โทฟาซิทินิบ (Tofacitinib)
Tofacitinib (โทฟาซิทินิบ) เป็นยารักษาโรคในกลุ่มโรคข้ออักเสบ (Arthritis) ขั้นรุนแรงปานกลางถึงรุนแรงมาก เช่น โรคข้ออักเสบรูมาตอยด์ โรคข้อกระดูกสันหลังอักเสบชนิดติดยึด (Ankylosing Spondylitis) โรคข้ออักเสบสะเก็ดเงิน (Psoriatic Arthritis) ที่ไม่ตอบสนองต่อการรักษาด้วยยาอื่น อย่างยาเมโทรเทรกเสท (Methotrexate)
โดยยา Tofacitinib จะช่วยชะลออาการของโรค บรรเทาอาการปวดและบวมตามข้อ นอกจากนี้ ยังอาจใช้รักษาโรคลำไส้ใหญ่อักเสบเรื้อรัง (Ulcerative Colitis) หรือภาวะอื่นตามดุลยพินิจของแพทย์
เกี่ยวกับยา Tofacitinib
กลุ่มยา | ยากลุ่มเจเอเคอินฮิบิเตอร์ (Janus Kinase inhibitors: JAK) |
ประเภทยา | ยาตามใบสั่งแพทย์ |
สรรพคุณ | รักษาโรคในกลุ่มโรคข้ออักเสบโรคข้ออักเสบรูมาตอยด์ โรคข้ออักเสบสะเก็ดเงิน โรคข้อกระดูกสันหลังอักเสบชนิดติดยึด โรคลำไส้ใหญ่อักเสบเรื้อรัง |
กลุ่มผู้ป่วย | เด็ก ผู้ใหญ่ |
รูปแบบของยา | ยารับประทาน |
การใช้ยาในหญิงตั้งครรภ์และผู้ให้นมบุตร | ยังไม่มีการจัดหมวดหมู่ของยาชนิดนี้จากองค์การอาหารและยาแห่งสหรัฐอเมริกาหรือ FDA ซึ่งยาอาจส่งผลกระทบต่อมารดาหรือทารกในครรภ์ได้ อย่างไรก็ตาม ยาชนิดนี้อาจส่งผลต่อการตั้งครรภ์ในระหว่างการใช้ยาและในอนาคต ทั้งนี้ ห้ามให้นมบุตรในระหว่างใช้ยาและหลังการใช้ยาครั้งสุดท้ายภายในเวลาประมาณ 18 ชั่วโมง หรือ 36 ชั่วโมงในกรณีที่รับประทานยาชนิดออกฤทธิ์นาน |
คำเตือนในการใช้ยา Tofacitinib
เพื่อให้เกิดความปลอดภัยในการใช้ยา Tofacitinib ผู้ป่วยควรระมัดระวังและปฏิบัติตามคำแนะนำต่อไปนี้
- แจ้งแพทย์และเภสัชกรเกี่ยวกับอาการแพ้ยา ทั้งจากยาชนิดนี้ ยาและสารอื่น ๆ โดยผู้ป่วยควรสอบถามแพทย์หรือเภสัชกรเกี่ยวกับส่วนประกอบของยา Tofacitinib ก่อนการใช้
- แจ้งให้แพทย์ทราบเกี่ยวกับยา วิตามิน หรือสมุนไพรทุกชนิดที่ผู้ป่วยกำลังใช้อยู่ เนื่องจากยาบางชนิดอาจทำปฏิกิริยากับยานี้จนก่อให้เกิดผลข้างเคียงที่รุนแรง เช่น ยาต้านเชื้อรา ยาต้านไวรัสเอชไอวี ยาแอสไพริน ยาในกลุ่มเอ็นเสด (NSAIDs) หรือสมุนไพรเซนต์จอห์นเวิร์ต (St. John's Wort)
