อะคาร์โบส (Acarbose)
Acarbose (อะคาร์โบส) เป็นรักษาโรคเบาหวานชนิดที่ 2 โดยตัวยาจะช่วยชะลอการย่อยและการดูดซึมน้ำตาลที่ย่อยได้จากคาร์โบไฮเดรตเข้าสู่ร่างกาย ทำให้ระดับน้ำตาลในเลือดหลังการรับประทานอาหารไม่สูงจนเกินไป ผู้ป่วยจำเป็นจะต้องใช้ยานี้ร่วมกับการควบคุมอาหารและการออกกำลังกายอย่างเหมาะสม นอกจากนี้ ยา Acarbose อาจใช้เพื่อรักษาภาวะอื่น ๆ ตามดุลยพินิจของแพทย์
เกี่ยวกับยา Acarbose
กลุ่มยา | ยายับยั้งเอนไซม์แอลฟากลูโคซิเดส (Alpha-Glucosidase Inhibitor) |
ประเภทยา | ยาตามใบสั่งแพทย์ |
สรรพคุณ | รักษาโรคเบาหวานชนิดที่ 2 |
กลุ่มผู้ป่วย | ผู้ใหญ่ |
รูปแบบของยา | ยารับประทาน |
การใช้ยาในหญิงตั้งครรภ์และผู้ให้นมบุตร | Category B จากการศึกษาในสัตว์ ไม่พบความเสี่ยงในการทำให้เกิดความผิดปกติของตัวอ่อนในครรภ์สัตว์ แต่ไม่มีการศึกษาในมนุษย์หรืออาจพบผลไม่พึงประสงค์ในสัตว์ และยังไม่พบความเสี่ยงในมนุษย์เมื่อใช้ในช่วงสามเดือนแรกของการตั้งครรภ์ รวมทั้งไม่มีหลักฐานทางการศึกษาที่แสดงให้เห็นว่า มีความเสี่ยงเมื่อใช้ในช่วงหลังเดือนที่สามเป็นต้นไป และผู้ที่อยู่ในช่วงให้นมบุตรควรปรึกษาแพทย์ก่อนเริ่มใช้ยา เนื่องจากยังไม่ทราบแน่ชัดว่าตัวยาจะปนเปื้อนไปกับน้ำนมหรือไม่ |
คำเตือนในการใช้ยา Acarbose
ข้อควรทราบเพื่อความปลอดภัยก่อนการใช้ยา Acarbose มีดังนี้
- แจ้งแพทย์หรือเภสัชกรถึงอาการแพ้ยา และอาการแพ้อื่น ๆ ของผู้ป่วย
- แจ้งให้แพทย์ทราบเกี่ยวกับยา วิตามิน หรือสมุนไพรที่กำลังใช้อยู่ โดยเฉพาะยารักษาโรคเบาหวานชนิดอื่น รวมถึงยาจิตเวชกลุ่มฟีโนไทอาซีน (Phenothiazines) ยากลุ่มไนอะซิน (Niacin) ยาไดจอกซิน (Digoxin) ยาไอโซไนอาซิด (Isoniazid) หรือยานีโอมัยซิน (Neomycin) เนื่องจากยาเหล่านี้อาจส่งผลให้เกิดการเปลี่ยนแปลงของระดับน้ำตาลในเลือด
- แจ้งแพทย์หรือเภสัชกรให้ทราบถึงประวัติทางการแพทย์ โดยเฉพาะผู้ป่วยโรคตับ โรคไต มีความผิดปกติในระบบทางเดินอาหารหรือระบบย่อยอาหาร
- ห้ามใช้ยา Acarbose โดยเด็ดขาดในผู้ป่วยโรคลำไส้อักเสบเรื้อรัง มีแผลในลำไส้ ลำไส้อุดตัน ตับแข็ง หรือภาวะเลือดเป็นกรด (Diabetic Ketoacidosis: DKA)
