การตรวจความสมบูรณ์ของเม็ดเลือด (Complete Blood Count: CBC) คือ การตรวจเลือดที่ใช้วัดสุขภาพโดยรวมของผู้ป่วย ตรวจอาการต่าง ๆ เมื่อปรากฏอาการดังกล่าว เช่น อ่อนเพลีย เมื่อยล้า หรือรอยช้ำ รวมทั้งตรวจหาปัญหาสุขภาพหรือโรคต่าง ๆ ซึ่งรวมไปถึงภาวะโลหิตจาง การติดเชื้อ หรือโรคมะเร็งเม็ดเลือดขาว
การตรวจนี้จะแสดงข้อมูลเกี่ยวกับประเภทและจำนวนเซลล์ในเลือด ซึ่งจะตรวจส่วนประกอบต่าง ๆ ที่มีอยู่ในเลือด ดังนี้
- เซลล์เม็ดเลือดแดง ทำหน้าที่ลำเลียงออกซิเจนจากปอดไปยังอวัยวะส่วนต่าง ๆ รวมทั้งลำเลียงคาร์บอนไดออกไซด์กลับไปที่ปอดด้วย จำนวนเซลล์เม็ดเลือดแดงจะแสดงผลว่าผู้ป่วยประสบภาวะโลหิตจางหรือไม่ รวมทั้งแสดงการสร้างและทำลายเซลล์เม็ดเลือดแดง เช่น ค่าที่เพิ่มขึ้นเกิดจากเลือดที่ไหลเวียนจากหัวใจลดลง การแลกเปลี่ยนก๊าซที่ปอดไม่เพียงพอ หรือมีการสร้างเม็ดเลือดแดงมากขึ้น ส่วนค่าที่ลดลงเกิดจากการขาดวิตามินบี 12 บี 6 หรือธาตุเหล็ก รวมทั้งอาจเกิดจากการติดเชื้อเรื้อรัง ป่วยเป็นโรคไตเรื้อรัง หรือการสร้างจากไขกระดูกผิดปกติ นอกจากนี้ แพทย์จะดูรูปร่างของเม็ดเลือดแดง เพื่อวินิจฉัยแยกโรคต่าง ๆ เช่น ธาลัสซีเมีย หรือภาวะโลหิตจางจากการขาดธาตุเหล็ก บางครั้งอาจปรากฏมาลาเรียอยู่ในเม็ดเลือดด้วย
- เซลล์เม็ดเลือดขาว ทำหน้าที่ต้านเชื้อโรค โดยเซลล์เม็ดเลือดขาวจะทำลายเชื้อแบคทีเรีย ไวรัส หรือเชื้อโรคต่าง ๆ ที่เข้ามาในร่างกาย เซลล์เม็ดเลือดขาวมีขนาดใหญ่กว่าเซลล์เม็ดเลือดแดง แต่มีจำนวนน้อยกว่า เมื่อร่างกายติดเชื้อแบคทีเรีย จำนวนเซลล์เม็ดเลือดขาวจะเพิ่มมากขึ้นอย่างรวดเร็ว ทั้งนี้ จำนวนเซลล์เม็ดเลือดขาวยังใช้ตรวจหาการติดเชื้อและปฏิกิริยาร่างกายที่ตอบสนองต่อการรักษามะเร็ง
- ค่าฮีมาโตคริต (Hematocrit) คือสัดส่วนของเซลล์เม็ดเลือดแดงที่อัดแน่นเทียบกับปริมาตรของเลือดทั้งหมด ค่านี้จะแสดงภาวะโลหิตจางหรือความข้นของเลือด โดยผู้ที่ประสบภาวะช็อค ขาดน้ำอย่างรุนแรง หรือมีจำนวนเม็ดเลือดเพิ่มขึ้น จะมีค่าฮีมาโตคริตสูง ส่วนผู้ที่ประสบภาวะโลหิตจาง ป่วยเป็นมะเร็งเม็ดเลือด หรือมีเลือดออกรุนแรง จะมีค่าฮีมาโตคริตต่ำ
