ความหมาย มาลาเรีย
มาลาเรีย (Malaria) คือ โรคที่เกิดจากเชื้อโปรโตซัวแพร่สู่ร่างกายคนจากการกัดของยุงก้นปล่องเพศเมีย (Anopheles Spp.) ผู้ป่วยจะมีไข้สูงและหนาวสั่น โดยมักพบโรคนี้ในเขตที่มีภูมิอากาศร้อนชื้นและมีแหล่งน้ำขังตามธรรมชาติมาก ซึ่งเป็นที่อาศัยของยุงก้นปล่องที่เป็นพาหะนำโรค
โรคมาลาเรียแพร่กระจายอย่างกว้างขวางในเขตร้อนและเขตอบอุ่นทั่วโลก และเป็นปัญหาสาธารณสุขที่สำคัญของประเทศไทย โดยข้อมูลจากกระทรวงสาธารณสุข ปี พ.ศ. 2555 พบว่ามีผู้ติดเชื้อมาลาเรียมากกว่า 34,000 คน และในปี พ.ศ. 2556 ตั้งแต่เดือนมกราคมถึงเดือนตุลาคม มีผู้ป่วยทั้งประเทศจำนวน 12,000 คน และเสียชีวิต 12 คน ซึ่งส่วนใหญ่อยู่ในพื้นที่ชายแดน
อาการของมาลาเรีย
อาการของมาลาเรียจะแตกต่างกันไป ระยะเวลาที่เกิดจะขึ้นอยู่กับชนิดของโปรโตซัวที่เป็นสาเหตุ โดยอาการของมาลาเรียที่พบบ่อย ได้แก่
- มีไข้สูง หนาวสั่น
- เหงื่อออกมาก
- ปวดศีรษะ
- คลื่นไส้ อาเจียน
- ปวดเมื่อยกล้ามเนื้อ
- ท้องเสีย
- ภาวะโลหิตจาง
- อุจจาระเป็นเลือด
- อาการหมดสติไม่รับรู้ต่อการกระตุ้นต่าง ๆ หรือโคม่า
สาเหตุของมาลาเรีย มาลาเรียเกิดจากการติดเชื้อโปรโตซัวที่เรียกว่า พลาสโมเดียม (Plasmodium) มียุงก้นปล่องเพศเมียเป็นพาหะ โดยเชื้อโปรโตซัวพลาสโมเดียม (Plasmodium) มีอยู่หลายชนิดด้วยกัน แต่ชนิดที่ทำให้เกิดโรคในคนมีอยู่ 5 ชนิด ได้แก่
- พลาสโมเดียม ฟัลซิพารัม (Plasmodium Falciparum)
- พลาสโมเดียม ไวแว็กซ์ (P.Vivax)
- พลาสโมเดียม มาลาริอี่ (P.Malariae)
- พลาสโมเดียม โอวาเล่ (P.Ovale)
- พลาสโมเดียม โนว์ไซ (P. Knowlesi)
มาลาเรียมีการแพร่กระจายเชื้อได้อย่างไร?
การติดเชื้อมาลาเรียเริ่มต้นจากยุงที่เป็นพาหะดูดเลือดและปล่อยเชื้อที่อยู่ในน้ำลายเข้าสู่กระแสเลือดคน โดยประมาณ 30 นาที เชื้อจะเข้าสู่ตับและแบ่งตัวเพิ่มจำนวน หลังจากนั้น เชื้อจะกลับเข้าสู่กระแสเลือดและเข้าสู่เซลล์เม็ดเลือดแดงเพื่อแบ่งตัวเพิ่มจำนวน จนกระทั่งเซลล์เม็ดเลือดแดงแตก เชื้อจะเข้าไปอาศัยและแบ่งตัวเพิ่มจำนวนในเซลล์เม็ดเลือดแดงใหม่ต่อไป โดยเชื้อแต่ละชนิดจะใช้เวลาในการแบ่งตัวและทำให้เซลล์เม็ดเลือดแดงแตกแตกต่างกันไป เช่น
- เชื้อพลาสโมเดียม ฟัสซิพารัม ใช้เวลาในการแบ่งตัว 42-48 ชั่วโมง จึงทำให้เกิดไข้ทุกวันที่ 3
- เชื้อพลาสโมเดียมไวแวกซ์ และโอวัลเล่ ใช้เวลาในการแบ่งตัว 48 ชั่วโมง จึงทำให้เกิดไข้ทุกวันที่ 3
- เชื้อพลาสโมเดียม มาลาริอี ใช้เวลาในการแบ่งตัว 72 ชั่วโมง อาการไข้จึงเกิดทุกวันที่ 4
- เชื้อพลาสโมเดียม โนวไซ ใช้เวลาในการแบ่งตัว 24 ชั่วโมง อาการไข้จึงเกิดทุกวัน
