Statins (กลุ่มยาสแตติน)

Statins (กลุ่มยาสแตติน)

Statins (กลุ่มยาสแตติน) เป็นกลุ่มยาที่ใช้ลดระดับคอเลสเตอรอลในเลือด โดยช่วยลดระดับคอเลสเตอรอลชนิดไม่ดี (Low–Density Lipoproteins: LDL) และระดับไตรกลีเซอร์ไรด์ รวมถึงช่วยเพิ่มระดับคอเลสเตอรอลชนิดดีในเลือด (High–Density Lipoproteins: HDL) ซึ่งระดับคอเลสเตอรอลชนิดไม่ดีที่ลดลงจะช่วยลดความเสี่ยงในการเกิดโรคต่าง ๆ เช่น โรคหัวใจ ภาวะหัวใจขาดเลือด และโรคหลอดเลือดสมอง (Stroke) เป็นต้น 

นอกจากนี้ การใช้ยาสแตตินยังช่วยลดความเสี่ยงในการเกิดหลอดเลือดแดงอุดตันที่อาจเป็นอีกสาเหตุหนึ่งของภาวะหัวใจขาดเลือด ตัวอย่างยาในกลุ่ม Statins ที่แพทย์มักใช้ในไทย เช่น ยาซิมวาสแตติน (Simvastatin) และยาอะทอร์วาสแตติน (Atorvastatin) เป็นต้น

3048-Statins

คำเตือนในการใช้ยา Statins

เพื่อความปลอดภัยในการใช้ยา ผู้ป่วยควรระมัดระวังและปฏิบัติตามคำแนะนำต่อไปนี้

  • แจ้งให้แพทย์หรือเภสัชกรทราบทุกครั้งหากมีประวัติการแพ้ยาต่าง ๆ โดยเฉพาะยาในกลุ่ม Statins
  • แจ้งให้แพทย์ทราบหากกำลังใช้ยาบางชนิด เนื่องจากอาจเสี่ยงต่อการเกิดผลข้างเคียง เช่น ยาอะมิโอดาโรน (Amiodarone) ยาซาควินาเวียร์ (Saquinavir) ยาริโทนาเวียร์ (Ritonavir) ยาคลาริโทรมัยซิน (Clarithromycin) ยาไอทราโคนาโซล (Itraconazole) ยาไซโคลสปอริน (Cyclosporine) ยาวาร์ฟาริน (Warfarin) ยาดานาซอล (Danazol) ยาเวอราปามิล (Verapamil) ยาดิลไทอะเซม (Diltiazem) หรือยากลุ่มไฟเบรต (Fibrates) เป็นต้น
  • ผู้ที่กำลังตั้งครรภ์หรืออยู่ระหว่างให้นมบุตรไม่ควรใช้ยานี้
  • ควรหลีกเลี่ยงการรับประทานเกรปฟรุต (Grapefruit) ขณะใช้ยานี้ เนื่องจากสารบางอย่างในเกรปฟรุตอาจส่งผลให้กระบวนการดูดซึมยาของร่างกายถูกรบกวน
  • ผู้ที่ดื่มแอลกอฮอล์เป็นประจำควรปรึกษาแพทย์ก่อนใช้ยากลุ่ม Statins เนื่องจากเครื่องดื่มที่มีแอลกอฮอล์อาจเพิ่มความเสี่ยงให้ผู้ที่ใช้ยาเกิดผลข้างเคียงที่รุนแรง
  • ผู้ป่วยโรคตับขั้นรุนแรงหรือการทำงานของตับมีปัญหาไม่ควรใช้ยานี้ โดยแพทย์อาจให้ตรวจเลือดเพื่อดูสุขภาพตับก่อนเริ่มใช้ยาและอาจนัดตรวจระหว่างใช้ยาเป็นระยะ ๆ เช่น 3 เดือนหลังจากใช้ยา และอาจตรวจซ้ำหลังใช้ยาครบ 12 เดือน
  • การใช้ยากลุ่ม Statins อาจส่งผลให้เกิดอาการผิดปกติทางกล้ามเนื้อ จึงควรแจ้งให้แพทย์ทราบก่อนใช้ยาหากเสี่ยงต่อการเกิดอาการดังกล่าว เช่น อายุมากกว่า 70 ปี มีประวัติเป็นโรคตับ ดื่มแอลกอฮอล์เป็นประจำ เคยเกิดอาการผิดปกติทางกล้ามเนื้อจากการใช้ยาชนิดอื่นในกลุ่ม Statins หรือยากลุ่มไฟเบรต หรือคนในครอบครัวมีประวัติความผิดปกติทางกล้ามเนื้อหรือภาวะกล้ามเนื้อลายสลาย (Rhabdomyolysis) เป็นต้น
  • ผู้ที่มีระดับคอเลสเตอรอลสูงจากภาวะขาดไทรอยด์ (Hypothyroidism) อาจไม่จำเป็นต้องใช้ยากลุ่ม Statins ในการรักษา เนื่องจากตัวยาอาจส่งผลให้ผู้ป่วยกล้ามเนื้อเสียหาย และการรักษาภาวะขาดไทรอยด์มักทำให้ระดับคอเลสเตอรอลของผู้ป่วยกลับสู่ภาวะปกติได้เอง

