ความหมาย รูมาตอยด์ (Rheumatoid Arthritis)
รูมาตอยด์ (Rheumatoid Arthritis) หรือโรคข้ออักเสบรูมาตอยด์ เป็นโรคที่มีการอักเสบของส่วนต่าง ๆ ในร่างกาย ไม่ใช่เพียงที่ข้อ เกิดจากระบบภูมิคุ้มกันในร่างกายทำงานผิดปกติและไปทำลายอวัยวะต่าง ๆ ในร่างกายตัวเอง ในผู้ป่วยบางรายพบว่ามีภาวะที่มีผลกระทบต่อระบบต่าง ๆ ในร่างกาย เช่น ผิวหนัง ดวงตา ปอด หัวใจ หลอดเลือด
ในปัจจุบัน รูมาตอยด์ยังไม่สามารถรักษาให้หายขาดได้ แต่สามารถบรรเทาอาการของโรคให้ดีขึ้นได้หากได้ผู้ป่วยได้รับการรักษาอย่างทันท่วงที เข้ารับการติดตามอาการจากแพทย์อย่างสม่ำเสมอ และรับประทานยาอย่างต่อเนื่อง แต่หากผู้ป่วยไม่ได้รับการรักษาอย่างถูกต้องก็อาจจะทำให้เกิดความรุนแรงถึงขั้นพิการได้
อาการของโรคข้ออักเสบรูมาตอยด์
อาการของโรคข้ออักเสบรูมาตอยด์มีดังนี้
- ในช่วงเริ่มต้นมักมีอาการปวดดำเนินอย่างช้า ๆ อาจนานเป็นสัปดาห์หรือเป็นเดือน
- เหนื่อยอ่อนและเมื่อยล้า
- มีน้ำหนักตัวลดลง
- มีไข้อ่อน ๆ
อาการอื่น ๆ ของโรคที่พบได้บ่อย ได้แก่
- มีอาการปวด บวม แดง อุ่น ข้อฝืด โดยจะเกิดขึ้นพร้อมกันในร่างกาย เช่น มือ ข้อมือ ข้อศอก เท้า ข้อเท้า เข่า และคอ
- อาการข้อฝืดแข็ง อาจเกิดขึ้นหลังจากที่ร่างกายไม่ได้เคลื่อนไหว เช่น ตอนตื่นนอนในตอนเช้า หรือนั่งเป็นเวลานาน ๆ
- ปุ่มรูมาตอยด์ (Rheumatoid Nodules) ปุ่มเนื้อนิ่ม ๆ ที่มักเกิดบริเวณที่มีการเสียดสีบ่อย ๆ เช่น ข้อศอก ข้อนิ้วมือ กระดูกสันหลัง
ผู้ป่วยโรคข้ออักเสบรูมาตอยด์ประมาณ 40% จะพบว่ามีอาการที่ไม่ได้เกี่ยวข้องกับข้อต่อและอาจส่งผลต่ออวัยวะส่วนอื่น ๆ เช่น ผิวหนัง ดวงตา ปอด หัวใจ ไต ต่อมน้ำลาย เส้นประสาท ไขกระดูก หลอดเลือด อาการและสัญญาณของโรคข้ออักเสบรูมาตอยด์อาจแตกต่างกันไปตามความรุนแรง และอาการอาจกำเริบและสงบลงเป็นพัก ๆ ได้
สาเหตุของโรคข้ออักเสบรูมาตอยด์
โรคข้ออักเสบรูมาตอยด์ จะเกิดขึ้นจากระบบภูมิคุ้มกันในร่างกายทำลายตัวเอง โดยจะทำลายเยื่อหุ้มข้อ (Synovium) เป็นผลทำให้เกิดการอักเสบและบวมขึ้น ซึ่งในที่สุดแล้วอาจทำลายกระดูกอ่อนและกระดูกของข้อต่อ รวมไปถึงเส้นเอ็นที่ยึดกล้ามเนื้อและกระดูก หรือเอ็นข้อต่อจะเปราะบางลงและยืดขยายออก จากนั้นข้อต่อก็จะค่อย ๆ ผิดรูปหรือบิดเบี้ยว