การวินิจฉัยมาลาเรีย
แพทย์จะวินิจฉัยโดยการซักประวัติและการเดินทางของผู้ป่วย รวมไปถึงการตรวจร่างกายและตรวจเลือด โดยส่วนใหญ่แพทย์จะใช้การตรวจเลือดที่เรียกว่า Thick Smear และ Thin Smear ซึ่งทำได้โดยการตรวจเลือดหาเชื้อภายใต้กล้องจุลทรรศน์ และการตรวจวิธีนี้ต้องย้อมสีเลือดให้เห็นตัวเชื้อด้วยสียิมซา (Giemsa) เพื่อให้แพทย์สามารถพิจารณาการรักษาที่เหมาะสม แพทย์อาจใช้การตรวจอื่น ๆ เพื่อช่วยในการระบุชนิดของเชื้อโปรโตซัว ได้แก่
- ตรวจการทำงานของตับ
- ตรวจความสมบูรณ์ของเม็ดเลือด (Complete Blood Count: CBC)
- ตรวจน้ำตาลในเลือด
- การตรวจยีน (Gene) มีราคาแพงมาก ไม่เป็นที่นิยมใช้ในไทย
- การตรวจด้วยการย้อมสีเลือดและตรวจด้วยกล้องจุลทรรศน์
- ชุดตรวจหาแอนติเจนของเชื้อ (RDT) ซึ่งมีจำหน่ายแต่ราคาค่อนข้างแพงและไม่เป็นที่นิยมใช้ในไทย
- ตรวจด้วยกล้องจุลทรรศน์ (Microscopy)
มาลาเรียรักษาได้ หากได้รับการวินิจฉัยและการรักษาอย่างทันท่วงที แพทย์จะรักษาด้วยการดูแลประคับประคองอาการ รวมทั้งบำบัดรักษาภาวะแทรกซ้อน และให้ยาฆ่าเชื้อมาลาเรีย (Antimalarial) ซึ่งการเลือกชนิดของยาหรือรูปแบบการให้ยาจะประกอบไปด้วยหลายปัจจัยด้วยกัน เช่น ชนิดของโปรโตซัว ความรุนแรงของอาการ อายุของผู้ป่วย การตั้งครรภ์ รวมไปถึงการดื้อยา
ยาต้านมาลาเรียที่นำมาใช้บ่อย ได้แก่
- ยาคลอโรควิน (Chloroquine)
- ยาดอกซีไซคลิน (Doxycycline)
- ยาควินิน ซัลเฟต (Quinine Sulfate)
- ยาไฮดรอกซีคลอโรควิน (Hydroxychloroquine)
- ยาเมโฟลควิน (Mefloquine)
- ยาไพรมาควิน (Primaquine)
- การใช้ร่วมกันระหว่างยา Proguanil และ Atovaquone
- การใช้ร่วมกันระหว่างยา Artemether และ Lumefantrine
ภาวะแทรกซ้อนของมาลาเรีย
ภาวะแทรกซ้อนที่รุนแรงและเป็นอันตรายถึงชีวิต ได้แก่
- ภาวะโลหิตจาง (Anaemia) เป็นภาวะที่เม็ดเลือดแดงไม่สามารถลำเลียงออกซิเจนไปยังกล้ามเนื้อและอวัยวะที่สำคัญของร่างกาย เนื่องจากเซลล์เม็ดเลือดแดงถูกทำลาย
- มาลาเรียขึ้นสมอง (Cerebral Malaria) เชื้อมาลาเรียส่งผลกระทบต่อสมอง ทำให้หลอดเลือดในสมองบวม ซึ่งสร้างความเสียหายให้สมองได้อย่างถาวร และอาจทำให้เกิดอาการชักหรือโคม่าได้
- ปอดบวมน้ำ (Pulmonary Oedema) เกิดการสะสมของเหลวในปอดทำให้มีปัญหาในการหายใจ
- อวัยวะภายในล้มเหลว เช่น ตับ ไต หรือม้าม
- ม้ามบวมและแตก
- ภาวะน้ำตาลในเลือดต่ำ (Hypoglycaemia)
- ภาวะการหายใจล้มเหลวเฉียบพลัน (Acute Respiratory Distress Syndrome: ARDS)
- อาการช็อกเนื่องจากความดันโลหิตลดลงอย่างรวดเร็ว
- คลอดก่อนกำหนด
