Ursodiol (เออร์โซไดออล)

Ursodiol (เออร์โซไดออล)

Ursodiol (เออร์โซไดออล) หรือ Ursodeoxycholic Acid เป็นสารสังเคราะห์ที่ทำหน้าที่คล้ายกับกรดน้ำดี ออกฤทธิ์ช่วยละลายก้อนนิ่วคอเลสเตอรอล โดยช่วยลดการดูดซึมคอเลสเตอรอลที่ลำไส้ และช่วยลดปริมาณการผลิตคอเลสเตอรอลของตับ มักถูกนำมาใช้รักษาโรคนิ่วในถุงน้ำดีในผู้ป่วยที่ไม่จำเป็นต้องได้รับการผ่าตัดรักษา หรือผู้ที่ไม่สามารถรับการผ่าตัดได้เนื่องจากมีเงื่อนไขทางการแพทย์บางอย่าง ทั้งยังใช้ป้องกันการเกิดโรคนิ่วในถุงน้ำดีสำหรับผู้ป่วยภาวะอ้วนที่มีน้ำหนักตัวลดลงอย่างรวดเร็วด้วย

อย่างไรก็ตาม ยาชนิดนี้ใช้รักษาโรคนิ่วในถุงน้ำดีที่เกิดจากคอเลสเตอรอลเท่านั้น แต่ไม่สามารถใช้รักษาโรคนิ่วในถุงน้ำดีที่เกิดจากแคลเซียมได้ นอกจากนี้ ยา Ursodiol ยังถูกนำมาใช้รักษาโรคตับแข็งที่ไม่ทราบสาเหตุ (Primary Biliary Cirrhosis: PBC) ได้อีกด้วย

เกี่ยวกับยา Ursodiol

กลุ่มยา กรดน้ำดี
ประเภทยา ยาตามใบสั่งแพทย์
สรรพคุณ ออกฤทธิ์ช่วยละลายก้อนนิ่วคอเลสเตอรอลในถุงน้ำดี และรักษาโรคตับแข็งที่ไม่ทราบสาเหตุ
กลุ่มผู้ป่วย เด็กและผู้ใหญ่
รูปแบบของยา ยารับประทาน
การใช้ยาในหญิงตั้งครรภ์ Category B จากการศึกษาในสัตว์ ไม่พบความเสี่ยงในการทำให้
เกิดความผิดปกติของตัวอ่อนในครรภ์สัตว์ แต่ไม่มีการศึกษาในมนุษย์
หรืออาจพบผลไม่พึงประสงค์ในสัตว์ และยังไม่พบความเสี่ยงในมนุษย์
เมื่อใช้ในช่วงสามเดือนแรกของการตั้งครรภ์ รวมทั้งไม่มีหลักฐานทางการศึกษา
ที่แสดงให้เห็นว่า มีความเสี่ยงเมื่อใช้ในช่วงหลังเดือนที่สามเป็นต้นไป