- ยา Tofacitinib อาจเพิ่มความเสี่ยงต่อการเกิดโรคหรือปัญหาสุขภาพที่อาจเป็นอันตรายภายหลัง ควรแจ้งให้แพทย์ทราบถึงประวัติทางการแพทย์ ซึ่งรวมถึงโรคหรืออาการใด ๆ ที่ผู้ป่วยกำลังเป็นหรือเคยเป็น โดยเฉพาะภาวะลิ่มเลือดอุดตัน ความผิดปกติของไขกระดูกหรือเม็ดเลือด โรคมะเร็ง ภาวะคอเรสเตอรอลสูง โรคหัวใจและหลอดเลือด โรคเบาหวาน โรคปอด โรคตับ โรคไต ความผิดปกติในระบบทางเดินอาหาร รวมถึงโรคติดเชื้ออื่น ๆ เช่น โรคงูสวัด วัณโรค โรคเอชไอวี
- ก่อนรับการรักษาทางทันตกรรมหรือการผ่าตัดใด ๆ ต้องแจ้งให้แพทย์หรือทันตแพทย์ทราบเกี่ยวกับยาทุกชนิดซึ่งรวมถึงยา Tofacitinib วิตามิน อาหารเสริม หรือสมุนไพรทุกชนิดที่ผู้ป่วยกำลังใช้อยู่
- ห้ามใช้ยา Tofacitinib ในผู้ป่วยอายุต่ำกว่า 18 ปีโดยไม่ได้รับอนุญาตจากแพทย์
- แจ้งให้แพทย์ทราบหากกำลังวางแผนตั้งครรภ์ สงสัยว่าตั้งครรภ์ หรืออยู่ในระหว่างการตั้งครรภ์ เนื่องจากยา Tofacitinib อาจส่งผลต่อระบบสืบพันธุ์ของเพศหญิง และผู้ที่กำลังใช้ยาชนิดนี้ควรคุมกำเนิดด้วยวิธีที่เหมาะสม
- ผู้ป่วยมักจะต้องทดสอบวัณโรคก่อนเริ่มใช้ยา และแจ้งให้แพทย์ทราบหากสมาชิกในครอบครัวหรือผู้ที่ใกล้ชิดมีผลการทดสอบวัณโรคทางผิวหนัง (Tuberculin Skin Tests) เป็นบวก
- การใช้ยา Tofacitinib อาจเพิ่มความเสี่ยงต่อการติดเชื้อได้ง่าย โดยเฉพาะผู้สูงอายุ จึงควรหลีกเลี่ยงการคลุกคลีกับผู้ติดเชื้อ และควรแจ้งให้แพทย์ทราบหากสงสัยว่าตนเองมีอาการของการติดเชื้อ เช่น หนาวสั่น มีไข้ เสียงแหบ ไอ ปวดกล้ามเนื้อ และปวดหลังช่วงล่าง
- ผู้ป่วยไม่ควรเข้ารับการฉีดวัคซีนเชื้อเป็นอ่อนฤทธิ์ ซึ่งเป็นวัคซีนที่ผลิตด้วยการนำเชื้อโรคมาทำให้มีฤทธิ์น้อยลงจนไม่ก่อโรคแต่ยังกระตุ้นภูมิคุ้มกันของร่างกายได้ และไม่ควรใกล้ชิดกับผู้ที่เพิ่งได้รับการฉีดวัคซีนดังกล่าว เพื่อป้องกันการได้รับเชื้อมาสู่ตนเอง
ปริมาณการใช้ยา Tofacitinib
ปริมาณและระยะเวลาในการใช้ยา Tofacitinib ขึ้นอยู่กับดุลยพินิจของแพทย์ผู้รักษา โดยมีตัวอย่างการใช้ยาดังนี้
โรคข้ออักเสบรูมาตอยด์ โรคข้ออักเสบสะเก็ดเงิน และโรคข้อกระดูกสันหลังอักเสบชนิดติดยึด
ตัวอย่างการใช้ยา Tofacitinib เพื่อรักษาโรคข้ออักเสบรูมาตอยด์ โรคข้ออักเสบสะเก็ดเงิน และโรคข้อกระดูกสันหลังอักเสบชนิดติดยึด
- ผู้ใหญ่ ยาชนิดออกฤทธิ์เร็วให้รับประทานยาปริมาณ 5 มิลลิกรัม 2ครั้ง/วัน หรือยาชนิดออกฤทธิ์ช้า ให้รับประทานยาปริมาณ 11 มิลลิกรัม 1 ครั้ง/วัน โดยอาจรับประทานร่วมกับยาเมโธเทรกเซท (Methotrexate) หรือยาในกลุ่ม DMARDs แบบสังเคราะห์ตามคำสั่งแพทย์