- ทารกแรกเกิดมีน้ำหนักตัวน้อยกว่าปกติ
- ส่งผลต่อการเจริญเติบโตของทารกในครรภ์
- ทารกเสียชีวิตในครรภ์ระหว่างการคลอด
- แท้งบุตร
- ในกรณีรุนแรงอาจทำให้ผู้ป่วยตั้งครรภ์เสียชีวิต
เนื่องจากปัจจุบันยังไม่มีมีวัคซีนป้องกันมาลาเรีย ซึ่งกำลังอยู่ในกระบวนการทดลองเพื่อให้ได้ประสิทธิภาพในการป้องกันโรค ดังนั้น ผู้ที่อาศัยหรือเดินทางไปยังพื้นที่ที่มีการระบาดของมาลาเรีย ต้องดูแลและป้องกันตนเองดังนี้
การพิจารณาเพื่อเลือกใช้ยาป้องกันมาลาเรีย มีดังนี้
- การใช้ยาป้องกันมาลาเรียจะแตกต่างกันออกไปแต่ละประเทศ และยาที่ใช้สำหรับแต่ละประเทศจะเรียงลำดับตามตัวอักษรและเปรียบเทียบคุณสมบัติของยาไว้อย่างชัดเจน ควรปรึกษากับแพทย์หรือเภสัชกสำหรับการเลือกใช้ยาอย่างเหมาะสม
- ยาต้านมาลาเรียไม่สามารถป้องกันโรคได้ 100% เลือกใช้ยาเมื่อได้ประโยชน์จากยามากกว่าผลข้างเคียงจากการใช้ยา และต้องอาศัยวิธีการป้องกันของตนเองร่วมด้วย เช่น ใช้ยาทาไล่ยุง ใส่เสื้อแขนยาวหรือกางเกงขายาว และนอนในมุ้ง
- การใช้ยาต้านมาลาเรีย ต้องพิจารณาถึงปฏิกิริยาที่อาจเกิดขึ้นเมื่อใช้ร่วมกับยาชนิดอื่นที่กำลังใช้อยู่ รวมไปถึงการตรวจสอบข้อควรระวังการใช้ยา เช่น การแพ้ยา ควรปรึกษาแพทย์หรือเภสัชกร
- เมื่อได้ยาต้านมาลาเรียที่มีประสิทธิภาพกับตนเองแล้ว ต้องใช้ยาก่อนการเดินทาง ซึ่งหากมีข้อสงสัยควรปรึกษาแพทย์หรือเภสัชกร
- ควรใช้ยาตามที่แพทย์หรือเภสัชกรแนะนำอย่างเคร่งครัด
- หลังจากกลับมาจากการเดินทางควรใช้ยาอย่างต่อเนื่อง ประมาณ 4 สัปดาห์ขึ้นไป ซึ่งเป็นระยะฟักตัวของโรค และระยะเวลาในการใช้ยาจะแตกต่างกันไปขึ้นอยู่กับชนิดของยา
- ในประเทศไทยโดยทั่วไปแพทย์มักไม่แนะนำให้รับประทานยาป้องกันมาลาเรีย เนื่องจากความชุกชุมของมาลาเรียยังไม่มาก แต่ผู้ป่วยควรแจ้งแพทย์สำหรับผู้ที่พบว่ามีไข้ภายใน 1 สัปดาห์-2 เดือน หลังออกจากป่าหรือพื้นที่เสี่ยง
- สวมเสื้อผ้าสีอ่อนและปกปิดร่างกายได้อย่างมิดชิด เช่น เสื้อแขนยาวและกางเกงขายาว
- ใช้ยาที่มีสารไล่แมลงทาผิวหนัง ซึ่งสารไล่แมลงที่มีประสิทธิภาพที่สุด ได้แก่ สาร Diethyltoluamide: DEET ซึ่งมีจำหน่ายทั้งรูปแบบสเปรย์ โรลออน แบบแท่งและครีม โดยอาจต้องทาซ้ำบ่อย ๆ เพื่อการป้องกันที่มีประสิทธิภาพ ไม่ควรใช้ในเด็กเล็ก
- นอนในมุ้งหรือบริเวณที่ปลอดจากยุง อาจใช้มุ้งชุบยาไล่ยุงเพื่อเพิ่มประสิทธิภาพในการป้องกันยุง
- หากสงสัยหรือต้องการตรวจสอบการระบาดของมาลาเรีย โดยเฉพาะผู้ที่ต้องเดินทางไปยังพื้นที่เสี่ยง ตรวจสอบและหาข้อมูลได้จากกรมควบคุมโรค โทร. 1422 เพื่อการป้องกันอย่างทันท่วงที