ความหมาย คออักเสบ (Pharyngitis)
คออักเสบ (Pharyngitis) เป็นภาวะที่เกิดขึ้นจากการที่ภายในคอหรือบริเวณใกล้เคียง อย่างโคนลิ้น เพดานปาก หรือต่อมทอนซิลเกิดแผล หรือเกิดการอักเสบ โดยผู้ที่มีภาวะนี้มักพบอาการในลักษณะเจ็บคอ คันคอ และกลืนอาหารลำบาก
ภาวะคออักเสบโดยส่วนใหญ่มักมีสาเหตุมาจากการติดเชื้อไวรัสหรือแบคทีเรีย โดยในประเทศไทย ภาวะนี้สามารถพบได้ตลอดทั้งปี แต่อาจจะพบได้มากในช่วงที่อากาศเริ่มหนาวเย็น อย่างฤดูฝนและฤดูหนาว เนื่องจากอุณหภูมิในช่วงฤดูเหล่านี้เป็นอุณหภูมิที่เหมาะแก่การแพร่กระจายของเชื้อไวรัส
อาการของคออักเสบ
อาการหลักของภาวะคออักเสบ คือ เจ็บคอ และกลืนลำบาก ส่วนอาการแสดงอื่น ๆ จะขึ้นอยู่กับสาเหตุที่ส่งผลให้เกิดคออักเสบ เช่น
คออักเสบที่เกิดจากเชื้อไวรัส
ลักษณะอาการที่เกิดขึ้นจากเชื้อไวรัส ได้แก่
- คอแดง คอแห้ง เสียงแหบ
- ตาแดง คัดจมูก น้ำมูกไหล
- มีไข้ต่ำ ๆ ในผู้ป่วยที่เป็นหวัด และมีไข้สูงในผู้ที่ป่วยด้วยไข้หวัดใหญ่
- เบื่ออยากอาหาร รู้สึกไม่สบาย
- ไอ จาม ปวดหัว
- มีผื่นตามตัว
- อ่อนเพลีย ปวดเมื่อยกล้ามเนื้อ หนาวสั่น
- ไวรัสบางชนิดอาจทำให้เกิดแผลร้อนในภายในปากและริมฝีปาก
- ในกรณีเด็ก อาจมีอาการท้องร่วงด้วย
คออักเสบที่เกิดจากเชื้อแบคทีเรีย
เชื้อแบคทีเรียอาจทำให้เกิดอาการต่อไปนี้
- มีไข้ หนาวสั่น
- ปวดศีรษะ
- คลื่นไส้ วิงเวียน
- คอแดง มีจุดหรือแผ่นสีขาวหรือสีเทาบริเวณลำคอ
- ปวดเมื่อยตามตัว รู้สึกไม่สบาย
- ต่อมทอนซิลโตและมีจุดสีขาว
- ต่อมน้ำเหลืองบริเวณลำคอบวม หรือกดแล้วรู้สึกเจ็บ
- ในกรณีเด็ก อาจมีอาการคลื่นไส้ อาเจียน และปวดท้องด้วย
ทั้งนี้ หากพบว่าตนเองหรือคนใกล้ชิดมีอาการคออักเสบ ควรไปพบแพทย์เพื่อรับการตรวจและการรักษาที่เหมาะสมตั้งแต่เนิ่น ๆ เพื่อลดความเสี่ยงต่อการเกิดภาวะแทรกซ้อนที่อาจเกิดขึ้น
สาเหตุของคออักเสบ
โดยส่วนใหญ่ ภาวะคออักเสบมักมีสาเหตุมาจากการติดเชื้อไวรัส โดยเฉพาะเชื้อไวรัสค็อกซากี้ (Coxsackie Virus) ไวรัสเอ็บสไตน์บาร์ และไวรัสที่เป็นสาเหตุของโรคไข้หวัด ไข้หวัดใหญ่ อีสุกอีใส คอตีบเทียม(Croup) และโรคหัด
ส่วนสาเหตุอื่น ๆ นอกจากการติดเชื้อไวรัสก็มักจะเป็นการติดเชื้อแบคทีเรีย เช่น แบคทีเรียสเตรปโทค็อคคัส (Streptococcus) หรือแบคทีเรียที่ทำให้เกิดโรคหนองในแท้ หนองในเทียม ไอกรน และโรคคอตีบ
โดยช่องทางที่เป็นเหตุให้เชื้อเหล่านี้เข้าสู่ร่างกายก็สามารถเป็นได้หลายอย่าง แต่ที่พบได้มากมักจะเป็นการที่เชื้อแพร่กระจายอยู่ในอากาศและเข้าสู่ร่างกายผ่านทางการหายใจเข้าไป หรือบางครั้งก็อาจเป็นการสัมผัสกับเชื้อโดยตรง
ทั้งนี้ ยังมีปัจจัยบางอย่างที่อาจเพิ่มความเสี่ยงให้ร่างกายติดเชื้อโรคได้มากขึ้น เช่น
