Thalidomide (ทาลิโดไมด์)

Thalidomide (ทาลิโดไมด์)

Thalidomide (ทาลิโดไมด์) เป็นยากดภูมิคุ้มกัน ออกฤทธิ์ยับยั้งการเจริญเติบโตของเนื้องอก ใช้ป้องกันและรักษาการอักเสบทางผิวหนังที่เกิดจากโรคเรื้อนชนิดที่ 2 หรือนำมาใช้ร่วมกับยาเดกซาเมทาโซนเพื่อรักษาโรคมะเร็งเม็ดเลือดขาวมัลติเพิลมัยอิโลมา นอกจากนี้ ยังอาจนำไปใช้รักษาโรคอื่น ๆ ตามดุลยพินิจของแพทย์ด้วย

เกี่ยวกับยา Thalidomide

กลุ่มยา ยากดภูมิคุ้มกัน
ประเภทยา ยาตามใบสั่งแพทย์
สรรพคุณ รักษาอาการอักเสบทางผิวหนังของโรคเรื้อนชนิดที่ 2 
เสริมสร้างระบบภูมิคุ้มกันให้แข็งแรงเพื่อต่อต้านเซลล์มะเร็ง
กลุ่มผู้ป่วย เด็ก ผู้ใหญ่
รูปแบบของยา ยารับประทาน
การใช้ยาในหญิงตั้งครรภ์ Category X ห้ามใช้ในสตรีมีครรภ์หรือในสตรีที่อาจตั้งครรภ์ เพราะจากการศึกษาในมนุษย์และสัตว์แสดงให้เห็นว่า ทำให้เกิดความผิดปกติของ ทารกในครรภ์มนุษย์และตัวอ่อนในครรภ์สัตว์ หรือพบหลักฐานยืนยันว่า เกิดความเสี่ยงที่อันตรายต่อทารกในครรภ์ การใช้ยามีความเสี่ยงในการเกิดความผิดปกติสูงกว่าประโยชน์ที่อาจได้รับอย่างชัดเจน