- ฮีโมโกลบิน (Hemoglobin) คือโปรตีนที่ทำหน้าที่ลำเลียงออกซิเจนในเซลล์เม็ดเลือดแดง การตรวจฮีโมโกลบินจะช่วยวัดจำนวนฮีโมโกลบินที่มีในเลือด รวมทั้งวัดประสิทธิภาพของร่างกายในการลำเลียงออกซิเจนไปยังอวัยวะต่าง ๆ ผู้ที่มีค่าฮีโมโกลบินลดลง อาจเกิดจากการเสียเลือด ขาดสารอาหาร หรือภาวะโลหิตจาง
- เกล็ดเลือด คือเซลล์เลือดชนิดหนึ่งที่ช่วยในการแข็งตัวของเลือด กล่าวคือ หากร่างกายได้รับบาดเจ็บจนเลือดออก เกล็ดเลือดจะพองและจับตัวกันจนมีลักษณะเหนียว เพื่อช่วยหยุดเลือดที่ไหลออกมา ผู้ที่มีเกล็ดเลือดต่ำเกินไปจะห้ามเลือดให้หยุดไหลไม่ได้ ส่วนผู้ที่มีเกล็ดเลือดสูงเกินไปจะเสี่ยงเกิดลิ่มเลือดในหลอดเลือด
การตรวจความสมบูรณ์ของเม็ดเลือดทำเพื่ออะไร ?
การตรวจความสมบูรณ์ของเม็ดเลือดนับเป็นการตรวจเลือดทั่วไป มักใช้ตรวจหาภาวะสุขภาพด้านต่าง ๆ ดังนี้
- ตรวจสุขภาพโดยรวม ผู้ป่วยบางรายอาจต้องรับการตรวจความสมบูรณ์ของเม็ดเลือดเป็นประจำ เพื่อดูสุขภาพโดยรวม รวมทั้งตรวจหาโรคอื่น ๆ ที่อาจเกิดขึ้น เช่น ภาวะโลหิตจาง หรือมะเร็งเม็ดเลือดขาว
- วินิจฉัยปัญหาสุขภาพ ผู้ที่มีอาการอ่อนเพลีย เมื่อยล้า มีไข้ บวมอักเสบ มีรอยช้ำ หรือเลือดออก อาจต้องเข้ารับการตรวจความสมบูรณ์ของเม็ดเลือด โดยวิธีนี้จะช่วยวินิจฉัยสาเหตุของอาการดังกล่าว ทั้งนี้ การตรวจความสมบูรณ์ของเม็ดเลือดยังยืนยันผลการติดเชื้อในกรณีที่คาดว่าผู้ป่วยรายนั้นได้รับเชื้อบางอย่างเข้าสู่ร่างกาย
- สังเกตและติดตามปัญหาสุขภาพ ผู้ป่วยที่ได้รับการวินิจฉัยว่าป่วยเป็นโรคที่ส่งผลกระทบต่อจำนวนเซลล์เม็ดเลือด จำเป็นต้องเข้ารับการตรวจนี้ เพื่อสังเกตและติดตามอาการป่วยที่เกิดขึ้น
- สังเกตและติดตามการรักษาโรค แพทย์จะทำการตรวจความสมบูรณ์ของเม็ดเลือดแก่ผู้ป่วยที่ใช้ยาซึ่งส่งผลกระทบต่อจำนวนเซลล์เม็ดเลือด
- ตรวจการตอบสนองของร่างกายต่อการรักษาบางอย่าง ผู้ป่วยบางรายที่เข้ารับการรักษาด้วยยาหรือการฉายรังสี จำเป็นต้องเข้ารับการตรวจความสมบูรณ์ของเม็ดเลือด เพื่อดูการตอบสนองของร่างกายที่มีต่อการรักษาดังกล่าว
- ตรวจประเมินร่างกายก่อนผ่าตัด ผู้ที่ต้องเข้ารับการผ่าตัดจะได้รับการตรวจความสมบูรณ์ของเม็ดเลือด เพื่อดูระดับของเลือดว่าสูงหรือต่ำก่อนเข้ารับการผ่าตัด
การตรวจความสมบูรณ์ของเม็ดเลือดทำอย่างไร
