Saxagliptin (แซกซ่ากลิปติน)
Saxagliptin (แซกซ่ากลิปติน) เป็นยาที่ออกฤทธิ์ยับยั้งเอนไซม์ไดเพปทิดิลเพปทิเดส-4 ใช้เพื่อควบคุมระดับน้ำตาลในเลือดสำหรับผู้ป่วยโรคเบาหวานประเภทที่ 2 โดยยาจะออกฤทธิ์ช่วยเพิ่มปริมาณของสารอินครีติน ทำให้ร่างกายหลั่งสารอินซูลินเพิ่มขึ้นโดยเฉพาะหลังมื้ออาหาร ซึ่งจะช่วยควบคุมระดับน้ำตาลในเลือดได้ดีขึ้น ซึ่งผู้ป่วยควรใช้ยานี้ร่วมกับการควบคุมอาหารและการออกกำลังกายอย่างเหมาะสม
เกี่ยวกับยา Saxagliptin
คำเตือนในการใช้ยา Saxagliptin
- แจ้งให้แพทย์ทราบหากแพ้ยาชนิดนี้ หรือแพ้ยารักษาโรคเบาหวานที่คล้ายกัน รวมถึงการแพ้ยาชนิดอื่น อาหาร หรือสารใด ๆ เพราะยา Saxagliptin อาจมีส่วนผสมของสารที่ทำให้เกิดอาการแพ้ได้
- แจ้งให้แพทย์ทราบว่าใช้ยานี้ ยาชนิดอื่น และสมุนไพรต่าง ๆ ก่อนเข้ารับการผ่าตัดหรือทำทันตกรรม
- แจ้งให้แพทย์ทราบเกี่ยวกับยาและอาหารเสริมที่ใช้อยู่ในปัจจุบัน เพราะแพทย์อาจต้องปรับปริมาณยาให้เหมาะสม หรือเฝ้าระวังผลข้างเคียงที่อาจเกิดขึ้นอย่างใกล้ชิด
- หากรับประทานยานี้อยู่ ควรปรึกษาแพทย์ก่อนเริ่มรับประทานยาชนิดอื่น รวมทั้งวิตามินหรืออาหารเสริมใด ๆ ก็ตาม
- แจ้งให้แพทย์ทราบถึงประวัติทางการแพทย์และภาวะที่กำลังเผชิญอยู่ โดยเฉพาะผู้ป่วยโรคเบาหวานประเภทที่ 1 โรคไต ภาวะตับอ่อนอักเสบเรื้อรัง ภาวะหัวใจล้มเหลว ภาวะเลือดเป็นกรด รวมถึงผู้ที่ดื่มแอลกอฮอล์เป็นประจำ
- ความเครียดอาจส่งผลกระทบต่อระดับน้ำตาลในเลือดได้ เช่น ความเครียดจากการเจ็บป่วย การติดเชื้อ การบาดเจ็บ การเข้ารับการผ่าตัด การออกกำลังกาย หรือการเปลี่ยนแปลงอาหารที่รับประทาน เป็นต้น ดังนั้น ควรปรึกษาแพทย์หากระดับน้ำตาลในเลือดเปลี่ยนแปลงไป เพราะอาจจำเป็นต้องปรับเปลี่ยนปริมาณยา หรือแผนการรักษาที่ใช้อยู่
- ไม่ควรขับรถ ใช้เครื่องจักร หรือทำกิจกรรมที่ใช้สายตาหรือต้องตื่นตัวอยู่ตลอดในระหว่างที่รับประทานยาชนิดนี้ จนกว่าจะแน่ใจว่าสามารถทำกิจกรรมดังกล่าวได้อย่างปลอดภัย เพราะยาอาจทำให้น้ำตาลในเลือดต่ำจนผู้ป่วยรู้สึกง่วง เวียนหัว หรือเห็นภาพเบลอ ซึ่งเสี่ยงต่อการเกิดอุบัติเหตุ
- ผู้ที่กำลังตั้งครรภ์ อยู่ในช่วงให้นมบุตร หรือวางแผนจะมีบุตร ควรปรึกษาแพทย์ถึงผลกระทบของยาก่อนเริ่มรับประทาน
ปริมาณการใช้ยา Saxagliptin
โรคเบาหวานประเภทที่ 2
ตัวอย่างการใช้ยา Saxagliptin เพื่อรักษาโรคเบาหวานประเภทที่ 2
ผู้ใหญ่ รับประทานยาปริมาณ 2.5 หรือ 5 มิลลิกรัม วันละครั้ง แต่หากรับประทานร่วมกับยาที่มีฤทธิ์ยับยั้งการทำงานของเอนไซม์ CYP3A4/5 แบบเข้มข้น ควรใช้ปริมาณเพียง 2.5 มิลลิกรัม วันละครั้ง
