การวินิจฉัย มะเร็งเต้านม
เมื่อพบความผิดปกติของก้อนเนื้อบริเวณเต้านม แพทย์จะตรวจด้านอื่นเพิ่มเติมเพื่อให้ได้ผลที่แน่นอนก่อนรักษาขั้นต่อไป สำหรับการเลือกวิธีในการตรวจวินิจฉัย แพทย์จะพิจารณาจากอาการและสิ่งที่ตรวจพบจากการตรวจร่างกายเป็นข้อมูลเบื้องต้นในการตัดสินใจ โดยมีตัวอย่างดังต่อไปนี้
การตรวจเต้านมโดยแพทย์หรือบุคลากรที่ได้รับการฝึกอบรมด้านการตรวจเต้านม
สตรีที่มีอายุ 40 ปีขึ้นไปควรเข้ารับการตรวจทุก 1 ปี ซึ่งอาจมีการตรวจร่วมกับแมมโมแกรม เพื่อการวินิจฉัยโรคที่แม่นยำและรวดเร็ว
การเอกซเรย์เต้านม หรือแมมโมแกรม
แมมโมแกรมเป็นเครื่องเอกซเรย์พิเศษเฉพาะสำหรับการตรวจเต้านม เพื่อตรวจเนื้อเยื่อที่ผิดปกติภายในเต้านม โดยจะตรวจได้ละเอียดกว่าเครื่องเอกซเรย์ทั่วไป ซึ่งแพทย์แนะนำให้มีการตรวจในสตรีอายุประมาณ 40 ขึ้นไป หากเป็นสตรีในกลุ่มเสี่ยงควรเข้ารับการตรวจด้วยแมมโมแกรมทุก 1–2 ปี
ในการตรวจเต้านมด้วยแมมโมแกรม แพทย์จะใช้เครื่องมือกดเต้านมให้แบนราบและทำการถ่ายภาพเต้านมข้างละ 2 ท่า เพื่อความแม่นยำในการวินิจฉัย โดยช่วงเวลาที่เหมาะสมสำหรับการตรวจ คือ 7–14 วันหลังหมดประจำเดือน เนื่องจากเป็นช่วงที่ฮอร์โมนในร่างกายลดลง ซึ่งจะทำให้เต้านมไม่คัดตึงและเจ็บน้อยลง
อย่างไรก็ตาม ผลตรวจแมมโมแกรมอาจเกิดผลลบลวงหรือความผิดพลาดในการตรวจขึ้นได้ จึงทำให้มักใช้การตรวจอัลตราซาวด์ควบคู่ด้วย
ผลการตรวจแมมโมแกรมตามเกณฑ์ของสมาคมรังสีแพทย์อเมริกันจะใช้หลักที่เรียกว่า BI–RADS (Breast Imaging Reporting and Data System) ซึ่งจะแบ่งออกเป็น Category 0–6
- Category 0 : ไม่สามารถรายงานผลตรวจได้แน่นอน ต้องมีการตรวจแบบอื่นเพิ่มเติมหรือเปรียบเทียบกับการตรวจแมมโมแกรมครั้งก่อน
- Category 1 : ไม่พบความผิดปกติใด แนะนำให้ตรวจแมมโมแกรมซ้ำในอีก 1 ปีถัดไป
- Category 2 : ตรวจพบความเปลี่ยนแปลงแต่ไม่ใช่มะเร็ง แนะนำให้ตรวจแมมโมแกรมซ้ำในอีก 1 ปีถัดไป
- Category 3 : ตรวจพบความเปลี่ยนแปลงที่น่าจะไม่ใช่มะเร็ง (โอกาสความเป็นไปได้ไม่เกิน 2%) จึงควรมีการตรวจแมมโมแกรมอีกครั้งใน 6 เดือนถัดมา เพื่อติดตามผล
- Category 4 : พบสิ่งผิดปกติ แต่ยังไม่สามารถระบุได้ว่าสิ่งที่ตรวจพบเป็นมะเร็งหรือไม่ จำเป็นต้องเจาะชิ้นเนื้อหรือผ่าตัดชิ้นเนื้ออีกครั้ง
- Category 5 : พบสิ่งความผิดปกติที่ต้องสงสัยว่าอาจจะเป็นมะเร็งเต้านมสูง จำเป็นต้องทำการเจาะชิ้นเนื้ออย่างเร่งด่วนเพื่อช่วยในการวินิจฉัย
- Category 6 : ได้รับการวินิจฉัยทางพยาธิวิทยาแล้วว่าเป็นมะเร็งเต้านม
อัลตราซาวด์
อัลตราซาวด์เป็นการตรวจด้วยการส่งคลื่นเสียงความถี่สูงเข้าไปในเนื้อเต้านม เพื่อสร้างภาพจากการสะท้อนของคลื่นเสียงที่กระทบกับเนื้อเยื่อต่าง ๆ ซึ่งสามารถตรวจแยกความแตกต่างระหว่างก้อนเนื้อที่พบว่ามีลักษณะเป็นก้อนน้ำหรือเป็นก้อนเนื้อได้ จึงง่ายต่อการรักษามากขึ้น
การตรวจเอกซเรย์ด้วยคลื่นแม่เหล็กไฟฟ้า หรือเอ็มอาร์ไอ
เป็นการตรวจโดยใช้หลักการของคลื่นแม่เหล็กไฟฟ้าในการสร้างภาพอวัยวะภายในร่างกายที่ตรวจ โดยแพทย์อาจใช้วิธีนี้เพื่อดูขอบเขตก้อนมะเร็งในคนไข้บางรายด้วย
สำหรับวิธีการตรวจด้วยคลื่นแม่เหล็กไฟฟ้า แพทย์อาจจะแนะนำให้มีการตรวจวิธีนี้ร่วมกับการตรวจแมมโมแกรมในกรณีที่แพทย์วินิจฉัยว่าพบความผิดปกติของยีน (BRCA Gene Mutation) สำหรับสตรีที่มีอายุ 30 ปีขึ้นไป หรือมีประวัติการได้รับการฉายรังสีในปริมาณสูงบริเวณหน้าอกตั้งแต่อายุยังน้อย
การเจาะชิ้นเนื้อ
แพทย์จะตัดชิ้นเนื้อจากก้อนในเต้านมออกมาตรวจวิเคราะห์ทางห้องปฏิบัติการ เพื่อตรวจสอบลักษณะของก้อนเนื้อ ระยะของเซลล์มะเร็ง และตรวจหาตัวรับฮอร์โมนในเนื้อเยื่อมะเร็ง ซึ่งผลที่ได้สามารถนำไปใช้ร่วมกับวิธีการรักษาบางชนิดได้