การตรวจความสมบูรณ์ของเม็ดเลือดมีรายละเอียดแต่ละขั้นตอน ดังนี้
- แพทย์จะทำความสะอาดผิวหนังบริเวณที่จะเจาะเลือดด้วยน้ำยาฆ่าเชื้อ จากนั้นจะรัดสายยางรอบแขนส่วนบน เพื่อให้เส้นเลือดโป่งขึ้น
- แพทย์จะสอดเข็มเข้าไปที่เส้นเลือด เพื่อเจาะเอาตัวอย่างเลือดออกมาประมาณ 1 ขวดแก้วขนาดเล็ก หรือมากกว่านั้น
- หลังจากเจาะเลือดแล้ว แพทย์จะคลายสายยางที่รัดแขนออก และปิดแผลบริเวณที่เจาะเข็มเข้าไปด้วยผ้าพันแผลให้เรียบร้อยเพื่อห้ามเลือด
ขั้นตอนการตรวจเลือดอาจทำให้รู้สึกไม่สบายเล็กน้อยเมื่อสอดเข็มเข้าไปที่เส้นเลือด ผู้ป่วยบางรายอาจเป็นลมหรือเวียนศีรษะเมื่อเห็นเลือด ทั้งนี้ ผู้ป่วยอาจมีรอยช้ำเล็กน้อย ซึ่งจะหายภายใน 2-3 วัน ขั้นตอนการเจาะเลือดนี้ใช้เวลาเพียง 2-3 นาที จากนั้นจะนำตัวอย่างเลือดของผู้ป่วยไปตรวจในห้องทดลอง ซึ่งใช้เวลา 2-3 ชั่วโมง หรือ 1 วันหลังตรวจ จึงจะได้ผลการตรวจความสมบูรณ์ของเม็ดเลือด
สำหรับการตรวจความสมบูรณ์ของเม็ดเลือดให้กับทารก จะเจาะเลือดที่ส้นเท้าเด็ก โดยแพทย์จะทำความสะอาดผิวบริเวณส้นเท้า และใช้เข็มขนาดเล็กทิ่มบริเวณดังกล่าว จากนั้นจึงบีบเอาเลือดมาจำนวน 1 ขวดแก้วขนาดเล็กสำหรับนำไปใช้ตรวจต่อไป
ผลการตรวจความสมบูรณ์ของเม็ดเลือดบอกอะไรได้บ้าง ?
การตรวจความสมบูรณ์ของเม็ดเลือดจะปรากฏผลการตรวจที่ต่างกัน ซึ่งขึ้นอยู่กับจำนวนเซลล์ที่อยู่ในเลือด แพทย์จะวัดผลและวินิจฉัยอาการของผู้ป่วยจากผลการตรวจดังกล่าว ผู้ที่มีความสมบูรณ์ของเม็ดเลือดในระดับผิดปกติ อาจต้องเข้ารับการตรวจเลือดอีกครั้ง รวมทั้งทำการตรวจอื่น ๆ เพิ่มเติม เพื่อช่วยวัดและยืนยันผลการวินิจฉัยที่ได้ ผลการตรวจความสมบูรณ์ของเม็ดเลือดแบ่งออกเป็น 2 ลักษณะ ได้แก่ ผลการตรวจปกติ และผลการตรวจผิดปกติ ซึ่งมีรายละเอียดพอสังเขป ดังนี้
- ผู้ที่มีเซลล์เม็ดเลือดสูงเกินไป
- ระดับของเซลล์เม็ดเลือดแดง ฮีโมโกลบิน หรือความเข้มของเลือดสูงเกินไป อาจเกิดจาก
- ขาดน้ำที่เพียงพอต่อความต้องการของร่างกาย เช่น เกิดจากท้องร่วง เหงื่อออกมากเกินไป หรือใช้ยาขับน้ำสำหรับรักษาความดันโลหิตสูง
- ป่วยเป็นโรคไตที่มีการผลิตฮอร์โมนอิริโธรพออีติน (Erythropoietin) ในปริมาณสูง
