คีโตติเฟน (Ketotifen)
Ketotifen (คีโตติเฟน) เป็นยาที่ใช้รักษาและป้องกันอาการจากภูมิแพ้ โดยตัวยาจะออกฤทธิ์ยับยั้งการทำงานของสารฮิสตามีนอันเป็นสาเหตุของอาการแพ้ โดยเฉพาะบริเวณดวงตาอย่างอาการคันหรือระคายเคือง นอกจากนี้แพทย์อาจนำยาชนิดนี้มาใช้รักษาโรคอื่น ๆ ตามดุลยพินิจด้วย
เกี่ยวกับยา Ketotifen
กลุ่มยา | ยาแก้แพ้หรือยาต้านฮิสตามีน (Antihistamine) |
ประเภทยา | ยาตามใบสั่งแพทย์ |
สรรพคุณ | รักษาและป้องกันอาการระคายเคืองหรือคันจากภูมิแพ้ขึ้นตาและภูมิแพ้อากาศ |
กลุ่มผู้ป่วย | เด็กอายุ 3 ปีขึ้นไป และผู้ใหญ่ |
รูปแบบของยา | ยาหยอดตา ยารับประทาน |
การใช้ยาในหญิงตั้งครรภ์และผู้ให้นมบุตร | จากการศึกษาในสัตว์พบว่า ทำให้เกิดความผิดปกติต่อตัวอ่อนในครรภ์สัตว์ แต่ไม่มีการศึกษาในมนุษย์ หรือไม่มีข้อมูลเพียงพอในการศึกษาทดลองในมนุษย์และสัตว์ ควรใช้ยาเมื่อพิจารณาแล้วว่า มีประโยชน์มากกว่าความเสี่ยงที่อาจเกิดขึ้นต่อทารกในครรภ์ และผู้ที่ให้นมบุตรควรปรึกษาแพทย์ถึงความเสี่ยงที่อาจเกิดขึ้นต่อทารกในครรภ์ก่อนการใช้ยา Ketotifen เสมอ |
คำเตือนในการใช้ยา Ketotifen
เพื่อให้เกิดความปลอดภัยในการใช้ยา ผู้ป่วยควรระมัดระวังและปฏิบัติตามคำแนะนำดังต่อไปนี้
- แจ้งให้แพทย์ทราบก่อนใช้ยา หากมีประวัติแพ้ยาหรือส่วนประกอบของยาชนิดนี้ รวมถึงยาและสารอื่น ๆ เพราะยาอาจมีส่วนประกอบที่ทำให้เกิดอาการแพ้ยาหรือเกิดผลข้างเคียงอื่น ๆ ตามมา
- แจ้งให้แพทย์ทราบหากผู้ป่วยกำลังใช้ยา วิตามิน หรือสมุนไพรทุกชนิด เพราะตัวยาอาจทำปฏิกิริยากับยานี้จนเกิดผลข้างเคียงหรือมีประสิทธิภาพลดลง
- แจ้งให้แพทย์ทราบก่อนใช้ยา หากผู้ป่วยเคยมีประวัติด้านสุขภาพหรือกำลังมีปัญหาสุขภาพอยู่ โดยเฉพาะสุขภาพดวงตาอย่างต้อหิน
- ตัวยาอาจส่งผลให้ผู้ป่วยมองเห็นเป็นภาพเบลอได้ชั่วคราว จึงควรหลีกเลี่ยงการขับขี่ยานพาหนะ การใช้เครื่องจักร หรือการทำกิจกรรมใด ๆ ที่ต้องใช้สายตาตลอดเวลา
- ห้ามใช้ยา Ketotifen เพื่อรักษาอาการระคายเคืองตาจากการใส่คอนแทคเลนส์
- ห้ามใช้ยาในเด็กที่มีอายุต่ำกว่า 3 ปี โดยปราศจากคำแนะนำจากแพทย์
ปริมาณการใช้ยา Ketotifen
ปริมาณและระยะเวลาในการใช้ยาขึ้นอยู่กับดุลยพินิจของแพทย์ผู้รักษา โดยมีตัวอย่างการใช้ยา ดังนี้
รักษาภูมิแพ้ขึ้นตา
ตัวอย่างการใช้ยา Ketotifen เพื่อรักษาภูมิแพ้ขึ้นตา
- เด็กที่มีอายุ 3 ปีขึ้นไปและผู้ใหญ่ ใช้ยาความเข้มข้น 0.025 เปอร์เซ็นต์ หยอดตาข้างที่มีอาการใน 1 หยด 2 ครั้ง/วัน
รักษาภูมิแพ้อากาศ
ตัวอย่างการใช้ยา Ketotifen เพื่อรักษาภูมิแพ้อากาศ
- เด็กที่มีอายุ 3 ปีขึ้นไปและผู้ใหญ่ รับประทานยาปริมาณ 1 มิลลิกรัม 2 ครั้ง/วัน หากจำเป็นให้ปรับปริมาณยาเป็น 2 มิลลิกรัม 2 ครั้ง/วัน หรืออาจรับประทานยาปริมาณ 0.5-1 มิลลิกรัม ในช่วงกลางคืนของ 2-3 วันแรกของการใช้ยา เพื่อลดอาการง่วงซึม
การใช้ยา Ketotifen
วิธีการใช้ยา Ketotifen เพื่อความปลอดภัยมีดังนี้