ปัจจุบันยังไม่ทราบถึงต้นตอของการเกิดโรคข้ออักเสบรูมาตอยด์ที่แน่ชัด ซึ่งมีโอกาสเกิดขึ้นได้จากการถ่ายทอดทางพันธุกรรม ในขณะที่ยีนอาจไม่ใช่สาเหตุที่แท้จริง แต่สามารถทำให้ผู้ป่วยมีความไวต่อปัจจัยทางสิ่งแวดล้อมได้ เช่น การติดเชื้อที่เกิดขึ้นจากเชื้อไวรัสและแบคทีเรีย ซึ่งอาจเป็นสิ่งที่กระตุ้นการเกิดโรค
ปัจจัยที่อาจเพิ่มความเสี่ยงของการเป็นโรคข้ออักเสบรูมาตอยด์ มีดังนี้
- เพศ เพศหญิงมีแนวโน้มที่เป็นข้ออักเสบรูมาตอยด์มากกว่าเพศชาย
- อายุ ข้ออักเสบรูมาตอยด์ สามารถเกิดขึ้นได้ในทุกวัย แต่ส่วนมากมักจะเกิดระหว่างอายุ 40-60 ปี
- ประวัติคนในครอบครัว หากมีคนในครอบครัวเคยเป็นข้ออักเสบรูมาตอยด์ ก็จะมีความเสี่ยงในการเป็นมากขึ้น
- การสูบบุหรี่ เพิ่มความเสี่ยงในการเป็นข้ออักเสบรูมาตอยด์ โดยเฉพาะหากมีความบกพร่องทางพันธุกรรมซึ่งมีโอกาสในการพัฒนาเป็นโรครูมาตอยด์ การสูบบุหรี่ยังมีผลที่เกี่ยวข้องในการเพิ่มความรุนแรงของโรคมากขึ้นอีกด้วย
- ปัจจัยทางสิ่งแวดล้อม การได้รับสารบางอย่าง เช่น ใยหินและซิลิกา อาจเพิ่มความเสี่ยงในการเป็นข้ออักเสบรูมาตอยด์ได้
- ความอ้วน ผู้ที่มีน้ำหนักเกินหรือเป็นโรคอ้วน มีความเสี่ยงค่อนข้างสูงในการพัฒนาเป็นโรคข้ออักเสบรูมาตอยด์ โดยเฉพาะในผู้หญิงที่วินิจฉัยว่าเป็นโรคเมื่ออายุ 55 ปี หรือน้อยกว่า
การวินิจฉัยโรคข้ออักเสบรูมาตอยด์
โรคข้ออักเสบรูมาตอยด์เป็นโรคที่วินิจฉัยได้ยากในเบื้องต้น เพราะอาการที่แสดงเป็นอาการที่จะพบได้ในหลากหลายโรค และการตรวจจากห้องปฏิบัติการใด ๆ เพียงอย่างเดียว ยังไม่สามารถวินิจฉัยโรคได้ ซึ่งในเบื้องต้นแพทย์จะตรวจร่างกายโดยตรวจดูอาการบวม รอยแดง และความร้อน นอกจากนั้นแพทย์ อาจตรวจความไวของเส้นประสาทและความแข็งแรงของกล้ามเนื้อร่วมด้วย
- ตรวจเลือด ผู้ป่วยโรครูมาตอยด์ มักมีการประเมินผลจากค่าการอักเสบ (Erythrocyte Sedimentation Rateinflamation: ESR) หรือหาค่าโปรตีนในร่างกายที่เป็นตัวบ่งบอกว่ามีการอักเสบขึ้นในร่างกาย (C-reactive protein: CRP)
- เอกซเรย์ แพทย์อาจแนะนำให้เอกซเรย์เพื่อติดตามการดำเนินของโรค นอกจากนั้น การตรวจจากเครื่องสร้างภาพด้วยสนามแม่เหล็กไฟฟ้า MRI และการทำอัลตร้าซาวด์ ก็จะช่วยให้แพทย์ทราบถึงความรุนแรงของโรคได้ โดยจะทำเฉพาะในรายที่มีความจำเป็นเท่านั้น