- สภาพอากาศหนาวเย็น อยู่ในช่วงฤดูฝนหรือฤดูหนาว ซึ่งเอื้อต่อการระบาดของไข้หวัดและไข้หวัดใหญ่
- มีสิ่งที่ทำให้เกิดการระคายเคืองภายในลำคอ
- ระบบภูมิคุ้มกันของร่างกายอ่อนแอ
- กล้ามเนื้อตึงในลำคอ
- อาการแพ้ หรือเป็นโรคภูมิแพ้
- กรดไหลย้อน
- ป่วยด้วยการติดเชื้อบริเวณไซนัสบ่อย ๆ
- มีเนื้องอกบริเวณลำคอ ลิ้น หรือกล่องเสียง
- อยู่ใกล้ชิดกับผู้ป่วยที่เจ็บคอ คออักเสบ หรือเป็นไข้หวัด
- อยู่ในสถานรับเลี้ยงเด็กที่มีการแพร่ระบาดของเชื้อ
- สูบบุหรี่ หรืออยู่ใกล้ผู้ที่สูบบุหรี่แล้วได้รับควันบุหรี่เข้าสู่ร่างกาย
การวินิจฉัยคออักเสบ
ในการวินิจฉัยภาวะคออักเสบ แพทย์มักเริ่มจากการตรวจร่างกายเบื้องต้นก่อน รวมถึงสอบถามข้อมูลต่าง ๆ ที่อาจเกี่ยวข้องกับการเกิดโรค เช่น อาการที่ผู้ป่วยมี ประวัติการอยู่ใกล้ชิดกับผู้ที่มีอาการป่วยภาวะคออักเสบ จากนั้น แพทย์จะตรวจดูบริเวณลำคอ ภายในลำคอ ปาก จมูก หู และต่อมน้ำเหลืองภายในคอ
หากแพทย์มีข้อสงสัยว่าผู้ป่วยเป็นโรคคออักเสบ แพทย์อาจใช้วิธีการตรวจวิธีอื่นร่วมด้วยเพื่อผลการวินิจฉัยที่แม่นยำ เช่น
ตรวจตัวอย่างของเหลว
แพทย์จะนำก้านสำลีเก็บตัวอย่างของเหลวภายในลำคอไปตรวจหาเชื้อในห้องปฏิบัติการต่อไป ซึ่งผลตรวจจะออกมาภายในเวลาประมาณ 1–2 วัน
ตรวจเลือด
หากแพทย์สันนิษฐานว่าอาการป่วยที่เกิดขึ้นอาจมาจากสาเหตุอื่น ๆ ที่อาจมีความซับซ้อนทางการรักษา แพทย์อาจส่งตรวจตัวอย่างเลือดของผู้ป่วยในห้องปฏิบัติการ โดยการตรวจหาเชื้อนี้อาจใช้วิธีเช่น การตรวจความสมบูรณ์ของเม็ดเลือด (Complete Blood Count: CBC)
การรักษาคออักเสบ
ในกรณีที่ผู้ป่วยภาวะคออักเสบมีสาเหตุมาจากการติดเชื้อไวรัส แพทย์อาจรักษาด้วยการรักษาตามอาการ จนกว่าภูมิคุ้มกันของร่างกายจะแข็งแรงและกำจัดเชื้อให้หมดไปในที่สุด
ทั้งนี้ ผู้ป่วยในกลุ่มนี้สามารถใช้วิธีดังต่อไปนี้ควบคู่ไปกับการรักษาทางการแพทย์ร่วมด้วยเช่นกัน เช่น
- รับประทานยาแก้ปวดเพื่อบรรเทาอาการปวด หรือลดไข้ที่เกิดขึ้นร่วมกับคออักเสบ โดยชนิดของยาในกลุ่มนี้ก็เช่น พาราเซตามอล และไอบูโพรเฟน ทั้งนี้ ยาแอสไพรินต้องใช้ในผู้ป่วยที่เป็นผู้ใหญ่และควรปรึกษาแพทย์ก่อนเท่านั้น
- พักผ่อนฟื้นฟูสภาพร่างกายให้เต็มที่
- บ้วนปากล้างลำคอด้วยน้ำเกลือ
- ดื่มน้ำเปล่ามาก ๆ เพื่อป้องกันภาวะขาดน้ำ
- ดื่มน้ำอุ่น หรือรับประทานอาหารอ่อน ๆ
- อมยาอมบรรเทาอาการเจ็บคอที่หาซื้อได้ตามร้านขายยา
- ใช้เครื่องเพิ่มความชื้นในอากาศ หรือหลีกเลี่ยงการอยู่ในอากาศแห้ง
- หลีกเลี่ยงการสูบบุหรี่ และไม่ดื่มเครื่องดื่มแอลกอฮอล์
