ก้มแล้วปวดหัว รู้จักสาเหตุและวิธีรับมือที่ถูกต้อง

ก้มแล้วปวดหัว เป็นอาการปวดหัวที่เกิดขึ้นหลังจากโน้มศีรษะไปข้างหน้าหรือเมื่อเงยหน้า อาการนี้อาจทำให้หลายคนกังวลใจว่าภายในร่างกายของตนเองกำลังมีอะไรผิดปกติอยู่หรือไม่ โดยเฉพาะในผู้ที่อาการเกิดขึ้นอย่างกะทันหันโดยไม่ทราบสาเหตุ การเรียนรู้ถึงสาเหตุที่อาจเป็นไปได้และวิธีรับมือเอาไว้จึงน่าจะเป็นตัวช่วยให้ผู้ที่มีอาการจัดการตัวเองได้ดีขึ้น

อาการก้มแล้วปวดหัวเป็นอาการที่สามารถเกิดได้จากหลายสาเหตุ ตั้งแต่การขาดน้ำของร่างกาย ภาวะไซนัสอักเสบ ไปจนถึงการเกิดเนื้องอกในสมอง ซึ่งแต่ละสาเหตุก็จะมีความรุนแรงและอาการแสดงร่วมที่แตกต่างกันไป โดยบางคนอาจดีขึ้นได้เองจากการดูแลตัวเอง ในขณะที่บางคนอาจจำเป็นต้องไปพบแพทย์เพื่อรับการตรวจตั้งแต่เนิ่น ๆ

ก้มแล้วปวดหัว

สาเหตุของอาการก้มแล้วปวดหัว

ก้มแล้วปวดหัวเป็นอาการที่สามารถเกิดได้จากหลายสาเหตุ เช่น

1. ไซนัสอักเสบ

ไซนัสคือโพรงอากาศที่อยู่บริเวณใบหน้า ซึ่งตำแหน่งที่สามารถพบได้ก็ได้แก่ บริเวณหน้าผาก ระหว่างดวงตาทั้งสองข้าง ด้านข้างจมูกทั้งสองข้าง และชั้นลึกในกะโหลก โดยหน้าที่ของไซนัสก็จะมีอยู่ด้วยกันหลายอย่าง เช่น สร้างเยื่อเมือกเพื่อรักษาความชุ่มชื้นให้บริเวณจมูก และคอยดักจับสิ่งแปลกปลอมต่าง ๆ

ภาวะไซนัสอักเสบ จะเป็นภาวะที่เกิดขึ้นเมื่อเยื่อบุบริเวณไซนัสเกิดการอักเสบและบวมจากการติดเชื้อ ซึ่งสาเหตุก็อาจเป็นได้ทั้งเชื้อแบคทีเรีย เชื้อไวรัส และสารก่อภูมิแพ้ต่าง ๆ จนมีสารคัดคลั่งไปสะสมอยู่เป็นปริมาณมาก ดังนั้น ไซนัสที่ควรจะมีลักษณะเป็นโพรงอากาศ แต่มีอาการบวมและมีสารคัดหลั่งไปสะสมอยู่ ก็อาจจะส่งผลให้ผู้ที่ป่วยรู้สึกแน่นที่ใบหน้า และจะยิ่งรู้สึกหนักศีรษะมากขึ้นขณะโน้มตัวไปข้างหน้า

ผู้ที่มีอาการปวดหัวจากไซนัสอักเสบมักจะรู้สึกปวดบริเวณด้านหลังดวงตา โหนกแก้ม หน้าผาก หรือบริเวณจมูก ซึ่งอาการจะยิ่งรุนแรงขึ้นเมื่อก้มหน้าลงหรือเมื่อหันหน้าไปทิศทางใดทิศทางหนึ่งอย่างฉับพลัน 

นอกจากนี้ อาการอื่น ๆ ของภาวะไซนัสอักเสบที่มักเกิดขึ้นร่วมกับอาการปวดหัวก็เช่น อาการคัดจมูก น้ำมูกไหล น้ำมูกมีลักษณะข้นจับตัวกันหนา น้ำตาไหลมาก อ่อนเพลียผิดปกติ ไอ และเจ็บคอ

2. ไมเกรน

ไมเกรนเป็นอาการปวดหัวชนิดหนึ่งที่ผู้ที่ป่วยจะรู้สักปวดหัวอย่างรุนแรงในลักษณะปวดแบบตุบ ๆ โดยอาการปวดหัวอาจจะเกิดขึ้นเพียงข้างใด ๆ ข้างหนึ่ง หรืออาจเกิดขึ้นทั้งสองข้างก็ได้ ซึ่งผู้ป่วยกลุ่มนี้มักพบว่า อาการปวดหัวจะยิ่งรุนแรงขึ้นเมื่อก้มหน้า เนื่องจากการก้มหน้าอาจส่งผลให้เกิดแรงดันภายในศีรษะมากขึ้น