การรักษาโรคข้ออักเสบรูมาตอยด์
โรคข้ออักเสบรูมาตอยด์ยังไม่มีการรักษาที่หายขาดได้ แต่ปัจจุบันมีความเป็นไปได้ที่จะบรรเทาโรคให้ดีขึ้น หากเริ่มต้นการรักษาอย่างทันท่วงทีและรักษาด้วยยาปรับเปลี่ยนการดำเนินโรค (Disease Modifiying Antirheumatic Drugs หรือ DMARDs) รวมไปถึงการรักษาด้วยยาอื่น ๆ ซึ่งจะขึ้นอยู่กับความรุนแรงของอาการและระยะเวลาตั้งแต่เกิดโรค เช่น ยาลดการอักเสบ (NSAIDs) ยากลุ่มสเตียรอยด์ และยากลุ่มสารชีวภาพ
โดยปกติแล้ว การรักษาโรครูมาตอยด์จะทำการรักษาตรวจติดตามและรักษาอย่างต่อเนื่อง แพทย์จะติดตามและควบคุมอาการอย่างใกล้ชิด แพทย์ที่รักษาโรคไขข้อจะประเมินผลอย่างสม่ำเสมอ ทั้งนี้ขึ้นอยู่กับอาการและการรักษา โดยจะทำในทุก ๆ 2-3 เดือนในช่วงแรก หรือทุก ๆ 6-12 เดือนในช่วงที่อาการสงบลงแล้ว
การบำบัดโรค
แพทย์อาจส่งผู้ป่วยไปยังผู้เชี่ยวชาญในการบำบัดโรคหรือนักกายภาพที่ช่วยสอนให้ผู้ป่วยบริหารร่างกายเพื่อให้ข้อต่อมีความยืดหยุ่น ผู้เชี่ยวชาญอาจแนะนำทางเลือกใหม่ ๆ เพื่อให้ผู้ป่วยนำไปปฏิบัติในชีวิตประจำวัน รวมไปถึงการใช้อุปกรณ์ช่วยเหลือที่ทำให้การใช้ชีวิตง่ายขึ้นและหลีกเลี่ยงความเจ็บปวดที่ข้อได้
การผ่าตัด
หากการรักษาด้วยยาไม่ได้ผลในการป้องกันและชะลอการถูกทำลายของข้อ แพทย์อาจพิจารณาให้ทำการผ่าตัดเพื่อรักษาข้อที่มีการเสื่อมหรือถูกทำลาย ซึ่งการผ่าตัดอาจช่วยทำให้ข้อต่อสามารถใช้การได้ดีขึ้น นอกจากนั้นยังช่วยลดความเจ็บปวดและช่วยแก้ไขส่วนที่ผิดรูปให้กลับมาปกติ ซึ่งอาจใช้การผ่าตัดเพียงอย่างเดียวหรือรวมไปถึงวิธีอื่น ๆ เช่น
- การผ่าตัดเยื่อหุ้มข้อ (Synovectomy)
- การเย็บซ่อมเส้นเอ้นรอบข้อต่อ (Tendon Repair)
- การผ่าตัดรวมข้อ (Joint Fusion)
- การผ่าตัดเปลี่ยนข้อเทียม (Total Joint Replacement)
วิธีการรักษา รวมไปถึงทางเลือกเสริมหรือทางเลือกเฉพาะทางอื่น ๆ ที่อาจมีผลช่วยรักษาโรครูมาตอยด์ เช่น การรับประทานน้ำมันปลา น้ำมันอีฟนิ่งพริมโรส หรือฝึกไทเก็ก ซึ่งการบริโภควิตามินเสริมหรือออกกำลังกายใด ๆ ควรได้รับคำแนะนำจากแพทย์ก่อน เนื่องจากยังไม่มีผลการรับรองว่าทางเลือกเสริมเหล่านี้สามารถช่วยรักษาได้อย่างเห็นผลเพียงใด
ภาวะแทรกซ้อนของโรคข้ออักเสบรูมาตอยด์