- แจ้งให้แพทย์ทราบหากมีไข้หรือได้รับบาดเจ็บในระหว่างการใช้ยา เนื่องจากความผิดปกติที่เกิดขึ้นอาจส่งผลต่อประสิทธิภาพในการควบคุมน้ำตาลในเลือดของผู้ป่วย และแพทย์อาจต้องปรับปริมาณยาหรือวิธีการรักษาให้เหมาะสมกับอาการของผู้ป่วยมากที่สุด
- ก่อนเข้ารับการผ่าตัดหรือเข้ารับการทำทันตกรรมใด ๆ ควรแจ้งแพทย์หรือทันตแพทย์เกี่ยวกับยาที่กำลังใช้อยู่
- ไม่ควรใช้ยา Acarbose ในผู้ป่วยอายุต่ำกว่า 18 ปี
- สตรีมีครรภ์หรือคาดว่าตั้งครรภ์ควรแจ้งแพทย์ก่อนการรักษา เนื่องจากการตั้งครรภ์อาจทำให้อาการของโรคเบาหวานรุนแรงขึ้นได้
- ยา Acarbose อาจทำให้เกิดอาการวิงเวียน ตามัวหรือง่วงซึม ผู้ที่ใช้ยานี้ไม่ควรขับรถ ใช้เครื่องจักร หรือทำกิจกรรมที่เสี่ยงต่อการเกิดอุบัติเหตุ
- หลีกเลี่ยงหรือจำกัดการดื่มเครื่องดื่มที่มีแอลกอฮอล์ในระหว่างการใช้ยา Acarbose เพราะแอลกอฮอล์อาจเพิ่มความเสี่ยงต่อภาวะน้ำตาลในเลือดต่ำได้
ปริมาณการใช้ยา Acarbose
ปริมาณและระยะเวลาในการใช้ยา Acarbose ขึ้นอยู่ดุลยพินิจของแพทย์ผู้รักษา โดยจะต้องพิจารณาการใช้ยาร่วมกับยาลดระดับน้ำตาลชนิดอื่น ๆ การคุมอาหารและการออกกำลังกาย
ตัวอย่างการใช้ยา Acarbose เพื่อรักษาโรคเบาหวานชนิดที่ 2 ในผู้ใหญ่ ให้รับประทานยา ขนาดเริ่มต้น 25–50 มิลลิกรัม 3 ครั้ง/วัน และแพทย์อาจปรับปริมาณยาเพิ่มขึ้นหลังใช้ยาแล้ว 4–8 สัปดาห์ โดยปริมาณยาสูงสุด 100 มิลลิกรัม 3 ครั้ง/วัน
การใช้ยา Acarbose
เพื่อความปลอดภัยในการใช้ยา Acarbose ผู้ป่วยควรรับประทานยาตามคำสั่งของแพทย์อย่างเคร่งครัด ไม่ควรรับประทานยาปริมาณมากหรือน้อยเกินไป รวมถึงไม่ควรใช้ยานี้เกินกว่าระยะเวลาที่แพทย์กำหนดหรือหยุดใช้ยาเอง หากมีข้อสงสัยควรปรึกษาแพทย์หรือเภสัชกร
โดยให้รับประทานยา Acarbose พร้อมอาหารคำแรกของมื้อ และหลีกเลี่ยงการใช้ผลิตภัณฑ์หรือยาที่มีส่วนประกอบของเอนไซม์ย่อยอาหาร (Digestive Enzyme) พร้อมกับการรับประทานยา Acarbose เนื่องจากอาจทำให้ร่างกายดูดซึมยา Acarbose ได้ยากมากขึ้น
นอกจากนี้ ผู้ป่วยควรคุมน้ำหนักให้อยู่ในเกณฑ์มาตรฐาน รับประทานอาหารที่มีประโยชน์และออกกำลังกายตามคำแนะนำของแพทย์อย่างเคร่งครัดในระหว่างใช้ยา เพื่อให้ยาออกฤทธิ์ได้อย่างมีประสิทธิภาพสูงสุด