นอกจากอาการปวดหัวแล้ว ผู้ป่วยในกลุ่มนี้จะยังมักพบอาการอื่น ๆ ในลักษณะดังต่อไปนี้ร่วมด้วย เช่น คลื่นไส้ อาเจียน ไวต่อเสียงอย่างรุนแรง และไวต่อแสงอย่างรุนแรง ซึ่งอาการอาจเกิดขึ้นนานตั้งแต่หลายชั่วโมงไปจนถึงหลายวัน

นอกจากนี้ ผู้ป่วยในกลุ่มนี้บางคนยังอาจพบอาการบางอย่างในลักษณะคล้ายกับสัญญาณเตือนก่อนจะเกิดอาการปวดหัวร่วมด้วย ซึ่งอาจเกิดขึ้นก่อนมีอาการปวดหัวประมาณ 5–60 นาที หรือบางคนก็อาจเกิดพร้อมไปกับอาการปวดหัว เช่น กล้ามเนื้ออ่อนแรง อาการผิดปกติเกี่ยวกับการมองเห็น และได้ยินเสียงดังในหู

3. อาการไอ

ในบางครั้งอาการก้มแล้วปวดหัวก็อาจเกิดขึ้นได้จากอาการไอ การจาม หรือการหัวเราะได้ เนื่องจากในขณะที่เกิดอาการเหล่านี้ ภายในศีรษะจะเกิดแรงดันที่เพิ่มขึ้นมาและนำไปสู่อาการปวดหัวได้ แต่อาการของผู้ป่วยในกลุ่มนี้ส่วนใหญ่มักเกิดขึ้นเพียงชั่วคราวเพียงไม่กี่นาที หรืออาจเพียงไม่กี่ชั่วโมงเท่านั้น และอาการปวดหัวจะค่อย ๆ ดีขึ้นได้เอง

ผู้ป่วยในกลุ่มนี้มักพบว่าอาการปวดหัวมักเกิดขึ้นพร้อมกันทั้งสองข้าง แต่อาจจะปวดมากบริเวณด้านหลังของศีรษะ โดยอาการปวดหัวจะเกิดขึ้นเนื่องจากการไอในทุก ๆ ครั้งจะกล้ามเนื้อที่หน้าอกและคอจะต้องทำงานหนัก อีกทั้งยังอาจส่งผลให้แรงดันในศีรษะมากขึ้นด้วย ผู้ที่ไอมีอาการไอเรื้อรังจึงอาจมีอาการปวดศีรษะซึ่งอาจปวดรุนแรงขึ้นขณะก้มได้

4. ภาวะขาดน้ำ

ภาวะขาดน้ำเป็นภาวะที่ร่างกายมีปริมาณน้ำไม่เพียงพอต่อความต้องการต่อระบบการทำงานต่าง ๆ ซึ่งอาจเกิดได้จากทั้งการดื่มน้ำไม่เพียงพอ และการสูญเสียน้ำในปริมาณมาก เช่น การอาเจียน การท้องเสีย โดยผู้ป่วยในกลุ่มนี้มักพบว่า อาการปวดหัวจะค่อย ๆ ดีขึ้นหลังจากที่ดื่มน้ำให้มากขึ้นและพักผ่อนร่างกายให้เพียงพอ

โดยการที่ร่างกายขาดน้ำก็อาจจะส่งผลให้เกิดอาการปวดหัวได้ ซึ่งอาการก็จะยิ่งรุนแรงขึ้นขณะก้มหน้า เนื่องจากการก้มหน้าอาจส่งผลให้แรงดันในสมองเพิ่มมากขึ้น อีกทั้งยังส่งผลให้เลือดไหลเวียนได้ลำบาก นอกจากนี้ ภาวะขาดน้ำยังเป็นอีกหนึ่งปัจจัยที่อาจเพิ่มความเสี่ยงต่อการเกิดไมเกรน หรืออาจกระตุ้นให้ผู้ที่ป่วยเป็นไมเกรนอยู่แล้วมีอาการที่แย่ลงได้อีกด้วย

อาการปวดหัวของผู้ป่วยในกลุ่มนี้มักจะยิ่งรุนแรงขึ้นเมื่อผู้ป่วยก้มหน้าลง เดิน หรือขณะหัวหน้าไปทิศทางใดทิศทางหนึ่ง รวมถึงมักเกิดขึ้นร่วมกับอาการอื่น ๆ เช่น เวียนหัว อ่อนเพลีย ปัสสาวะมีสีเข้ม ปัสสาวะน้อยลง กระหายน้ำผิดปกติ และปากแห้ง

5. อาการปวดศีรษะจากความผิดปกติของกระดูกคอ

ในบางครั้ง อาการก้มแล้วปวดหัวก็อาจเป็นผลมาจากความผิดปกติของกระดูกคอได้ เช่น กระดูกคอเสื่อม หมอนรองกระดูกคอเคลื่อน หรือบางทีก็เกิดจากอุบัติเหตุต่าง ๆ ที่คอ ซึ่งอาการปวดหัวของผู้ป่วยกลุ่มนี้ก็อาจจะยิ่งแย่ลงขณะที่ก้มหน้าได้เช่นกัน