ผลข้างเคียงจากการใช้ยา Statins

โดยส่วนมาก ผู้ที่ใช้ยาในกลุ่ม Statins มักไม่พบผลข้างเคียงใด ๆ หรืออาจเกิดอาการเพียงเล็กน้อยเท่านั้น และอาการจะค่อย ๆ ดีขึ้นหลังจากที่ร่างกายเริ่มปรับตัวกับยา โดยอาการที่อาจพบได้ เช่น ปวดศีรษะ คลื่นไส้ ปวดกล้ามเนื้อหรือข้อต่อ นอนหลับยาก ผิวแดง ผื่นขึ้น ง่วงซึม เวียนศีรษะ อาเจียน ปวดท้อง ท้องอืด ท้องเสีย ท้องผูก เกล็ดเลือดต่ำ เป็นต้น

ในบางกรณี การใช้ยาในกลุ่ม Statins อาจทำให้เกิดผลข้างเคียงบางอย่างที่รุนแรง เช่น

  • เซลล์กล้ามเนื้อเกิดความเสียหาย โดยอาจพบอาการเจ็บกล้ามเนื้อหรือกล้ามเนื้ออ่อนแรง ซึ่งความรุนแรงอาจแตกต่างกันไปในแต่ละคน นอกจากนี้ การใช้ยาในกลุ่ม Statins ร่วมกับยาบางชนิด หรือใช้มากเกินไป อาจส่งผลให้เกิดอาการทางกล้ามเนื้อที่รุนแรง โดยเฉพาะภาวะกล้ามเนื้อลายสลาย ซึ่งเป็นภาวะที่ผู้ป่วยควรไปพบแพทย์ทันที โดยอาจสังเกตได้จากอาการบางอย่าง เช่น ปวดกล้ามเนื้อขั้นรุนแรง ปวดน่องขณะเดิน อ่อนเพลีย หรือปัสสาวะเป็นสีคล้ำ เป็นต้น
  • ตับเกิดความเสียหาย ยาในกลุ่ม Statins อาจส่งผลให้ระดับเอนไซม์ตับมากขึ้น และเกิดอาการต่าง ๆ เช่น ผิวหนังหรือตาเหลือง ปวดท้องส่วนบน ปัสสาวะมีสีคล้ำ อุจจาระสีซีด อ่อนแรงผิดปกติ เบื่ออาหาร เป็นต้น
  • ระดับน้ำตาลในเลือดเพิ่มขึ้น เป็นภาวะที่พบได้น้อย โดยผู้ที่มีระดับน้ำตาลในเลือดสูงอยู่ก่อนแล้วอาจมีโอกาสในการเกิดภาวะดังกล่าวมากขึ้น ซึ่งระดับน้ำตาลในเลือดที่สูงขึ้นอาจส่งผลให้ผู้ป่วยเสี่ยงต่อการเกิดโรคเบาหวานประเภทที่ 2 ตามมา
  • อาการทางระบบประสาท แม้จะอยู่ระหว่างการศึกษาวิจัย แต่ทางการแพทย์พบว่าผู้ที่ใช้ยาในกลุ่ม Statins อาจเกิดอาการทางระบบประสาทบางอย่างหลังจากใช้ยา เช่น สูญเสียความจำ สับสน หรือมีปัญหาในการใช้ความคิด เป็นต้น

อย่างไรก็ตาม แม้ผลข้างเคียงส่วนใหญ่จากยากลุ่มสแตตินอาจไม่รุนแรง แต่ควรไปพบแพทย์หากพบอาการในข้างต้นหลังจากใช้ยาและไม่ควรหยุดใช้ยาเอง โดยแพทย์อาจปรับปริมาณยาหรือเลือกให้ยาชนิดอื่นในกลุ่มนี้แทน