โรคลำไส้ใหญ่อักเสบ
ตัวอย่างการใช้ยา Tofacitinib เพื่อรักษาโรคลำไส้ใหญ่อักเสบ
- ผู้ใหญ่ ยาชนิดออกฤทธิ์เร็วให้รับประทานยาปริมาณ 10 มิลลิกรัม 2 ครั้ง/วันร่วมกับยาชนิดอื่น ๆ ตามคำสั่งแพทย์ เป็นเวลาอย่างน้อย 8 สัปดาห์ แต่ไม่เกิน 16 สัปดาห์ และควรมีการปรับปริมาณยาเหลือ 5 มิลลิกรัม 2 ครั้ง/วัน หากรับประทานยาชนิดออกฤทธิ์ช้า ให้รับประทานยาปริมาณ 22 มิลลิกรัม 1 ครั้ง/วัน เป็นเวลา 8 สัปดาห์ก่อนจะปรับปริมาณยาเป็น 11 มิลลิกรัม 1 ครั้ง/วัน
โรคข้ออักเสบไม่ทราบสาเหตุในเด็กชนิดข้ออักเสบมากกว่าหรือเท่ากับ 5 ข้อขึ้นไป (polyarticular course Juvenile Idiopathic Arthritis: pcJIA)
ตัวอย่างการใช้ยา Tofacitinib เพื่อรักษาโรคข้ออักเสบไม่ทราบสาเหตุในเด็กชนิดข้ออักเสบมากกว่าหรือเท่ากับ 5 ข้อขึ้นไป ตัวอย่างการใช้ยาในเด็กอายุ 2–17 ปี มีดังนี้
- น้ำหนักตัว 10–20 กิโลกรัม รับประทานยาปริมาณ 3.2 มิลลิกรัม 2 ครั้ง/วัน
- น้ำหนักตัว 20–40 กิโลกรัม รับประทานยาปริมาณ 4 มิลลิกรัม 2 ครั้ง/วัน
- น้ำหนักตัวมากกว่า 40 กิโลกรัม รับประทานยาปริมาณ 5 มิลลิกรัม 2 ครั้ง/วัน
การใช้ยา Tofacitinib
วิธีการใช้ยา Tofacitinib อย่างปลอดภัยมีดังนี้
- ใช้ยาตามฉลากและตามคำสั่งแพทย์อย่างเคร่งครัด ห้ามใช้ยานี้ในปริมาณมากกว่า น้อยกว่า หรือติดต่อกันนานกว่าที่แพทย์แนะนำ หากมีข้อสงสัยใด ๆ ควรปรึกษาแพทย์ก่อนรับประทานยา
- ห้ามเริ่ม หยุด หรือเพิ่มปริมาณการใช้ยาด้วยตนเอง
- รับประทานยานี้พร้อมอาหารหรือไม่พร้อมอาหารก็ได้
- ผู้ป่วยที่รับประทานยาเม็ดชนิดออกฤทธิ์ทันทีแล้วมีปัญหาในการกลืนยา สามารถบดยาและชงผสมน้ำครึ่งแก้วดื่มได้ แต่หากรับประทานยาชนิดออกฤทธิ์นาน จะต้องกลืนยาทั้งเม็ดโดยห้ามหัก เคี้ยวหรือบดยาโดยเด็ดขาด
- หากรับประทานยา Tofacitinib ชนิดยาน้ำ ควรใช้ช้อนตวงยาเพื่อให้ได้ปริมาณตรงตามคำสั่งแพทย์ และไม่ควรใช้ยาหลังเปิดขวดไปแล้วเป็นเวลา 60 วัน ให้ทิ้งยาขวดนั้นแม้จะยังมียาเหลืออยู่และใช้ยาขวดใหม่แทน
- เข้ารับการตรวจสุขภาพตามแพทย์แนะนำอย่างสม่ำเสมอ เนื่องจากการใช้ยา Tofacitinib อาจเพิ่มความเสี่ยงต่อการติดเชื้อได้