1991 Ursodiol rs

คำเตือนในการใช้ยา Ursodiol

  • แจ้งให้แพทย์ทราบก่อนใช้ยา หากมีประวัติการแพ้ยา Ursodiol หรือแพ้กรดน้ำดีชนิดอื่น รวมถึงยาชนิดอื่น ๆ
  • แจ้งให้แพทย์ทราบหากกำลังรับประทานยา อาหารเสริม หรือสมุนไพรใด ๆ โดยเฉพาะยาลดกรดที่มีสารประกอบอลูมิเนียม ยาคุมกำเนิด ยาลดไขมันคอเลสเตอรอล และยาฮอร์โมนเอสโตรเจน
  • แจ้งให้แพทย์ทราบก่อนใช้ยา หากเคยมีประวัติป่วยด้วยโรคตับ ท้องมาน ภาวะเลือดออกในทางเดินอาหาร หรือโรคสมองจากโรคตับ
  • แจ้งให้แพทย์ทราบก่อนใช้ยา หากกำลังประสบปัญหาเกี่ยวกับถุงน้ำดีหรือท่อน้ำดี เช่น ถุงน้ำดีอักเสบ ท่อน้ำดีอักเสบ ท่อน้ำดีอุดตัน มีนิ่วในทางเดินนํ้าดี หรือมีความผิดปกติที่ทำให้เกิดทางเชื่อมระหว่างท่อน้ำดีกับทางเดินอาหาร เป็นต้น
  • แจ้งให้แพทย์ทราบหากมีอาการไอเป็นเลือด หรือมีน้ำหนักตัวเพิ่มขึ้นอย่างรวดเร็ว โดยเฉพาะหากบริเวณใบหน้าและลำตัวอ้วนขึ้น
  • หลีกเลี่ยงการดื่มแอลกอฮอล์ การใช้สารเสพติด การขับรถ การใช้เครื่องจักร หรือการทำกิจกรรมที่ต้องอาศัยความตื่นตัวในระหว่างการใช้ยา จนกว่าจะแน่ใจว่ายาไม่ทำให้เกิดผลข้างเคียงที่เป็นอันตราย เนื่องจากยาชนิดนี้อาจส่งผลให้มีอาการวิงเวียนหรือง่วงซึมได้
  • ควรหลีกเลี่ยงการรับประทานยา Ursodiol ในช่วงเวลาเดียวกับยาลดไขมันคอเลสไทรามีน และยาคอเลสทิพอล
  • ผู้ป่วยควรเข้ารับการตรวจถุงน้ำดีโดยการอัลตราซาวด์หรือการตรวจเลือด เพื่อตรวจดูการทำงานของตับ และควรตรวจระดับบิลิรูบินเป็นระยะ เพื่อติดตามอาการและผลข้างเคียงอย่างสม่ำเสมอ นอกจากนี้ ผู้ป่วยอาจต้องรับการตรวจการทำงานของตับทุก ๆ 6 เดือนหลังจากหยุดใช้ยาด้วย
  • หลังใช้ยา Ursodiol นิ่วในถุงน้ำดีอาจจะยังไม่สลายไปทั้งหมด จึงมีโอกาสที่ผู้ป่วยจะกลับมาเป็นได้อีกภายในระยะเวลา 5 ปีหลังหยุดใช้ยา ดังนั้น ผู้ป่วยควรปรึกษาแพทย์เกี่ยวกับความเสี่ยงที่อาจเกิดขึ้น
  • ผู้ที่กำลังวางแผนมีบุตรหรือกำลังตั้งครรภ์ ควรปรึกษาแพทย์เกี่ยวกับประโยชน์และความเสี่ยงในการใช้ยาทันที
  • แม้ในทางการแพทย์จะยังไม่ทราบแน่ชัดว่ายาชนิดนี้สามารถส่งผ่านทางน้ำนมหรือส่งผลข้างเคียงต่อบุตรหรือไม่ แต่ผู้ที่อยู่ในช่วงให้นมบุตรก็ควรปรึกษาแพทย์เกี่ยวกับความปลอดภัยในการใช้ยาก่อนเสมอ

ปริมาณการใช้ยา Ursodiol

ปริมาณและระยะเวลาในการใช้ยาขึ้นอยู่กับดุลยพินิจของแพทย์ผู้รักษา โดยมีตัวอย่างการใช้ยา ดังนี้

โรคนิ่วในถุงน้ำดี
ตัวอย่างการใช้ยารักษาหรือป้องกันโรคนิ่วในถุงน้ำดี

รักษาโรคนิ่วในถุงน้ำดีที่เกิดจากคอเลสเตอรอล
ผู้ใหญ่ รับประทานยาปริมาณ 8-12 มิลลิกรัมต่อน้ำหนักตัว 1 กิโลกรัม วันละ 1 ครั้งก่อนนอน หรือแบ่งรับประทานวันละ 2 ครั้ง หลังจากตรวจพบว่าก้อนนิ่วได้สลายไปแล้ว ให้รับประทานยาต่อเนื่องเป็นเวลา 3-4 เดือน หรือไม่เกิน 2 ปี สำหรับผู้ป่วยภาวะอ้วน ให้รับประทานยาปริมาณยาสูงสุดไม่เกิน 15 มิลลิกรัมต่อน้ำหนักตัว 1 กิโลกรัม วันละ 1 ครั้ง
เด็ก ขึ้นอยู่กับดุลยพินิจของแพทย์ในแต่ละกรณี

ป้องกันโรคนิ่วในถุงน้ำดีสำหรับผู้ป่วยภาวะอ้วนที่มีน้ำหนักตัวลดลงอย่างรวดเร็ว
ผู้ใหญ่ รับประทานยาปริมาณ 300 มิลลิกรัมต่อครั้ง วันละ 2 ครั้ง
เด็ก ขึ้นอยู่กับดุลยพินิจของแพทย์ในแต่ละกรณี

โรคตับแข็งที่ไม่ทราบสาเหตุ
ตัวอย่างการใช้ยารักษาโรคตับแข็งที่ไม่ทราบสาเหตุ

รักษาโรคตับแข็งที่ไม่ทราบสาเหตุ
ผู้ใหญ่ รับประทานยาปริมาณ 10-16 มิลลิกรัมต่อน้ำหนักตัว 1 กิโลกรัม โดยแบ่งรับประทานวันละ 2-4 ครั้ง หรืออาจปรับเป็นรับประทานวันละ 1 ครั้ง หลังจากใช้ยาไปแล้ว 3 เดือน
เด็ก ขึ้นอยู่กับดุลยพินิจของแพทย์ในแต่ละกรณี