ยา Acarbose อาจทำให้ระดับน้ำตาลในเลือดผิดปกติได้ จึงควรสังเกตความผิดปกติอยู่เสมอ เช่น หากเกิดภาวะน้ำตาลในเลือดต่ำ ผู้ป่วยจะมีอาการหิว มึนงง เวียนศีรษะ ปวดศีรษะ ฉุนเฉียว มีเหงื่อออกมากหรือตัวสั่น ควรให้รับประทานน้ำหวาน ลูกเกด ลูกพรุนแห้งหรืออินทผาลัมเพื่อบรรเทาอาการ ในกรณีที่มีระดับน้ำตาลในเลือดสูง จะมีอาการปากแห้ง ผิวแห้ง ง่วงซึม ปัสสาวะบ่อย กระหายน้ำมากผิดปกติ หรือตามัว
รวมถึงผู้ป่วยควรวัดระดับน้ำตาลในเลือดอย่างสม่ำเสมอ โดยเฉพาะเมื่อรับประทานอาหารไม่ครบมื้อ หลังออกกำลังกายอย่างหนัก รู้สึกเครียด ป่วย หรืออยู่ระหว่างการท่องเที่ยว เนื่องจากปัจจัยเหล่านี้อาจส่งผลต่อการเปลี่ยนแปลงของระดับน้ำตาลในเลือด
ในกรณีที่ผู้ป่วยลืมรับประทานยา ควรรับประทานทันทีที่นึกได้หรือภายในเวลาประมาณ 15 นาทีหลังเริ่มมื้ออาหาร แต่ไม่ควรรับประทานยาระหว่างมื้ออาหาร ห้ามรับประทานเป็น 2 เท่าในมื้อถัดไปเพื่อทดแทน และห้ามผู้อื่นใช้ยา Acarbose โดยเด็ดขาด
หากใช้ยา Acarbose เกินขนาดและมีอาการหายใจลำบากหรือหมดสติ ควรนำตัวผู้ป่วยส่งโรงพยาบาลทันที และห้ามบริโภคคาร์โบไฮเดรตเป็นเวลาประมาณ 4–6 ชั่วโมงหลังการใช้ยาเกินขนาด
เก็บยา Acarbose ไว้ในบรรจุภัณฑ์อย่างมิดชิดและเก็บไว้ในอุณหภูมิห้อง โดยให้ห่างจากมือเด็ก ความชื้นและความร้อน
ผลข้างเคียงจากการใช้ยา Acarbose
ยา Acarbose อาจก่อให้เกิดผลข้างเคียงต่าง ๆ เช่น เกิดผื่นหรือรู้สึกคันเล็กน้อย คลื่นไส้ อาเจียน ท้องอืด อาหารไม่ย่อย มีลมในท้อง ปวดท้องหรือท้องเสีย ซึ่งหากมีอาการเหล่านี้ ผู้ป่วยควรแจ้งให้แพทย์ทราบ
อย่างไรก็ตาม ผู้ป่วยควรหยุดใช้ยาแล้วแจ้งให้แพทย์ทราบโดยเร็วหากพบผลข้างเคียงที่รุนแรงดังต่อไปนี้
- มีอาการแพ้ยา เช่น หายใจลำบาก ริมฝีปาก ลิ้น ใบหน้าหรือคอบวม เวียนศีรษะอย่างรุนแรง เกิดผื่นลมพิษ หรือหายใจลำบาก
- ตับทำงานผิดปกติ ซึ่งจะเห็นได้จากการที่ตาหรือผิวของผู้ป่วยเปลี่ยนเป็นสีเหลือง เหนื่อยง่าย คลื่นไส้ เบื่ออาหาร คัน ปวดท้องช่วงบน ปัสสาวะและอุจจาระเป็นสีเข้ม
- ปวดท้องอย่างรุนแรง
- ผิวช้ำง่าย เกิดจุดเล็ก ๆ สีแดงใต้ผิวหนัง หรือมีเลือดออกมากผิดปกติ
- ท้องผูกหรือท้องเสียอย่างรุนแรง ถ่ายเป็นน้ำหรือถ่ายเป็นเลือด