การใช้ยา Saxagliptin
- ใช้ยาตามฉลากและปฏิบัติตามคำแนะนำของแพทย์หรือเภสัชกรอย่างเคร่งครัด หากมีข้อสงสัยเกี่ยวกับการรับประทานยา ควรสอบถามแพทย์หรือเภสัชกรให้เข้าใจก่อนใช้ยาเสมอ
- ห้ามเริ่มรับประทานยา หยุดใช้ยา หรือเปลี่ยนแปลงปริมาณยาด้วยตนเองโดยไม่ปรึกษาแพทย์ก่อน
- รับประทานยาอย่างต่อเนื่องให้ครบตามที่แพทย์แนะนำ และไม่หยุดใช้ยาด้วยตนเองแม้อาการจะดีขึ้นแล้วก็ตาม
- รับประทานยาชนิดนี้พร้อมอาหารหรือไม่ก็ได้ โดยควรกลืนยาลงไปทั้งเม็ด ไม่ควรแบ่งยา บดยา หรือเคี้ยวยา ยกเว้นว่าได้รับคำแนะนำจากแพทย์
- หากลืมรับประทานยา ให้รับประทานทันทีที่นึกขึ้นได้ แต่หากใกล้ถึงเวลาของยาครั้งต่อไป ให้ข้ามไปรับประทานยารอบต่อไปโดยไม่ต้องเพิ่มปริมาณยา
- หากรับประทานยาเกินปริมาณที่แพทย์กำหนด ควรรีบไปปรึกษาแพทย์
- หากรับประทานยาแล้วอาการไม่ดีขึ้นหรือมีอาการแย่ลง ควรไปพบแพทย์
- ควรรับประทานอาหารและออกกำลังกายตามที่แพทย์แนะนำไปด้วยในระหว่างที่ใช้ยา
- ปรึกษาแพทย์ทุกครั้งก่อนดื่มเครื่องดื่มที่มีแอลกอฮอล์ในระหว่างที่รับประทานยา
- เข้ารับการตรวจวัดระดับน้ำตาลในเลือดอย่างสม่ำเสมอในระหว่างที่รับประทานยา
- ไม่ควรรับประทานยาของผู้อื่น และไม่ควรให้ผู้อื่นรับประทานยาของตนเอง
- เก็บยาไว้ที่อุณหภูมิห้อง โดยหลีกเลี่ยงความชื้นและเก็บให้ห่างจากเด็กหรือสัตว์เลี้ยง
ผลข้างเคียงจากการใช้ยา Saxagliptin
ยาชนิดนี้อาจทำให้เกิดผลข้างเคียงที่ไม่รุนแรงอย่างอาการปวดหัว ไอ เจ็บคอ มีน้ำมูก หรือผลข้างเคียงอื่น ๆ ดังนั้น หากเกิดความผิดปกติขึ้นกับร่างกายในระหว่างใช้ยาชนิดนี้ ควรไปพบแพทย์เพื่อเข้ารับการรักษาอย่างถูกต้อง
นอกจากนี้ ยา Saxagliptin อาจทำให้เกิดผลข้างเคียงที่รุนแรงได้ โดยหากผู้ป่วยมีอาการดังต่อไปนี้ ควรหยุดรับประทานยาและรีบไปพบแพทย์ทันที
- มีอาการแพ้ยา เช่น ผิวซีดลง เป็นผื่นสีแดงหรือม่วง คัน หน้าบวม ปากบวม คอบวม หรือหายใจลำบาก เป็นต้น
- มีอาการของโรคตับอ่อนอักเสบเรื้อรัง อย่างคลื่นไส้ อาเจียน เบื่ออาหาร หัวใจเต้นเร็ว หรือปวดท้องช่วงบนอย่างมากจนลามไปถึงหลัง
- มีอาการของโรคหัวใจ เช่น หายใจถี่ น้ำหนักตัวเพิ่มขึ้นมากผิดปกติ ตัวบวม ขาบวม หรือเท้าบวม เป็นต้น
- มีอาการของภาวะน้ำตาลในเลือดต่ำ เช่น เหงื่อออกมากอย่างกะทันหัน ตัวสั่น เวียนศีรษะ หน้ามืด อ่อนเพลีย เห็นภาพเบลอ เป็นต้น
- มีอาการปวดหรือแสบเมื่อปัสสาวะ
- เป็นโรคตุ่มน้ำพองจากภูมิคุ้มกัน อย่างโรคบุลลัสเพมฟิกอยด์
- ปวดบริเวณข้อต่อในร่างกายอย่างต่อเนื่องหรือปวดอย่างรุนแรง