การใช้ยา Ursodiol

  • ใช้ยาตามฉลากและปฏิบัติตามคำสั่งแพทย์อย่างเคร่งครัด หากมีข้อสงสัยควรสอบถามแพทย์หรือเภสัชกรก่อนใช้ยาเสมอ
  • รับประทานยาโดยกลืนยาทั้งเม็ด หรืออาจแบ่งครึ่งเม็ดยาก่อน ซึ่งอาจทำให้มีรสชาติขมเล็กน้อยขณะกลืนยา
  • รับประทานยา Ursodiol พร้อมกับอาหาร
  • ห้ามแบ่งยารับประทานร่วมกับผู้อื่น
  • ห้ามใช้ยาในปริมาณมากหรือน้อยกว่าที่แพทย์แนะนำหรือตามที่ฉลากระบุไว้ และห้ามใช้ยานานเกินกว่าระยะเวลาที่กำหนด
  • ห้ามปรับปริมาณยาเองโดยไม่ได้รับคำสั่งจากแพทย์
  • หากผู้ป่วยลืมรับประทานยา ให้รับประทานทันทีที่นึกขึ้นได้ หากใกล้กับเวลาที่ต้องใช้ยาในรอบถัดไป ให้ข้ามไปใช้ยารอบต่อไป โดยไม่ต้องเพิ่มปริมาณยา
  • เนื่องจากการรักษาโรคนิ่วอาจใช้เวลาหลายเดือนก้อนนิ่วจึงจะสลายไป ผู้ป่วยควรรับประทานยาอย่างต่อเนื่อง หากอาการยังไม่ดีขึ้น ควรแจ้งให้แพทย์ทราบด้วย
  • เก็บรักษายาในอุณหภูมิห้อง ให้ห่างจากความร้อน แสงแดด และความชื้น โดยห้ามเก็บยาในห้องน้ำ และควรเก็บยาให้พ้นจากมือเด็กและสัตว์เลี้ยง
  • หากมีการหักแบ่งเม็ดยา ควรเก็บยาไว้ในอุณหภูมิห้องเป็นระยะเวลาไม่เกิน 28 วัน และควรเก็บแยกจากยาที่ไม่ได้ถูกแบ่ง

ผลข้างเคียงจากการใช้ยา Ursodiol

การใช้ยา Ursodiol อาจทำให้เกิดผลข้างเคียงที่พบได้ทั่วไป เช่น ไอ คลื่นไส้ ปวดศีรษะ เวียนศีรษะ ปวดท้อง ท้องเสีย ปวดหลัง ผมร่วง มีผื่นขึ้นตามผิวหนัง มีอาการของไข้หวัดอย่างคัดจมูก จาม และเจ็บคอ เป็นต้น ซึ่งหากอาการเหล่านี้ยังไม่ทุเลาลงหรือมีอาการรุนแรงขึ้น ควรรีบแจ้งให้แพทย์หรือเภสัชกรทราบทันที

นอกจากนี้ หากผู้ป่วยมีอาการข้างเคียงอื่น ๆ ที่รุนแรงดังต่อไปนี้ ควรรีบไปพบแพทย์ทันที

  • สัญญาณของอาการแพ้ เช่น มีผื่นขึ้น เวียนศีรษะอย่างรุนแรง หายใจลำบาก รู้สึกคันและมีอาการบวมบริเวณใบหน้า ริมฝีปาก ลิ้น และคอ เป็นต้น
  • ปัญหาเกี่ยวกับตับ เช่น คลื่นไส้ ปวดท้อง รู้สึกเหนื่อย อ่อนเพลีย ไม่อยากอาหาร ปัสสาวะมีสีเข้ม อุจจาระมีสีคล้ายดินโคลน ตัวเหลือง ตาเหลือง เป็นต้น
  • สัญญาณของการติดเชื้อ เช่น รู้สึกอ่อนแรง มีไข้ขึ้น เจ็บคอ เกิดแผลในปาก เกิดแผลบริเวณผิวหนัง และกลืนลำบาก เป็นต้น
  • อาการอื่น ๆ เช่น เกิดรอยช้ำหรือมีเลือดออกง่าย ข้อเท้าหรือเท้าบวม กระหายน้ำ และปัสสาวะบ่อย เป็นต้น