การป่วยเป็นโรคข้ออักเสบรูมาตอยด์ อาจเพิ่มความเสี่ยงในการพัฒนาไปเป็นโรคต่าง ๆ ได้ ดังต่อไปนี้
- โรคกระดูกพรุน (Osteoporosis) ภาวะที่กระดูกมีความเสื่อมและเปราะบางลงทำให้แตกร้าวได้ง่าย ซึ่งในกรณีนี้อาจเกิดจากยาบางชนิดที่ใช้ในการรักษาโรคข้ออักเสบรูมาตอยด์
- ปุ่มรูมาตอยด์ (Rheumatoid Nodules) ตุ่มบวมมักเกิดขึ้นบนร่างกายในบริเวณที่มีการเสียดสี เช่น ข้อศอก อย่างไรก็ตาม ตุ่มบวมนี้สามารถเกิดขึ้นได้ทุกที่ในร่างกายรวมไปถึงปอด
- ตาแห้งและปากแห้ง ผู้ป่วยโรคข้ออักเสบรูมาตอยด์มักจะพบว่าเกิดโรคปากแห้งตาแห้ง หรืออาจเป็นกลุ่มอาการโจเกรน (Sjogren's Syndrome) ได้
- การติดเชื้อ โรคข้ออักเสบรูมาตอยด์และยาที่ใช้รักษา สามารถทำให้ระบบภูมิคุ้มกันอ่อนแอลงและนำไปสู่การติดเชื้อได้ในที่สุด
- โรคการกดทับเส้นประสาทบริเวณข้อมือ (Carpal Tunnel Syndrome) หากเป็นโรครูมาตอยด์ที่เกิดขึ้นที่ข้อมือ การอักเสบสามารถทำให้เกิดการกดทับเส้นประสาทที่มีผลต่อการทำงานของมือและนิ้วมือ
- ภาวะแทรกซ้อนทางหัวใจ ผู้ป่วยโรครูมาตอยด์มีความเสี่ยงของภาวะหลอดเลือดอุดตันหรือหลอดเลือดแข็ง รวมถึงเยื่อหุ้มหัวใจอักเสบ ซึ่งเกิดจากภาวะอักเสบในร่างกาย
- โรคปอด ผู้ป่วยโรครูมาตอยด์มีความเสี่ยงสูงที่จะเกิดการอักเสบของเนื้อเยื่อปอดและเกิดพังผืดที่เนื้อเยื่อปอด ซึ่งสามารถทำให้เกิดการหายใจลำบากหรือหายใจสั้น
- มะเร็งต่อมน้ำเหลือง (Lymphoma) ผู้ป่วยโรครูมาตอยด์มีความเสี่ยงสูงขึ้นที่จะเกิดมะเร็งต่อมน้ำเหลือง
การป้องกันโรคข้ออักเสบรูมาตอยด์
โรครูมาตอยด์เป็นโรคที่ไม่สามารถป้องกันได้ แต่เมื่อเป็นแล้วสามารถบำบัดรักษาให้ใช้ชีวิตได้อย่างเป็นปกติมากที่สุด ซึ่งเมื่อเป็นโรคนี้แล้ว ผู้ป่วยสามารถควบคุมอาการได้โดยการดูแลตัวเองในชีวิตประจำวัน ด้วยการมีความรับผิดชอบต่อสุขภาพร่างกายของตัวเองให้แข็งแรงอยู่เสมอ เช่น มีความกระฉับกระเฉง ทำให้กล้ามเนื้อมีความแข็งแรง
รวมไปถึงการเลี่ยงพฤติกรรมที่ต้องใช้ข้อมาก ๆ นอกจากนั้น ต้องรับประทานยาตามที่แพทย์สั่งให้ครบตามเวลาและสม่ำเสมอ เพราะแม้ว่าจะมีอาการที่ดีขึ้นแล้วก็ต้องรับประทานยาต่อเนื่อง เพื่อป้องกันปัญหาและความเสี่ยงต่าง ๆ ที่อาจเกิดขึ้นได้ เช่น ข้อเสื่อมหรือข้อถูกทำลาย