เวโดลิซูแมบ
Vedolizumab (เวโดลิซูแมบ) เป็นยาในกลุ่มโมโนโคลนอล แอนติบอดี้ (Monoclonal Antibody) ออกฤทธิ์ปิดกั้นการทำงานของกลุ่มโปรตีนในร่างกาย ใช้รักษาโรคในระบบทางเดินอาหารบางประเภท เช่น โรคลำไส้อักเสบ และโรคโครห์น เป็นต้น โดยจะช่วยลดอาการอักเสบในลำไส้ ส่งผลให้อาการทุเลาลง อีกทั้งยังช่วยชะลอความเสียหายที่อาจเกิดขึ้นจากโรคดังกล่าวอีกด้วย นอกจากนี้ อาจใช้รักษาอาการอื่น ๆ ตามดุลยพินิจของแพทย์ด้วย
เกี่ยวกับยา Vedolizumab
กลุ่มยา | โมโนโคลนอล แอนติบอดี้ |
ประเภทยา | ยาตามใบสั่งแพทย์ |
สรรพคุณ | รักษาโรคลำไส้อักเสบและโรคโครห์น |
กลุ่มผู้ป่วย | ผู้ใหญ่ |
รูปแบบของยา | ยาฉีด |
การใช้ยาในหญิงตั้งครรภ์ | Category B จากการศึกษาในสัตว์ ไม่พบความเสี่ยงในการทำให้เกิดความผิดปกติของตัวอ่อนในครรภ์สัตว์ แต่ไม่มีการศึกษาในมนุษย์ หรืออาจพบผลไม่พึงประสงค์ในสัตว์ แต่ยังไม่พบความเสี่ยงในมนุษย์เมื่อใช้ในช่วงสามเดือนแรกของการตั้งครรภ์ รวมทั้งไม่มีหลักฐานทางการศึกษาที่แสดงให้เห็นว่า มีความเสี่ยงเมื่อใช้ในช่วงหลังเดือนที่สามเป็นต้นไปกลุ่มยา โมโนโคลนอล แอนติบอดี้ |
คำเตือนในการใช้ยา Vedolizumab
- แจ้งให้แพทย์ทราบก่อนใช้ยา หากมีประวัติแพ้ยาหรือส่วนประกอบของยาชนิดนี้ รวมถึงยาและสารอื่น ๆ เพราะยานี้อาจมีส่วนประกอบที่ทำให้เกิดอาการแพ้หรือเกิดผลข้างเคียงอื่น ๆ ตามมาได้
- แจ้งให้แพทย์ทราบเกี่ยวกับยา วิตามิน หรือสมุนไพรทุกชนิดที่ผู้ป่วยกำลังใช้อยู่ เพราะยาบางชนิดอาจทำปฏิกิริยากับยานี้จนก่อให้เกิดผลข้างเคียงหรือทำให้ยามีประสิทธิภาพลดลงได้
- แจ้งให้แพทย์ทราบหากผู้ป่วยกำลังใช้ยาอื่น ๆ เช่น ยาอะดาลิมูแมบ ยาเซอร์โทลิซูแมบ ยาอีทาเนอร์เซบ ยาโกลิมูแมบ ยาอินฟลิซิแมบ หรือยานาทาลิซูแมบ เป็นต้น
- แจ้งให้แพทย์ทราบก่อนใช้ยานี้ หากผู้ป่วยมีอาการติดเชื้อ เช่น มีไข้ หนาวสั่น เจ็บคอ ไอ หรือคัดจมูก เป็นต้น รวมทั้งหากมีประวัติในการติดเชื้อหรือกลับมาติดเชื้อซ้ำอย่างวัณโรคหรือมะเร็ง
- ผู้ป่วยอาจต้องตรวจเลือดตามคำแนะนำของแพทย์ในขณะที่ใช้ยา
- ผู้ป่วยอาจเสี่ยงต่อการติดเชื้อมากขึ้นขณะที่ใช้ยานี้ จึงควรล้างมือให้สะอาด และหลีกเลี่ยงการอยู่ใกล้ผู้ที่ป่วยเป็นไข้หวัดหรือไข้หวัดใหญ่ เนื่องจากการติดเชื้อบางอย่างอาจเป็นอันตรายถึงแก่ชีวิตได้
- ผู้ป่วยอาจต้องตรวจคัดกรองวัณโรคก่อนใช้ยานี้
- ผู้ป่วยควรตรวจสอบให้แน่ใจว่าตนเองได้รับการฉีดวัคซีนทั้งหมดก่อนใช้ยานี้ และหากผู้ป่วยต้องฉีดวัคซีนใด ๆ ควรแจ้งให้แพทย์ทราบก่อนใช้ยาเสมอ เพราะยานี้อาจทำให้ผู้ป่วยเสี่ยงต่อการติดเชื้อมากขึ้น อีกทั้งยังอาจทำให้วัคซีนมีประสิทธิภาพลดลงได้
- ห้ามเริ่มใช้ยา หยุดใช้ยา หรือเปลี่ยนปริมาณการใช้ยาด้วยตัวเองโดยไม่ได้รับคำแนะนำจากแพทย์
- แจ้งให้แพทย์ทราบหากผู้ป่วยมีผลข้างเคียงเกิดขึ้นในระหว่างที่ฉีดยาหรือภายในไม่กี่ชั่วโมงหลังจากรับการฉีดยานี้
- สำหรับผู้ป่วยที่กำลังตั้งครรภ์หรือวางแผนจะตั้งครรภ์ ควรปรึกษาแพทย์ถึงผลดีผลเสียและความเสี่ยงต่อทารกก่อนใช้ยาชนิดนี้
- ผู้ป่วยที่ต้องให้นมบุตรในขณะที่ใช้ยา Vedolizumab ควรปรึกษาแพทย์ถึงความเสี่ยงต่อทารกก่อนให้นมบุตร