1939 Thalidomide rs

คำเตือนในการใช้ยา Thalidomide

  • แจ้งให้แพทย์ทราบหากแพ้ยาชนิดนี้หรือยาชนิดอื่น เพราะยานี้อาจมีส่วนผสมที่ทำให้เกิดอาการแพ้หรือเกิดอาการอื่น ๆ ได้
  • แจ้งให้แพทย์ทราบหากกำลังรับประทานยาชนิดอื่น ทั้งยาที่ซื้อรับประทานเอง หรือยาตามใบสั่งแพทย์ โดยเฉพาะยาเพมโบรลิซูแมบ อาหารเสริม สมุนไพร หรือยาที่คิดว่าจะรับประทาน เพราะยาบางชนิดอาจทำปฏิกิริยากับยานี้และก่อให้เกิดผลข้างเคียงหรือทำให้ประสิทธิภาพของยาลดลง
  • แจ้งให้แพทย์ทราบเกี่ยวกับประวัติสุขภาพก่อนใช้ยา โดยเฉพาะอย่างยิ่งหากต้องเข้ารับการผ่าตัดหรือมีปัญหาสุขภาพ เช่น เกล็ดเลือดต่ำหรือเม็ดเลือดขาวต่ำ เกล็ดเลือดจับตัวเป็นลิ่ม เป็นเหน็บชา มีอาการเสียวซ่าที่แขนหรือขา เป็นโรคหัวใจหรือโรคหลอดเลือด เป็นโรคลมชัก ติดเชื้อเอชไอวี เป็นโรคเอดส์ เป็นต้น
  • ยาชนิดนี้อาจทำให้หน้ามืด จึงควรยืนช้า ๆ หากกำลังลุกจากท่านั่งหรือท่านอน เพื่อป้องกันการหกล้ม
  • หลีกเลี่ยงการขับขี่ยานพาหนะ การใช้เครื่องจักร หรือการทำกิจกรรมที่ต้องอาศัยความตื่นตัวขณะใช้ยานี้ จนกว่าจะแน่ใจว่าสามารถทำกิจกรรมเหล่านั้นได้อย่างปลอดภัย เพราะยานี้อาจทำให้วิงเวียนศีรษะหรือง่วง และไม่ควรดื่มเครื่องดื่มแอลกอฮอล์หรือใช้สารเสพติดขณะใช้ยา เพราะยานี้อาจทำให้ผู้ป่วยวิงเวียนศีรษะหรือง่วงมากขึ้น
  • ผู้ป่วยที่ติดเชื้อเอชไอวีอาจได้รับผลข้างเคียงจากการใช้ยามากกว่าคนทั่วไป เพราะยานี้อาจส่งผลต่อปริมาณเชื้อเอชไอวีในร่างกาย จึงอาจต้องเข้ารับการตรวจเชื้อเอชไอวีเป็นระยะ
  • ห้ามใช้ยาร่วมกับผู้ป่วยคนอื่น ๆ แม้จะเป็นโรคเดียวกันหรือมีอาการเดียวกันก็ตาม
  • ไม่ควรถือยาหรือสูดดมผงยาจากแคปซูลที่แตก เพราะผงยาอาจซึมเข้าสู่ผิวหนังหรือปอดได้
  • ยานี้อาจทำให้เด็กพิการแต่กำเนิดอย่างรุนแรงและเป็นอันตรายต่อชีวิตได้ หรือเด็กอาจเสียชีวิตหากมารดาหรือบิดาของเด็กรับประทานยานี้ในขณะที่มีการปฏิสนธิหรือขณะตั้งครรภ์ ซึ่งแม้จะรับประทานยาเพียงแค่ปริมาณหนึ่งก็อาจทำให้เด็กมีภาวะพิการแต่กำเนิดอย่างรุนแรงได้ที่บริเวณใบหน้า ตา หู แขน ขา กระดูก และหัวใจ
  • ผู้หญิงที่ยังไม่ได้ผ่าตัดมดลูกออกอาจต้องใช้ยาคุมกำเนิดที่มีประสิทธิภาพทั้งก่อนและหลังรับประทานยานี้ 4 สัปดาห์ รวมทั้งอาจต้องตรวจการตั้งครรภ์ทุก ๆ 2 หรือ 4 สัปดาห์ แม้จะมีปัญหาด้านการเจริญพันธ์ก็ตาม และผู้ชายควรใช้ถุงยางขณะมีเพศสัมพันธ์ทั้งระหว่างและหลังจากที่รับประทานยานี้ 4 สัปดาห์ ส่วนผู้ที่ประจำเดือนมาไม่ปกติ ไม่ได้รับประทานยาคุมกำเนิด หรือมีเพศสัมพันธ์แบบไม่ได้ป้องกัน ให้หยุดรับประทาน Thalidomide และแจ้งให้แพทย์ทราบถึงภาวะดังกล่าวทันที
  • ควรปรึกษาแพทย์หากต้องให้นมบุตร แม้จะยังไม่ทราบว่ายานี้ส่งผ่านน้ำนมได้หรือไม่
  • ห้ามบริจาคเลือดหรือสเปิร์มขณะใช้ยาหรือหยุดรับประทานยาไปได้น้อยกว่า 4 สัปดาห์
  • ผู้ดูแลควรหลีกเลี่ยงการสัมผัสของเหลวของผู้ป่วย ซึ่งอาจทำได้โดยการสวมถุงมือขณะสัมผัสเสื้อผ้าของผู้ป่วย ทำความสะอาด จัดการสิ่งปนเปื้อน หรือเปลี่ยนผ้าอ้อมให้ผู้ป่วย เพราะยานี้อาจซึมผ่านของเหลวในร่างกายของผู้ป่วยอย่างเลือด ปัสสาวะ อุจจาระ หรืออาเจียน

ปริมาณการใช้ยา Thalidomide

ปริมาณยาที่ต้องรับประทานอาจขึ้นอยู่กับน้ำหนักตัว อายุ และอาการของผู้ป่วยแต่ละราย โดยมีตัวอย่างการใช้ยา ดังนี้

โรคเรื้อนชนิดที่ 2 ที่เกิดเป็นระยะ
ตัวอย่างการใช้ยา Thalidomide เพื่อรักษาโรคเรื้อนชนิดที่ 2 ที่เกิดขึ้นเป็นระยะ  

