สมองขาดออกซิเจน (Cerebral Hypoxia)

ความหมาย สมองขาดออกซิเจน (Cerebral Hypoxia)

สมองขาดออกซิเจน (Cerebral Hypoxia) คือ อาการที่สมองได้รับออกซิเจนไม่เพียงพอต่อความต้องการ ซึ่งอาจทำให้เกิดผลกระทบต่อร่างกายอย่างอาการหายใจสั้นและถี่ ความจำเสื่อมชั่วคราว ชัก หรืออาจหมดสติได้

โดยมีสาเหตุมาจากหลายปัจจัย เช่น โรคหอบ สำลักควัน โดนบีบรัดบริเวณคอ หรือจมน้ำ เป็นต้น ทั้งนี้ อาการสมองขาดออกซิเจนถือเป็นภาวะอันตราย เพราะอาจสร้างความเสียหายต่อสมองจนถึงขั้นสมองตายและทำให้เสียชีวิตได้

Cerebral Hypoxia

อาการของสมองขาดออกซิเจน

ผู้ที่มีภาวะสมองขาดออกซิเจนจะมีอาการแตกต่างกันไปในแต่ละบุคคล ขึ้นอยู่กับความรุนแรงของอาการและระยะเวลาที่สมองขาดออกซิเจน โดยอาจมีอาการเบื้องต้น เช่น รู้สึกสับสนมึนงง มีเหงื่อออกมาก การตัดสินใจแย่ลง เคลื่อนไหวลำบาก ขาดสมาธิ ความจำเสื่อมชั่วคราว เป็นต้น แต่หากสมองขาดออกซิเจนอย่างรุนแรง อาจทำให้เกิดอาการดังต่อไปนี้

  • ผิวหนังเปลี่ยนเป็นสีคล้ำ
  • หายใจสั้น เร็ว หายใจติดขัด หรือหายใจมีเสียงหวีด
  • หัวใจเต้นเร็ว
  • ดวงตาไม่มีปฏิกิริยาต่อแสง
  • ชัก
  • หมดสติ
  • หยุดหายใจ หรือถึงขั้นสมองตายและเสียชีวิต

สาเหตุของสมองขาดออกซิเจน

สมองเป็นอวัยวะที่ต้องการออกซิเจนอย่างต่อเนื่อง หากขาดออกซิเจนเพียง 5 นาที ก็อาจทำให้เซลล์สมองค่อย ๆ ตายลงได้ โดยสาเหตุที่ทำให้เกิดภาวะสมองขาดออกซิเจนนั้นมีหลายประการ โดยเฉพาะโรคหลอดเลือดสมอง ภาวะหัวใจหยุดเต้น และภาวะหัวใจเต้นผิดจังหวะ ซึ่งเป็นสาเหตุสำคัญที่ทำให้ออกซิเจนและสารอาหารไปเลี้ยงสมองไม่ได้ตามปกติ

ส่วนสาเหตุอื่น ๆ ที่อาจทำให้สมองขาดออกซิเจน ได้แก่

  • สำลัก
  • จมน้ำ
  • โดนบีบรัดที่คอ
  • ความดันเลือดต่ำ หรือเป็นโรคโลหิตจาง
  • อยู่ในบริเวณที่มีออกซิเจนน้อย เช่น เหตุการณ์ไฟไหม้ หรืออยู่บนที่สูงเกิน 8,000 ฟุต เป็นต้น
  • ได้รับพิษจากก๊าซคาร์บอนมอนอกไซด์ หรือได้รับสารพิษไซยาไนด์
  • ได้รับบาดเจ็บที่สมอง หรือเป็นโรคสมองพิการ
  • ได้รับยาในปริมาณมากเกินไป ได้รับยาที่มีผลทำให้หยุดหายใจ หรือได้รับยาสลบ
  • เป็นโรคหอบหืด
  • เป็นโรคที่มีปัญหาเกี่ยวกับกล้ามเนื้อที่ใช้หายใจ เช่น โรคกล้ามเนื้ออ่อนแรงเอแอลเอส เป็นต้น
  • เป็นโรคเกี่ยวกับปอด เช่น หลอดลมอักเสบ ถุงลมโป่งพอง ปอดบวม ปอดอุดกั้นเรื้อรัง หรือน้ำท่วมปอด เป็นต้น