- ระดับออกซิเจนในเลือดต่ำเป็นเวลานาน ซึ่งเกี่ยวเนื่องกับโรคหัวใจหรือปอด
- ประสบภาวะเลือดแดงข้น (Polycythemia Vera)
- สูบบุหรี่
- ระดับของเซลล์เม็ดเลือดขาวสูงเกินไป (Leukocytosis) เกิดจาก
- ใช้ยาบางอย่าง เช่น คอร์ติโคสเตียรอยด์
- เกิดการติดเชื้อ
- ป่วยเป็นโรคบางอย่าง เช่น โรคลูปัสหรือโรคพุ่มพวง (Lupus) ข้ออักเสบรูมาตอยด์ หรือโรคภูมิแพ้
- ป่วยเป็นมะเร็งเม็ดเลือดขาวหรือมะเร็งต่อมน้ำเหลือง
- เกิดความเครียดทางร่างกายและจิตใจอย่างรุนแรง
- เนื้อเยื่อถูกทำลาย
- ระดับของเกล็ดเลือดสูงเกินไป อาจเกิดจาก
- ประสบภาวะเลือดออก
- ป่วยเป็นโรคบางอย่าง เช่น โรคมะเร็ง
- ขาดธาตุเหล็ก
- มีปัญหาเกี่ยวกับไขกระดูก
- ระดับของเซลล์เม็ดเลือดแดง ฮีโมโกลบิน หรือความเข้มของเลือดสูงเกินไป อาจเกิดจาก
- ผลการตรวจผิดปกติ ผลการตรวจความสมบูรณ์ของเม็ดเลือดที่จัดว่าผิดปกตินั้น แบ่งออกเป็นผู้ที่มีเซลล์เม็ดเลือดสูงเกินไป และผู้ที่มีเซลล์เม็ดเลือดต่ำเกินไป ดังนี้
- ผลการตรวจปกติ จำนวนเซลล์เม็ดเลือดจะมีระดับที่แตกต่างกัน ผู้ที่มีผลการตรวจอยู่ในเกณฑ์ปกติมักมีระดับของจำนวนเซลล์เม็ดเลือดแดง จำนวนเซลล์เม็ดเลือดขาว ฮีโมโกลบิน ความเข้มของเลือด และจำนวนของเกล็ดเลือดอยู่ในเกณฑ์ปกติ ไม่สูงหรือต่ำเกินไป ทั้งนี้ ระดับของเซลล์เม็ดเลือดที่ใช้ประเมินความปกติของห้องทดลองแต่ละแห่งอาจต่างกัน เนื่องจากใช้การวัดหรือตัวอย่างในการทดสอบที่ต่างกัน ผู้ป่วยควรปรึกษาแพทย์เกี่ยวกับผลการตรวจที่ได้
- ผู้ที่มีเซลล์เม็ดเลือดต่ำเกินไป
- ระดับของเซลล์เม็ดเลือดแดง ฮีโมโกลบิน หรือความเข้มของเลือดต่ำเกินไป อาจเกิดจาก
- ประสบภาวะเสียเลือด ซึ่งเกิดจากการได้รับบาดเจ็บกะทันหัน หรือมีปัญหาสุขภาพที่เกิดขึ้นระยะยาว เช่น ประจำเดือนมามาก
- ไขกระดูกฝ่อ ซึ่งเกิดจากการฉายรังสี ติดเชื้อ หรือเนื้องอก
- ประสบภาวะเซลล์เม็ดเลือดแดงแตก (Hemolysis)
- ป่วยเป็นโรคมะเร็ง รวมทั้งได้รับการรักษาโรคมะเร็ง
- ป่วยเป็นโรคเรื้อรังบางโรค เช่น โรคไตเรื้อรัง ลำไส้ใหญ่อักเสบเป็นแผลเรื้อรัง หรือข้ออักเสบรูมาตอยด์
- ป่วยเป็นมะเร็งเม็ดเลือดขาว
- ประสบภาวะติดเชื้อระยะยาว เช่น ไวรัสตับอักเสบ
