ตกขาวมีกลิ่นเป็นปัญหาที่ทำให้สาว ๆ กังวลและส่งผลต่อความมั่นใจในตัวเอง ซึ่งอาการตกขาวมีกลิ่นมักเป็นสัญญาณของการติดเชื้อบริเวณช่องคลอด ไม่ว่าจะเป็นการติดเชื้อรา การติดเชื้อแบคทีเรีย หรือแม้แต่โรคติดต่อทางเพศสัมพันธ์ โดยแต่ละสาเหตุอาจทำให้ตกขาวมีกลิ่นที่ต่างกัน แต่บางครั้งกลิ่นของตกขาวที่เปลี่ยนไปก็อาจเป็นเพียงการเปลี่ยนแปลงชั่วคราวของร่างกายได้เช่นกัน
ถึงอย่างนั้นก็ไม่ควรชะล่าใจ เพราะหากอาการตกขาวมีกลิ่นเกิดจากการติดเชื้อบริเวณช่องคลอดแล้วไม่ได้รับการรักษาที่เหมาะสมอาจนำไปสู่ภาวะแทรกซ้อนที่รุนแรงขึ้น โดยบทความนี้จะพาสาว ๆ ไปดูสาเหตุที่พบได้บ่อยของปัญหาตกขาวมีกลิ่น พร้อมวิธีสังเกตและวิธีป้องกัน
ตกขาว (Vaginal Discharge) เป็นสารคัดหลั่งตามธรรมชาติของร่างกาย มีลักษณะเป็นมูกใส ไม่มีสี ไม่มีกลิ่น มีสัมผัสที่ลื่นและยืดหยุ่น โดยมีหน้าที่รักษาความชุ่มชื้นภายในช่องคลอด ปรับสมดุลสภาพกรดด่างของพื้นผิวในช่องคลอดเพื่อช่วยรับมือกับเชื้อโรคและสิ่งแปลกปลอม ดังนั้น เมื่อตกขาวมีกลิ่นและมีสีที่เปลี่ยนไปอาจเป็นสัญญาณของปัญหาสุขภาพได้
สาเหตุของตกขาวมีกลิ่นและวิธีสังเกต
ปัญหาตกขาวมีกลิ่นเกิดจากหลายสาเหตุ ดังนี้
1. ภาวะช่องคลอดอักเสบจากเชื้อแบคทีเรีย (Bacterial Vaginosis)
ภาวะช่องคลอดอักเสบจากเชื้อแบคทีเรียเป็นการติดเชื้อภายในช่องคลอดที่พบได้บ่อย ทำให้มีตกขาวผิดปกติ โดยจะสังเกตเห็นตกขาวสีเทาหรือสีขาว อาจมีลักษณะเป็นน้ำ เป็นฟอง หรือเป็นแผ่น มีกลิ่นเหม็นคล้ายกลิ่นคาวปลาและกลิ่นมักรุนแรงขึ้นหลังมีเพศสัมพันธ์ แต่บางรายอาจไม่แสดงอาการ
อย่างไรก็ตาม ภาวะช่องคลอดอักเสบจากเชื้อแบคทีเรียไม่ใช่โรคติดต่อทางเพศสัมพันธ์ แต่เป็นภาวะที่เกิดจากการเสียสมดุลของช่องคลอด ส่งผลให้เชื้อแบคทีเรียชนิดไม่ดีมีจำนวนเพิ่มขึ้น เนื่องจากปัจจัยบางอย่าง หากมีอาการในข้างต้น ควรไปพบแพทย์เพื่อรับการรักษาอย่างเหมาะสม
2. โรคเชื้อราในช่องคลอด
โรคเชื้อราในช่องคลอดเป็นการติดเชื้อในช่องคลอดอีกชนิดที่พบได้บ่อย สาเหตุของโรคนี้คล้ายกับภาวะช่องคลอดอักเสบจากเชื้อแบคทีเรีย แต่เป็นการเพิ่มจำนวนของเชื้อยีสต์หรือเชื้อราบางชนิดมากผิดปกติจนทำให้เกิดการติดเชื้อรา
อาการจากการติดเชื้อราในช่องคลอดมีอาการเด่น คือ ตกขาวเป็นก้อนแป้ง มีลักษณะข้นเหมือนแป้งเปียก จับตัวกันเหมือนนมบูด ร่วมกับมีอาการคันช่องคลอด บางรายอาจมีอาการแสบร้อนในช่องคลอด และตกขาวมีกลิ่นได้ในบางครั้ง อย่างไรก็ตาม โรคเชื้อราในช่องคลอดมักไม่รุนแรงและรักษาให้หายได้ จึงควรเข้ารับการรักษาทันทีที่พบอาการ เพื่อป้องกันอาการรุนแรงขึ้นและลดความเสี่ยงของภาวะแทรกซ้อน