ส่วนอาการอื่น ๆ ของผู้ป่วยกลุ่มนี้ก็เช่น รู้สึกตึงบริเวณลำคอ ปวดที่ศีรษะหน้าใบหน้าข้างใดข้างหนึ่ง ปวดรอบ ๆ ดวงตา และปวดหัวมากขึ้นขณะไอหรือจาม

6. เนื้องอกในสมอง

เนื้องอกในสมองคือก้อนเนื้อบริเวณสมอง ซึ่งอาจเป็นได้ทั้งก้อนเนื้อที่ไม่ใช่เนื้อร้าย และก้อนเนื้อมะเร็ง ที่เจริญเติบโตผิดปกติมาจากเซลล์บริเวณสมอง โดยการเกิดก้อนเนื้อในสมองจะส่งผลให้ภายในศีรษะเกิดแรงดันมากขึ้น จนผู้ที่ป่วยมักเกิดอาการก้มแล้วปวดหัวบ่อย ๆ ได้

ผู้ป่วยในกลุ่มนี้มักจะพบว่าอาการก้มแล้วปวดหัวจะค่อย ๆ เกิดขึ้นอย่างช้า ๆ เป็นระยะเวลานาน และมักจะมีความรุนแรงผิดปกติในช่วงเช้าของวัน รวมถึงมักพบอาการอื่น ๆ ในลักษณะดังต่อไปนี้ร่วมด้วย เช่น ชัก พูดลำบาก มีปัญหาเกี่ยวกับการได้ยิน มีปัญหาเกี่ยวกับการมองเห็น รู้สึกชาบริเวณใบหน้า มีปัญหาเกี่ยวกับการทรงตัว และบุคลิกภาพเปลี่ยนไป

วิธีรับมือกับอาการก้มแล้วปวดหัว

ในเบื้องต้น ผู้ที่มีอาการก้มแล้วปวดหัวอาจจะลองนำวิธีดูแลตัวเองดังต่อไปนี้ไปปรับใช้ เพื่อช่วยบรรเทาอาการปวด ได้แก่

  • พยายามดื่มน้ำให้เพียงพอ หรือวันละประมาณ 6–8 แก้ว
  • ผู้ที่เป็นไซนัสอักเสบอาจจะลองล้างจมูกด้วยน้ำเกลือ 
  • นอนหลับพักผ่อนให้เพียงพอ หรืออย่างน้อยประมาณ 7 ชั่วโมง
  • ควบคุมความเครียด เช่น อาจจะเลือกเล่นกีฬาหรือทำงานอดิเรกที่ชอบทำเพื่อผ่อนคลาย
  • ผู้ที่เป็นไมเกรนควรสำรวจตัวเองว่าปัจจัยใดที่เป็นตัวกระตุ้นให้เกิดอาการปวดหัว และพยายามหลีกเลี่ยงปัจจัยนั้น
  • สำหรับผู้ที่มีอาการตึงบริเวณคอ อาจจะใช้วิธีประคบเย็น หรือประคบอุ่น เพื่อบรรเทาอาการตึงที่คอ
  • กำจัดเวลาการใช้งานอุปกรณ์อิเล็กทรอนิกส์ต่าง ๆ ไม่ว่าจะเป็นโทรศัพท์ โทรทัศน์ และคอมพิวเตอร์
  • หากกำลังป่วยเป็นโรคใด ๆ อยู่ ให้ดูแลตัวเองตามคำแนะนำของแพทย์อย่างเคร่งครัด เช่น ผู้ป่วยไมเกรนก็ควรหลีกเลี่ยงตัวกระตุ้นที่อาจส่งผลให้อาการแย่ลง อย่างการอยู่ในที่เสียงดัง หรือมีแสงจ้ามาก ๆ
  • รับประทานยาแก้ปวดเพื่อบรรเทาอาการ แต่ก่อนใช้ควรอ่านฉลากยาให้ดี และปรึกษาเภสัชกรหรือแพทย์ก่อน เพื่อป้องกันผลข้างเคียงจากการใช้ยาและความปลอดภัยต่อร่างกาย

ทั้งนี้ วิเหล่านี้เป็นเพียงวิธีดูแลตัวเองในเบื้องต้นเท่านั้น หากอาการก้มแล้วปวดหัวยังไม่ดีขึ้น แย่ลง หรือกลับมาเกิดซ้ำ ๆ ผู้ที่มีอาการก็ควรไปพบแพทย์เพื่อรับการตรวจที่เหมาะสมตั้งแต่เนิ่น ๆ

อย่างไรก็ตาม ผู้ที่มีอาการก้มแล้วปวดหัวควรรีบไปพบแพทย์เพื่อรับการตรวจทันที หากเห็นว่าตนเองมีอาการที่อาจเป็นสัญญาณของโรคหรือภาวะผิดปกติรุนแรงในลักษณะดังต่อไปนี้ ได้แก่ มีปัญหาเกี่ยวกับการมองเห็น คลื่นไส้ อาเจียน กล้ามเนื้ออ่อนแรง ชัก มีปัญหาเกี่ยวกับการใช้ความคิด หรือเกิดการเปลี่ยนแปลงทางอารมณ์โดยไม่ทราบสาเหตุ