ผู้ใหญ่ รับประทานยาปริมาณ 100-300 มิลลิกรัม/วัน ก่อนนอนหรืออย่างน้อย 1 ชั่วโมงหลังอาหารเย็น ปริมาณสูงสุดไม่เกิน 400 มิลลิกรัม/วัน และเมื่ออาการดีขึ้นอาจค่อย ๆ ลดปริมาณยาลงครั้งละ 50 มิลลิกรัม ทุก ๆ 2-4 สัปดาห์ กรณีที่ผู้ป่วยมีน้ำหนักน้อยกว่า 50 กิโลกรัม ควรรับประทานยาปริมาณเริ่มต้น 100 มิลลิกรัม/วัน
เด็กอายุ 12 ปีขึ้นไป รับประทานยาปริมาณเริ่มต้น 100-300 มิลลิกรัม/วัน ก่อนนอนหรืออย่างน้อย 1 ชั่วโมงหลังอาหารเย็น หากมีน้ำหนักตัวน้อยกว่า 50 กิโลกรัม ควรรับประทานยาปริมาณเริ่มต้น 100 มิลลิกรัม/วัน

โรคเรื้อนชนิดที่ 2 ที่รุนแรง หรือกรณีที่ต้องใช้ยาในปริมาณสูง
ตัวอย่างการใช้ยา Thalidomide เพื่อรักษาโรคเรื้อนชนิดที่ 2 ที่รุนแรงหรือกรณีที่ต้องใช้ยาในปริมาณสูง

ผู้ใหญ่ รับประทานยาปริมาณเริ่มต้น 400 มิลลิกรัม/วัน ก่อนนอนหรือแบ่งรับประทานหลายครั้งอย่างน้อย 1 ชั่วโมงหลังอาหาร
เด็กอายุ 12 ปีขึ้นไป รับประทานยาปริมาณเริ่มต้น 400 มิลลิกรัม/วัน ก่อนนอนหรือแบ่งรับประทานอย่างน้อย 1 ชั่วโมงหลังอาหาร

โรคมะเร็งเม็ดเลือดขาวมัลติเพิลมัยอิโลมา
ตัวอย่างการใช้ยา Thalidomide เพื่อรักษาโรคมะเร็งเม็ดเลือดขาวมัลติเพิลมัยอิโลมา

ผู้ใหญ่ รับประทานยาปริมาณเริ่มต้น 200 มิลลิกรัม/วัน และอาจเพิ่มปริมาณยา 100 มิลลิกรัม/สัปดาห์ โดยพิจารณาจากการตอบสนองต่อยาของผู้ป่วย ปริมาณยาสูงสุดไม่เกิน 800 มิลลิกรัม/วัน
เด็กอายุ 12 ปีขึ้นไป รับประทานยาปริมาณ 200 มิลลิกรัม/วัน ก่อนนอนหรืออย่างน้อย 1 ชั่วโมงหลังอาหาร

การใช้ยา Thalidomide

  • ใช้ยาตามฉลากและตามคำแนะนำจากแพทย์อย่างเคร่งครัด สอบถามเกี่ยวกับผลข้างเคียงจากการใช้ยา และหากมีข้อสงสัยให้สอบถามแพทย์ที่จ่ายยาให้
  • ไม่ใช้ยานี้ในปริมาณมากกว่า น้อยกว่า หรือติดต่อกันนานกว่าที่แพทย์แนะนำ และห้ามหยุดรับประทานยาจนกว่าแพทย์จะสั่เพราะนอกจากจะไม่ทำให้อาการดีขึ้นแล้ว ยังเสี่ยงต่อการเกิดภาวะแทรกซ้อนด้วย
  • ห้ามเปิดแคปซูลยา ทำให้แคปซูลยาแตก หรือถือยาไว้นานเกินจำเป็น หากแคปซูลยาแตก ควรสอบถามเเพทย์เกี่ยวกับวิธีกำจัดยาอย่างปลอดภัย และหากผงยาในแคปซูลสัมผัสผิวหนัง ให้ล้างบริเวณนั้นด้วยสบู่หรือน้ำเปล่า เพราะผงยาในแคปซูลอาจทำอันตรายต่อผิวหนังได้
  • สวมถุงมือชนิดที่ใช้ครั้งเดียวแล้วทิ้งเมื่อต้องสัมผัสยา และล้างมือทั้งก่อนและหลังสวมถุงมือ
  • ผู้ป่วยควรรับประทานยาตรงเวลาและสม่ำเสมอ เพื่อให้ได้ผลการรักษาที่ดี รวมทั้งไม่ควรหยุดรับประทานยาในทันที เพราะอาการทางผิวหนังอาจแย่ลงได้
  • หากลืมรับประทานยาตามเวลาที่กำหนด ให้รีบรับประทานยาทันทีที่นึกขึ้นได้ แต่หากใกล้ถึงเวลาที่ต้องรับประทานยาในรอบถัดไป ให้ข้ามไปใช้ยารอบต่อไป โดยไม่ต้องรับประทานยาทดแทน
  • แจ้งให้แพทย์ทราบหากอาการไม่ดีขึ้นหรือแย่ลงหลังจากใช้ยา 2 สัปดาห์
  • ไม่ให้คนอื่นสัมผัสเลือดหรืออสุจิผ่านกิจกรรมทางเพศหรือกิจกรรมทั่วไป
  • ซักผ้าที่เลอะของเหลวของผู้ป่วยแยกกับเสื้อผ้าของคนอื่น ๆ  
  • เก็บยาไว้ในบรรจุภัณฑ์จนกว่าจะพร้อมรับประทาน
  • เก็บยาให้ห่างจากแสงแดดและความชื้นที่อุณหภูมิ 20-25 องศาเซลเซียส หากต้องเดินทาง ควรรักษาอุณหภูมิในการเก็บยาให้อยู่ที่ 15-30 องศาเซลเซียส