ปริมาณในการใช้ยา Vedolizumab
ปริมาณและระยะเวลาในการใช้ยาขึ้นอยู่กับดุลยพินิจของแพทย์ผู้รักษา โดยทั่วไป การใช้ยาในผู้ใหญ่เพื่อรักษาโรคลำไส้อักเสบและโรคโครห์นนั้น แพทย์จะให้ฉีดยา 300 มิลลิกรัม เข้าทางหลอดเลือดดำ และฉีดยาอีกครั้งใน 2 และ 6 สัปดาห์ถัดไป จากนั้นจะให้ฉีดยาทุก ๆ 8 สัปดาห์ โดยอาจหยุดใช้ยาหากอาการไม่ดีขึ้นหลังใช้ยาไปแล้ว 14 สัปดาห์
การใช้ยา Vedolizumab
- ใช้ยาตามฉลากและตามคำสั่งแพทย์อย่างเคร่งครัด หากมีข้อสงสัยใด ๆ ควรปรึกษาแพทย์หรือเภสัชกรก่อนใช้ยาเสมอ
- ผู้ป่วยควรเข้ารับยาตามนัดหมายเป็นประจำ เพื่อให้ร่างกายได้รับประโยชน์สูงสุดในการรักษา โดยอาจจดโน้ตหรือปฏิทินที่ช่วยเตือนความจำด้วย
- หากผู้ป่วยใช้ยาแล้วอาการไม่ดีขึ้นหรือมีอาการแย่ลง ควรรีบแจ้งให้แพทย์ทราบทันที
- ห้ามให้ผู้อื่นใช้ยานี้ และห้ามใช้ยาของผู้อื่น
- หากผู้ป่วยสงสัยว่าใช้ยาเกินกว่าปริมาณที่กำหนด ควรไปพบแพทย์ทันที
- หากผู้ป่วยลืมใช้ยา ควรแจ้งให้แพทย์ทราบทันที
- หากผู้ป่วยเก็บยานี้ไว้ที่บ้าน ควรเก็บให้ห่างจากมือเด็กและสัตว์เลี้ยง และควรปรึกษาวิธีการเก็บรักษายาที่ถูกต้องจากแพทย์และเภสัชกรด้วย
ผลข้างเคียงจากการใช้ยา Vedolizumab
การใช้ยา Vedolizumab อาจทำให้เกิดผลข้างเคียงบางอย่างได้ เช่น มีไข้ เจ็บคอ มีอาการของไข้หวัดหรือไข้หวัดใหญ่ ปวดศีรษะ คลื่นไส้ ไม่สบายท้อง ระคายเคืองในจมูกและลำคอ เจ็บแขนและขา รู้สึกเหนื่อยล้าหรืออ่อนแรง ปวดหลัง ปวดข้อ มีผื่น มีอาการคัน เป็นต้น
ทั้งนี้ ผู้ป่วยควรหยุดใช้ยาและไปพบแพทย์ทันทีหากเกิดผลข้างเคียงที่รุนแรง แม้อาจเกิดขึ้นได้ยากก็ตาม เช่น
- มีอาการแพ้ยา เช่น มีผื่น ลมพิษ คัน ผิวหนังบวมแดงหรือพอง ผิวลอกที่อาจมีไข้หรือไม่มีไข้ร่วมด้วย มีเสียงหวีดขณะหายใจ แน่นหน้าอกหรือบริเวณลำคอ มีปัญหาเรื่องการหายใจ การกลืน หรือการพูด เสียงแหบผิดปกติ หรือมีอาการบวมบริเวณปาก ริมฝีปาก ลิ้น คอ และใบหน้า เป็นต้น
- มีสัญญาณของการติดเชื้อ เช่น มีไข้ สั่น เจ็บคอหรือหูอย่างมาก ปวดบริเวณไซนัส ไอ มีเสมหะหรือเสมหะเปลี่ยนสี รู้สึกเจ็บขณะปัสสาวะ เจ็บปาก หรือแผลไม่ยอมสมานตัว เป็นต้น
- มีสัญญาณของปัญหาเกี่ยวกับตับ เช่น ปัสสาวะมีสีเข้ม รู้สึกเหนื่อยล้า เบื่ออาหาร ไม่สบายท้องหรือปวดท้อง อุจจาระมีสีซีด ท้องเสีย ตาหรือผิวหนังมีสีเหลือง เป็นต้น
- เป็นโรคทางระบบประสาทพีเอ็มแอล (Progressive Multifocal Leukoencephalopathy: PML) ซึ่งอาจทำให้เกิดอาการ เช่น สับสน มีปัญหาเรื่องความจำ มีภาวะซึมเศร้า พฤติกรรมเปลี่ยนแปลงไป ร่างกายอ่อนแรงครึ่งซีก มีปัญหาในการพูดหรือการคิด สูญเสียการทรงตัว การมองเห็นเปลี่ยนแปลงไป เป็นต้น
- เวียนศีรษะ หรือปวดศีรษะเป็นอย่างมาก
- หายใจไม่อิ่ม มีเสียงหวีดขณะหายใจ หรือไอ
- หัวใจเต้นเร็ว หรือเต้นผิดปกติ
อย่างไรก็ตาม ผู้ป่วยบางรายอาจไม่มีผลข้างเคียงใด ๆ เกิดขึ้น หรือมีอาการเพียงเล็กน้อย แต่หากผู้ป่วยรายใดมีความกังวลใจ รวมทั้งพบผลข้างเคียงหรือความผิดปกติอื่น ๆ นอกเหนือจากนี้ ก็ควรแจ้งให้แพทย์หรือเภสัชกรทราบด้วยเช่นกัน