ส่วนผู้ป่วยที่คออักเสบจากการติดเชื้อแบคทีเรีย แพทย์มักใช้ยาปฏิชีวนะในการรักษา โดยกลุ่มยาที่แพทย์อาจใช้ก็เช่น ยาเพนนิซิลิน (Penicillin) หรืออะม็อกซี่ซิลิน (Amoxicillin) ซึ่งผู้ป่วยต้องรับประทานยาให้ถูกต้องและครบตามปริมาณที่แพทย์กำหนด โดยต้องไม่หยุดใช้ยาแม้จะมีอาการดีขึ้นแล้วก็ตาม
หากผู้ป่วยมีอาการแพ้ยา ให้รีบไปพบแพทย์ทันที ในกรณีที่ผู้ป่วยแพ้ยาเพนนิซิลินหรืออะม็อกซี่ซิลิน แพทย์อาจจ่ายยาอิริโทรมัยซิน (Erythromycin) หรืออะซิโทรมัยซิน (Azithromycin) แทน ซึ่งผู้ป่วยต้องรับประทานยาภายใต้คำแนะนำของแพทย์อย่างเคร่งครัดเช่นกัน
ทั้งนี้ นอกจากวิธีการรักษาในข้างต้นแล้ว แพทย์อาจพิจารณาวิธีการรักษาอื่น ๆ ร่วมด้วยเป็นกรณีไป ขึ้นอยู่กับสาเหตุที่ทำให้เกิดคออักเสบ
ภาวะแทรกซ้อนของคออักเสบ
ในกรณีที่ภาวะคออักเสบมีสาเหตุมาจากการติดเชื้อไวรัส หากผู้ป่วยมีสุขภาพดีมาก่อนหน้าที่จะติดเชื้อ โดยส่วนใหญ่มักใช้เวลาฟื้นตัวและหายดีในระยะเวลาไม่นานนัก และมักไม่มีภาวะแทรกซ้อนในระยะยาว ส่วนภาวะคออักเสบที่เกิดจากเชื้อแบคทีเรีย ผู้ป่วยอาจเสี่ยงเกิดภาวะแทรกซ้อนอื่นตามมาได้หากไม่ได้รับการรักษาอย่างเหมาะสม
ทั้งนี้ การเกิดโรคและภาวะแทรกซ้อนใด ๆ ย่อมขึ้นอยู่กับสุขภาพและการรักษาของแต่ละบุคคลที่แตกต่างกันไปด้วย โดยตัวอย่างภาวะแทรกซ้อนที่อาจเกิดขึ้นได้หลังป่วยด้วยคออักเสบ ได้แก่
- การติดเชื้อในหู
- หูชั้นกลางอักเสบ (Otitis Media)
- ไซนัสอักเสบ (Sinusitis)
- เกิดฝีในบริเวณใกล้ ๆ กับทอนซิล
- หน่วยไตอักเสบเฉียบพลัน (Acute Glomerulonephritis)
- ไข้ออกผื่นในเด็ก หรือไข้อีดำอีแดง (Scarlet Fever)
- กลุ่มอาการท็อกสิกช็อกจากเชื้อแบคทีเรียสเตรปโทค็อกคัส (Streptococcal Toxic Shock Syndrome)
- ไข้รูมาติก (Acute Rheumatic Fever)
การป้องกันคออักเสบ
ภาวะคออักเสบอาจป้องกันได้ยาก แต่สามารถลดความเสี่ยงได้ด้วยวิธีดังต่อไปนี้
- ล้างมือบ่อย ๆ ด้วยสบู่หรือแอลกอฮอล์ฆ่าเชื้อ โดยเฉพาะก่อนกินอาหารและหลังจากที่อาจสัมผัสกับเชื้อ เช่น ไอ จาม สั่งน้ำมูก หรือหลังการดูแลเด็กและผู้ป่วย
- หลีกเลี่ยงการสัมผัสเชื้อ หรืออยู่ใกล้กับผู้ป่วย
- ไม่ใช้ภาชนะ หรืออุปกรณ์ในการดื่มกินอาหารร่วมกับผู้อื่น
- หากมีคนในบ้านหรือบุคคลใกล้ชิดป่วยคออักเสบ ให้แยกภาชนะที่ใช้ดื่มกินอาหารออกไปต่างหาก และล้างภาชนะด้วยน้ำร้อนและน้ำยาล้างจานให้สะอาดอยู่เสมอ
- หากเด็กเล็กป่วยเป็นคออักเสบแล้วอมของเล่น ให้ล้างทำความสะอาดของเล่นด้วยน้ำและสบู่
- หากเด็กป่วยเป็นคออักเสบ ควรให้หยุดเรียนจนกว่าเด็กจะได้กินยาอย่างน้อย 24 ชั่วโมง และมีอาการดีขึ้นแล้ว เพื่อลดโอกาสในการแพร่เชื้อไปยังเด็กคนอื่น ๆ ต่อไป
- ไม่สูบบุหรี่ และหลีกเลี่ยงการอยู่ใกล้ชิดกับผู้ที่กำลังสูบบุหรี่ เพื่อไม่ให้รับควันบุหรี่เข้าสู่ร่างกาย