- ได้รับสารอาหารไม่เพียงพอ เช่น ธาตุเหล็ก โฟเลต วิตามินบี 12 หรือวิตามินบี 6
- ป่วยเป็นมะเร็งไขกระดูกมัยอิโลม่า (Multiple Myeloma)
- ระดับของเซลล์เม็ดเลือดขาวต่ำเกินไป อาจเกิดจาก
- ดื่มเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ รวมทั้งตับถูกทำลาย
- ป่วยเป็นโรคภูมิคุ้มกันทำลายตนเอง เช่น โรคลูปัสหรือโรคพุ่มพวง
- ประสบภาวะไขกระดูกฝ่อ ซึ่งอาจเกี่ยวเนื่องกับการติดเชื้อ เนื้องอก การฉายรังสี หรือเกิดพังผืดในร่างกาย
- ได้รับยาที่ใช้ทำเคมีบำบัดสำหรับรักษาโรคมะเร็ง
- ป่วยเป็นโรคเกี่ยวกับตับหรือม้าม หรือโรคที่เกี่ยวกับการทำงานของไขกระดูก
- ประสบภาวะม้ามโต
- ติดเชื้อที่เกิดจากไวรัส เช่น โรคเอดส์ หรือโรคไข้เลือดออก เป็นต้น
- ใช้ยาบางอย่าง
- ระดับเกล็ดเลือดต่ำเกินไป อาจเกิดจาก
- ประสบภาวะโลหิตจาง
- ป่วยเป็นโรคที่ส่งผลให้เกล็ดเลือดถูกทำลาย
- ตั้งครรภ์
- ประสบภาวะม้ามโต
- ประสบภาวะไขกระดูกฝ่อ ซึ่งอาจเกี่ยวเนื่องกับการติดเชื้อ เนื้องอก การฉายรังสี หรือเกิดพังผืดในร่างกาย
- ได้รับยาที่ใช้ทำเคมีบำบัดสำหรับรักษาโรคมะเร็ง
- ระดับของเซลล์เม็ดเลือดแดง ฮีโมโกลบิน หรือความเข้มของเลือดต่ำเกินไป อาจเกิดจาก
ความเสี่ยงจากการตรวจความสมบูรณ์ของเม็ดเลือด
การตรวจความสมบูรณ์ของเม็ดเลือดมีโอกาสเกิดปัญหาระหว่างเจาะตัวอย่างเลือดเพื่อนำไปตรวจน้อยมาก อย่างไรก็ตาม ผู้ป่วยอาจได้รับผลกระทบจากการตรวจบ้าง ดังนี้
- มีรอยช้ำ ผู้ป่วยอาจเกิดรอยช้ำเล็กน้อยบริเวณที่ถูกเจาะเลือด ให้กดบริเวณดังกล่าวไว้สักพัก เพื่อลดโอกาสเกิดรอยช้ำ
- หลอดเลือดดำอักเสบ ผู้ที่ได้รับการตรวจความสมบูรณ์ของเม็ดเลือด อาจประสบภาวะหลอดเลือดดำอักเสบหลังแพทย์เจาะเลือดเพื่อนำไปตรวจ โดยหลอดเลือดดำจะบวมขึ้น ให้ลองประคบอุ่นบริเวณดังกล่าววันละหลายครั้ง เพื่อบรรเทาอาการหลอดเลือดดำอักเสบ
- เลือดออกมากขึ้น ผู้ที่มีปัญหาสุขภาพเกี่ยวกับภาวะเลือดออกหรือเกิดลิ่มเลือด รวมทั้งผู้ที่ใช้ยาเจือจางเลือด (Blood-Thinning) ควรปรึกษาแพทย์ก่อนเข้ารับการเจาะเลือดสำหรับนำไปตรวจ เนื่องจากผู้ที่มีปัญหาสุขภาพเกี่ยวกับเลือดออกอาจมีปัญหาเลือดไม่หยุดไหลได้ ส่วนผู้ที่ใช้ยาเจือจางเลือด แอสไพริน หรือวาฟาริน อาจประสบภาวะเลือดออกมากขึ้น