- แจ้งให้แพทย์ทราบหากอาการไม่ดีขึ้นหรือแย่ลงในระหว่างใช้ยา
- หากผู้ป่วยลืมรับประทานยา ให้รับประทานทันทีที่นึกขึ้นได้ หากใกล้ถึงช่วงเวลาของยารอบถัดไป ให้ข้ามไปรับประทานยาตามเวลาปกติ ห้ามเพิ่มปริมาณยาเป็นสองเท่า
- กรณีที่ใช้ยาเกินขนาดและมีอาการหายใจไม่ออกหรือหมดสติ ควรนำตัวผู้ป่วยส่งโรงพยาบาลทันที
- เก็บยาไว้ที่อุณหภูมิห้อง ให้ห่างจากความชื้น ความร้อน และแสงแดด รวมทั้งให้ห่างจากมือเด็กและสัตว์เลี้ยง
ผลข้างเคียงจากการใช้ยา Tofacitinib
ยา Tofacitinib อาจก่อให้เกิดผลข้างเคียงทั่วไป เช่น ปวดศีรษะ ความดันโลหิตเพิ่มสูงขึ้น ท้องเสีย รวมถึงมีอาการของโรคหวัด เช่น เจ็บคอ คัดจมูก จาม หากอาการเหล่านี้ไม่หายไปหรือทวีความรุนแรงขึ้น ควรแจ้งให้แพทย์ทราบตั้งแต่เนิ่น ๆ
แม้ผลข้างเคียงจากการใช้ยา Tofacitinib ที่รุนแรงจะพบได้น้อย แต่หากมีอาการดังต่อไปนี้ ผู้ป่วยควรหยุดใช้ยาแล้วแจ้งให้แพทย์ทราบทันที เช่น
- มีสัญญาณของการแพ้ยา เช่น ผื่นคัน ลมพิษ หายใจลำบาก กลืนลำบาก เวียนศีรษะอย่างรุนแรง มีอาการบวมบริเวณใบหน้า ริมฝีปาก ลิ้น และลำคอ
- มีอาการของโรคงูสวัด โดยมักเกิดผื่น รู้สึกปวด แสบ รู้สึกแปล๊บ ๆ มีอาการคล้ายเป็นหวัด ไอ จาม น้ำมูกไหล
- ไออย่างรุนแรง
- น้ำหนักลดลงอย่างไม่ทราบสาเหตุ
- ปวดท้อง พร้อมกับมีไข้และท้องผูกหรือท้องเสีย
- ผิวซีด
- มีอาการที่อาจเป็นสัญญาณของโรคมะเร็งบางชนิด เช่น น้ำหนักลดผิดปกติ เกิดก้อนบวมในบริเวณคอ รักแร้ หรือขาหนีบ ผิวหรือตาเปลี่ยนเป็นสีเหลือง แผลหายช้า อุจจาระมีลักษณะคล้ายยางมะตอย เนื่องจากยานี้อาจเพิ่มความเสี่ยงในการเกิดโรคมะเร็งบางชนิด
- มีสัญญาณของโรคตับอักเสบ เช่น ปวดท้อง เบื่ออาหาร เกิดภาวะดีซ่าน ปัสสาวะเป็นสีเข้มหรืออุจจาระมีสีซีดจาง
- มีอาการของภาวะติดเชื้อ เช่น มีไข้ หนาวสั่น อ่อนเพลียผิดปกติ เนื่องจากตัวยาอาจทำให้ร่างกายต้านการติดเชื้อได้น้อยลง
นอกจากนี้ ผู้ป่วยควรแจ้งให้แพทย์ทราบโดยเร็วที่สุด หากสงสัยว่ามีอาการของภาวะลิ่มเลือดอุดตัน โรคหัวใจและโรคหลอดเลือดสมอง เช่น เวียนศีรษะคล้ายจะเป็นลม มีเหงื่อออกมาก ปากตกข้างใดข้างหนึ่ง ลิ้นแข็ง หายใจไม่อิ่ม เจ็บหน้าอก และลุกลามไปยังขากรรไกร แขน ไหล่หรือหลัง คลื่นไส้ อาเจียน ร่างกายอ่อนแรงครึ่งซีก แขนหรือขาบวมและปวด