ผลข้างเคียงจากการใช้ยา Thalidomide

การใช้ยา Thalidomide อาจก่อให้เกิดผลข้างเคียงบางอย่าง ดังต่อไปนี้

  • นอนหลับยาก ง่วงแต่นอนไม่หลับ หรือรู้สึกง่วงซึม
  • ปวดศีรษะ เวียนศีรษะ คลื่นไส้
  • ปวดหลัง ปวดตามข้อต่อ กล้ามเนื้อ หรือกระดูก
  • น้ำหนักตัวหรือความอยากอาหารเกิดการเปลี่ยนแปลง
  • ปากแห้ง ผิวแห้ง หรือผิวซีด
  • ท้องผูก
  • อ่อนแรง
  • เป็นมะเร็งเม็ดเลือดขาวชนิดอื่น ๆ ซึ่งพบได้น้อย โดยอาจเกิดขึ้นหากรับประทานยานี้เพื่อรักษามะเร็งเม็ดเลือดขาวมัลติเพิลมัยอิโลมา   

ทั้งนี้ ผู้ป่วยควรเข้าพบแพทย์ทันทีหากอาการข้างต้นมีความรุนแรงและไม่มีทีท่าว่าจะดีขึ้น หรือหากมีอาการดังต่อไปนี้ด้วย เพราะอาจเกิดอันตรายร้ายแรงตามมาได้

  • มีสัญญาณของการติดเชื้อ เช่น เป็นไข้ เจ็บคออย่างต่อเนื่อง เป็นต้น
  • ไอ หรือมีอาการสั่น  
  • กลืนหรือหายใจลำบาก เสียงแหบ
  • จิตใจและอารมณ์เปลี่ยนแปลงไป เช่น สับสน กังวล เครียด ซึมเศร้า เป็นต้น
  • มีอาการทางผิวหนัง เช่น มีแผลพุพอง ผิวลอก มีผื่นขึ้น มีรอยฟกช้ำ หรือมีเลือดออกได้ง่าย เป็นต้น
  • มีอาการบวมบริเวณใบหน้า คอ ลิ้น ริมฝีปาก ตา แขน หรือขา
  • ปวดแสบปวดร้อนบริเวณมือและเท้า
  • มีอาการชา เสียวซ่า เป็นตะคริว
  • กล้ามเนื้ออ่อนแรง
  • หัวใจเต้นช้าหรือเร็วเกินกว่าปกติ
  • หายใจไม่อิ่ม หายใจช้าหรือเร็วเกินไป
  • มีเลือดปนในอาเจียน
  • อุจจาระเป็นสีดำ
  • มีอาการชัก

นอกจากนี้ ยา Thalidomide อาจทำให้เส้นประสาทได้รับความเสียหายอย่างรุนแรงหรือถาวรได้ด้วย ซึ่งอาจเกิดขึ้นในระหว่างการรักษาหรือหลังการรักษา แพทย์จึงอาจตรวจร่างกายของผู้ป่วยอย่างสม่ำเสมอ เพื่อดูว่ายานี้ส่งผลกระทบต่อเส้นประสาทของผู้ป่วยหรือไม่