- ใช้ยาตามฉลากและตามคำสั่งแพทย์หรือเภสัชกรอย่างเคร่งครัด หากมีข้อสงสัยใด ๆ ควรปรึกษาแพทย์หรือเภสัชกรก่อนใช้ยาเสมอ
- ไม่ควรรับประทานยา Ketotifen ชนิดยาหยอดตา เพราะเป็นยาใช้เฉพาะที่และอาจเป็นอันตรายต่อร่างกายได้
- ควรล้างมือให้สะอาดทั้งก่อนและหลังการใช้ยา ห้ามสัมผัสที่ปลายหลอดยาหรือวางหลอดยาให้สัมผัสกับดวงตาหรือเปลือกตา เพื่อป้องกันการปนเปื้อน
- ก่อนการหยอดตาควรถอดคอนแทคเลนส์ออกเสมอ หลังการหยอดตาควรรออย่างน้อย 10 นาที จึงค่อยสวมคอนแทคเลนส์อีกครั้ง แต่ถ้ามีอาการระคายเคืองดวงตาหรือติดเชื้อที่ดวงตาไม่ควรสวมคอนแทคเลนส์
- การใช้ยาหยอดตา ผู้ป่วยควรเงยหน้าและดึงเปลือกตาล่างลงมาเพื่อให้มีพื้นที่สำหรับหยอดตา กะตำแหน่งให้ปลายหลอดยาห่างจากดวงตาพอประมาณแล้วหยดตามคำแนะนำจากแพทย์ จากนั้นให้หลับตาแล้วกดนวดเบา ๆ ที่บริเวณหัวตาประมาณ 1-2 นาที เพื่อไม่ให้ยาไหลออกจากตา หลังจากหยอดตาแล้ว ให้รออย่างน้อย 5 นาที แล้วจึงค่อยใช้ยาหยอดตาชนิดอื่น ๆ
- หากอาการคันแย่ลงหรือไม่หายไปภายใน 72 ชั่วโมงหลังการใช้ยา ควรไปพบแพทย์ เพื่อปรึกษาและปรับเปลี่ยนการใช้ยา
- ควรหลีกเลี่ยงสารก่อภูมิแพ้หรือปัจจัยบางประการที่อาจก่อให้เกิดภูมิแพ้ เช่น ละอองเกสรดอกไม้ ไรฝุ่น ขนสัตว์ น้ำหอม เป็นต้น
- หากผู้ป่วยลืมใช้ยา ให้ข้ามไปใช้ยาตามเวลาปกติ ห้ามเพิ่มปริมาณยาเป็น 2 เท่า
- หากผู้ป่วยสงสัยว่าตนเองที่ใช้ยาเกินปริมาณที่กำหนดควรไปปรึกษาพบแพทย์
- ควรปิดฝาบรรจุภัณฑ์ให้สนิททุกครั้งหลังใช้หลอดหยดยา
- หากยาหยอดตาเปลี่ยนสี มีตะกอน มีสีขุ่น หรือยารั่วซึมออกจากบรรจุภัณฑ์ ไม่ควรใช้ยาโดยเด็ดขาด
- เก็บยาไว้ที่อุณหภูมิห้อง ไม่ควรเก็บในที่ที่มีความร้อน ความชื้น และหลีกเลี่ยงการสัมผัสแสงโดยตรง หากไม่ได้ใช้งานควรปิดหลอดยาให้แน่นสนิทเสมอ
ผลข้างเคียงจากการใช้ยา Ketotifen
ยา Ketotifen อาจก่อให้เกิดผลข้างเคียง เช่น แสบตา ตาบวม ระคายเคืองตา ปวดศีรษะ คัดจมูก น้ำมูกไหล รสชาติในปากเปลี่ยนแปลงไป ตาไวต่อแสงมากขึ้น เป็นต้น หากมีอาการแย่ลงหรืออาการคงอยู่เป็นเวลานาน ควรไปพบแพทย์เพื่อเข้ารับการตรวจวินิจฉัยเพิ่มเติม
นอกจากนี้ หากพบผลข้างเคียงที่รุนแรงควรหยุดใช้ยาแล้วแจ้งให้แพทย์ทราบโดยเร็ว เช่น
- บางรายอาจมีอาการแพ้ยา แต่พบได้น้อย โดยอาจสังเกตได้จากอาการ เช่น ผื่น คัน ลมพิษ ผิวหนังแดง บวม หรือพุพอง ผิวหนังซีดพร้อมกับมีไข้หรือไม่มีไข้ หายใจเป็นเสียงหวีด แน่นหน้าอกหรือลำคอ มีปัญหาในการหายใจ การกลืน หรือการพูดคุย เสียงแหบผิดปกติ อาการบวมบริเวณปาก ใบหน้า ริมฝีปาก ลิ้น และลำคอ เป็นต้น
- การมองเห็นเปลี่ยนแปลงไป เจ็บตา ระคายเคืองตาอย่างรุนแรง ตาแดง หรือตาแห้งมาก
อย่างไรก็ตาม ผู้ป่วยอาจมีผลข้างเคียงอื่น ๆ นอกเหนือจากที่กล่าวมาข้างต้น หรือไม่มีผลข้างเคียงแสดงออกมาเลยก็ได้ แต่หากอาการที่เกิดขึ้นรบกวนการใช้ชีวิตหรือไม่ยอมหายไปควรปรึกษาแพทย์ เพื่อรับการรักษาอย่างเหมาะสม