ 2.5 มิลลิกรัม 2 ครั้ง/วัน โดยรับประทานร่วมกับยาแอสไพริน

การใช้ยา Rivaroxaban

เพื่อความปลอดภัยในการใช้ยา Rivaroxaban ผู้ป่วยควรปฏิบัติตามคำแนะนำต่อไปนี้

  • ควรรับประทานยาตามคำสั่งแพทย์หรือคำแนะนำบนฉลากยาอย่างเคร่งครัด ไม่ควรปรับปริมาณยาเอง หากมีข้อสงสัยควรสอบถามแพทย์หรือเภสัชกรก่อนใช้ยาเสมอ
  • ใช้ยาตามที่แพทย์สั่งอย่างเคร่งครัดแม้อาการจะดีขึ้นแล้วก็ตาม เพราะหากหยุดการใช้ยาอย่างกระทันหันอาจทำให้อาการของโรครุนแรงขึ้นได้
  • หากรับประทานยา Rivaroxaban ในปริมาณ 10 มิลลิกรัม สามารถรับประทานพร้อมอาหารหรือไม่พร้อมอาหารก็ได้ แต่หากรับประทานยาในปริมาณ 15–20 มิลลิกรัม ผู้ป่วยควรรับประทานยาพร้อมอาหาร
  • รับประทานยาในเวลาเดียวกันของทุกวันเพื่อป้องกันการลืมรับประทานยา
  • หากผู้ป่วยไม่สามารถกลืนยาได้ สามารถบดยาแล้วนำไปผสมกับน้ำสะอาด และควรดื่มให้หมดทันทีหลังการผสม
  • ในกรณีที่ผู้ป่วยต้องรับประทานอาหารหรือยาทางสายยาง ควรปรึกษาแพทย์ถึงวิธีการการผสมและจัดเตรียมยาอย่างเหมาะสมเพื่อความปลอดภัย
  • หากใช้ยาเกินปริมาณที่กำหนดอาจทำให้มีเลือดไหลผิดปกติได้ หากสงสัยว่ามีการใช้ยาเกินปริมาณที่กำหนด ควรนำผู้ป่วยส่งโรงพยาบาลทันที
  • กรณีที่ลืมรับประทานยา ควรรับประทานทันทีที่นึกขึ้นได้และรับประทานยาครั้งต่อไปตามช่วงเวลาเดิม หรือหากนึกได้ในช่วงเวลาที่ใกล้กับเวลารับประทานยาครั้งถัดไป ให้ข้ามไปรับประทานยามื้อถัดไปเพียงมื้อเดียว ห้ามเพิ่มปริมาณยาเป็น 2 เท่าเพื่อทดแทน ยกเว้นผู้ป่วยที่รับประทานยาปริมาณ 15 มิลลิกรัม 2 ครั้ง/วันลืมรับประทานยา สามารถรับประทานยาเป็น 2 เท่าเพื่อทดแทนก่อนกลับไปรับประทานยาตามเดิมได้
  • แจ้งให้แพทย์หรือเภสัชกรทราบหากลืมรับประทานยาบ่อยครั้ง
  • เก็บยาไว้ในบรรจุภัณฑ์ที่อุณหภูมิห้อง หลีกเลี่ยงความชื้น ความร้อน แสงแดด รวมทั้งควรเก็บให้พ้นมือเด็กหรือสัตว์เลี้ยง
  • ห้ามให้ผู้อื่นใช้ยานี้แม้จะมีอาการป่วยเหมือนกัน เนื่องจากปริมาณยาและระยะเวลาการใช้ยาจะขึ้นอยู่กับอาการและการตอบสนองต่อยาของแต่ละบุคคล

ผลข้างเคียงจากการใช้ยา Rivaroxaban

การใช้ยา Rivaroxaban อาจก่อให้เกิดผลข้างเคียงที่แตกต่างกันไปในแต่ละบุคคล หากพบอาการต่อไปนี้ขณะใช้ยาควรแจ้งให้แพทย์ทราบเพื่อรับการรักษาทันที

  • ปวดหัว เวียนหัว
  • เจ็บหลัง
  • มีเลือดออกตามไรฟัน
  • ไอเป็นเลือด
  • เลือดกำเดาไหล
  • หายใจหรือกลืนลำบาก
  • รู้สึกแสบ คัน ชา ปวดคล้ายถูกเข็มแทง
  • ปัสสาวะเป็นเลือด
  • อุจจาระเป็นสีแดง ดำหรือมีลักษณะคล้ายยางมะตอย
  • ลำไส้หรือกระเพาะปัสสาวะทำงานผิดปกติ
  • มีประจำเดือนมากขึ้นหรือมีเลือดไหลออกจากช่องคลอด
  • ขาอ่อนแรงหรือมีอาการของโรคอัมพาต
  • หมดสติ
  • มีอาการของโรคตับอักเสบ เกล็ดเลือดต่ำ หรือกลุ่มอาการสตีเวนส์จอห์นสัน (Stevens-Johnson Syndrome)