นอกจากนี้ การทำกิจกรรมบางอย่างก็อาจเพิ่มความเสี่ยงต่อการเกิดภาวะสมองขาดออกซิเจนได้ เช่น เล่นฟุตบอล ชกมวย ดำน้ำ หรือปีนเขา เป็นต้น

การวินิจฉัยสมองขาดออกซิเจน

แพทย์สามารถวินิจฉัยอาการสมองขาดออกซิเจนได้จากการตรวจร่างกาย สอบถามเกี่ยวกับประวัติการเจ็บป่วยและกิจกรรมที่ทำล่าสุดก่อนมาพบแพทย์ รวมถึงอาจใช้วิธีการตรวจอื่น ๆ เพื่อช่วยในการวินิจฉัย ดังนี้

ตรวจเลือด

เพื่อตรวจระดับออกซิเจน ก๊าซต่าง ๆ รวมถึงระดับสารเคมีที่อยู่ในเลือด

ตรวจสมอง

ตรวจดูความผิดปกติภายในสมอง เช่น

  • เอกซเรย์หลอดเลือดสมอง โดยฉีดสารทึบรังสีเข้าไปในเส้นเลือด และเอกซเรย์ดูความผิดปกติของเส้นเลือดในสมอง
  • เอกซเรย์คอมพิวเตอร์ (CT Scan) หรือสแกนสมองด้วยคลื่นแม่เหล็กไฟฟ้า (MRI Scan) เป็นการสร้างภาพเสมือนของสมองเพื่อตรวจสอบความผิดปกติต่าง ๆ เช่น เลือดออกในสมอง เนื้องอกในสมอง สมองขาดเลือด สมองตาย เป็นต้น
  • ตรวจคลื่นไฟฟ้าสมอง (EEG) เป็นการตรวจการทำงานของเซลล์สมอง โดยวิธีนี้สามารถบอกสาเหตุของอาการชักได้

ตรวจหัวใจ

อาจตรวจหาความผิดปกติของหัวใจด้วยวิธีการ ดังนี้

  • อัลตราซาวด์ เป็นการใช้คลื่นเสียงความถี่สูงสร้างภาพเสมือนของหัวใจเพื่อตรวจดูความผิดปกติ
  • ตรวจคลื่นไฟฟ้าหัวใจ (ECG) เป็นการตรวจคลื่นไฟฟ้าที่หัวใจปล่อยออกมาทุกจังหวะการเต้นของหัวใจ ซึ่งสามารถบอกได้ว่าหัวใจเต้นผิดจังหวะหรือไม่

การรักษาสมองขาดออกซิเจน

เมื่อเกิดอาการสมองขาดออกซิเจนขึ้น ต้องรีบนำตัวผู้ป่วยส่งโรงพยาบาลโดยเร็ว เพราะยิ่งสมองขาดออกซิเจนนานเท่าใด ความเสี่ยงที่สมองจะถูกทำลายอย่างถาวรตลอดจนโอกาสในการเสียชีวิตจะมีเพิ่มมากขึ้นตามไปด้วย

ส่วนการรักษาจะขึ้นอยู่กับสาเหตุและความรุนแรงของอาการ โดยแพทย์จะเน้นไปที่การเพิ่มระดับออกซิเจนในร่างกาย เพื่อลดความเสียหายที่จะเกิดขึ้นต่อระบบต่าง ๆ ซึ่งอาจใช้เครื่องช่วยหายใจร่วมด้วยในกรณีที่ผู้ป่วยอาการหนัก

นอกจากนี้ แพทย์อาจตรวจหัวใจโดยดูจังหวะการเต้นของหัวใจ อัตราการเต้นของหัวใจ ตรวจความดันเลือดและคอยดูแลอาการผู้ป่วยอย่างใกล้ชิด ซึ่งอาจต้องให้เลือด ยา หรือสารเหลวอื่น ๆ ผ่านทางหลอดเลือดดำ เพื่อให้ความดันเลือดและอัตราการเต้นของหัวใจอยู่ในระดับที่เหมาะสม ในบางครั้งก็อาจต้องให้ยากันชักหรือยาชาในการรักษาด้วย

ภาวะแทรกซ้อนของสมองขาดออกซิเจน

ภาวะแทรกซ้อนของสมองขาดออกซิเจนจะรุนแรงหรือไม่นั้น ขึ้นอยู่กับระยะเวลาที่สมองขาดออกซิเจนและความรุนแรงของอาการ หากได้รับการรักษาช้าก็อาจทำให้มีอาการแทรกซ้อนที่รุนแรงขึ้นตามไปด้วย โดยภาวะแทรกซ้อนอันตรายที่อาจเกิดขึ้น คือ ภาวะสมองตายที่เรียกว่าเจ้าชายนิทราหรือภาวะผัก โดยผู้ป่วยจะนอนไม่รู้สึกตัวอีกเลยในขณะที่ส่วนต่าง ๆ ของร่างกายยังคงทำงานอยู่ เช่น ลืมตา ตื่นนอน หรือหายใจได้ ความดันเลือดเป็นปกติ เป็นต้น

อย่างไรก็ตาม ผู้ป่วยจะไม่ตอบสนองต่อสิ่งรอบข้าง และบางคนอาจเสียชีวิตภายใน 1 ปีหรือนานกว่านั้น ขึ้นอยู่กับการดูแลผู้ป่วย ซึ่งอาจเสี่ยงเกิดอาการแทรกซ้อนอื่น ๆ เพิ่มเติมตามมาด้วย เช่น ขาดสารอาหาร มีแผลกดทับ ปอดบวม หลอดเลือดดำอุดตัน เป็นต้น

นอกจากนี้ ภาวะสมองขาดออกซิเจนอาจทำให้เกิดอาการแทรกซ้อนอื่น ๆ ได้ทั้งในระหว่างการรักษาและต่อมาในระยะยาว เช่น

  • นอนไม่หลับ
  • กล้ามเนื้อกระตุก
  • เห็นภาพหลอน
  • มีพฤติกรรมถดถอย
  • ความจำเสื่อม

การป้องกันสมองขาดออกซิเจน

ภาวะสมองขาดออกซิเจนนั้นเกิดขึ้นได้จากหลายสาเหตุและไม่สามารถคาดเดาได้ จึงทำให้ป้องกันได้ยาก แต่ในเบื้องต้นสามารถป้องกันได้โดยหลีกเลี่ยงสถานการณ์ที่อาจทำให้เกิดอาการนี้ เช่น หลีกเลี่ยงสถานที่ที่มีควันอย่างบริเวณท้องถนนที่มีการจราจรติดขัด เพื่อป้องกันก๊าซคาร์บอนมอนอกไซด์ หรือระมัดระวังในการลงเล่นน้ำ เพื่อป้องกันการจมน้ำ เป็นต้น ส่วนผู้ป่วยที่เป็นโรคซึ่งต้องดูแลอาการอยู่ตลอดอย่างโรคหอบหืด ควรพกยาพ่นหรือยากินติดตัวไว้ตลอดเวลา และพยายามหลีกเลี่ยงปัจจัยเสี่ยงที่จะทำให้อาการกำเริบ รวมทั้งสังเกตตนเองว่ามีอาการผิดปกติเกิดขึ้นหรือไม่ อย่างรู้สึกจำอะไรไม่ค่อยได้ หายใจถี่ เคลื่อนไหวได้ลำบากมากขึ้นหรือไม่ เป็นต้น

ทั้งนี้ หากพบเห็นผู้ที่สงสัยว่าอาจเผชิญอาการสมองขาดออกซิเจนอยู่ สิ่งที่ควรทำโดยเร็ว คือ การปั๊มหัวใจหรือทำ CPR เพื่อเพิ่มระดับออกซิเจนในร่างกายและป้องกันอาการรุนแรงขึ้น จากนั้นให้รีบนำตัวผู้ป่วยส่งโรงพยาบาลโดยเร็วที่สุด