3. โรคพยาธิในช่องคลอด (Trichomoniasis)
โรคพยาธิในช่องคลอดเป็นโรคติดต่อทางเพศสัมพันธ์ที่พบได้บ่อย มักเกิดจากการมีเพศสัมพันธ์กับคู่นอนที่เป็นโรคนี้ โดยอาการมักแสดงในผู้หญิงมากกว่าผู้ชาย ผู้ป่วยบางคนอาจมีพยาธิชนิดนี้ภายในช่องคลอด แต่ไม่แสดงอาการนานหลายเดือนจนถึงหลายปี
อาการที่พบได้จากโรคพยาธิในช่องคลอด คือ ตกขาวมีกลิ่นเหม็น ตกขาวเป็นฟองสีเขียวอมเหลือง เป็นหนอง คันอวัยวะเพศ เจ็บช่องคลอดขณะมีเพศสัมพันธ์และปัสสาวะ เลือดออกไหลออกจากช่องคลอดขณะมีเพศสัมพันธ์ และปัสสาวะบ่อย หากพบสัญญาณของโรคนี้ ควรไปพบแพทย์เพื่อรับการรักษา เพราะหากปล่อยทิ้งไว้อาจเพิ่มความเสี่ยงของภาวะมีลูกยาก การติดเชื้อเอชไอวี และโรคมะเร็งปากมดลูก
4. สาเหตุอื่นของตกขาวมีกลิ่น
ปัญหาเรื่องกลิ่นใต้ร่มผ้าอาจไม่ได้มาจากการติดเชื้อต่าง ๆ เพียงอย่างเดียว แต่อาจเกิดจากสาเหตุอื่น ๆ เช่น
- ขาดสุขอนามัยในการดูแลความสะอาดช่องคลอด
- มีเหงื่อออกมากบริเวณใต้ร่มผ้า
- ลืมสิ่งของไว้ภายในช่องคลอด เช่น ผ้าอนามัยแบบสอด ฟองน้ำอนามัย และฝาครอบปากมดลูกสำหรับคุมกำเนิด (Diaphragms) เป็นต้น
- แพ้น้ำหอม สบู่ หรือสารระคายเคืองอื่น ๆ
- ภาวะช่องคลอดอักเสบจากการขาดฮอร์โมนเอสโตรเจน (Atrophic Vaginitis)
- ภาวะกลั้นปัสสาวะไม่อยู่ ซึ่งในปัสสาวะมีสารแอมโมเนียที่มีกลิ่นฉุน
นอกจากนี้ การมีเพศสัมพันธ์ ภาวะหมดประจำเดือน และการกินอาหารหมักดองที่มีจุลินทรีย์เป็นส่วนประกอบอาจทำให้เกิดกลิ่นไม่พึงประสงค์ใต้ร่มผ้าได้ แต่ส่วนมากไม่เป็นอันตรายและหายได้เอง อย่างไรก็ตาม หากลักษณะของตกขาวผิดปกติ ตกขาวมีกลิ่นเหม็น ร่วมกับอาการเจ็บขณะมีเพศสัมพันธ์ ปัสสาวะแสบขัด แสบร้อนช่องคลอดและอวัยวะเพศ มีเลือดออก หรือเป็นแผลพุพอง ควรไปพบแพทย์ทันที
ตกขาวมีกลิ่น ป้องกันได้อย่างไร
อาการตกขาวมีกลิ่นและกลิ่นไม่พึงประสงค์เกิดได้จากหลายสาเหตุและปัจจัย แต่สิ่งที่ส่งผลให้เกิดการติดเชื้อมักมาจากการเสียสมดุลของจุลินทรีย์ตามธรรมชาติที่อาศัยภายในช่องคลอด อย่างเชื้อแบคทีเรียและเชื้อรา โดยวิธีต่อไปนี้อาจช่วยรักษาสมดุลจุลินทรีย์และลดความเสี่ยงของปัญหาตกขาวมีกลิ่นและกลิ่นไม่พึงประสงค์ใต้ร่มผ้าได้
- รักษาความสะอาดของร่างกาย โดยเฉพาะบริเวณใต้ร่มผ้า
- งดการสวนล้าง ฟอกสบู่ ฉีดน้ำหอมหรือสเปรย์ดับกลิ่นเข้าไปในช่องคลอดและบริเวณอวัยวะเพศ เพราะจะทำให้จุลินทรีย์ในช่องคลอดเสียสมดุลและเพิ่มความเสี่ยงของการติดเชื้อ
- สวมกางเกงชั้นในที่แห้ง สะอาด และระบายอากาศได้ดี
- หลีกเลี่ยงการสวมกางเกงที่คับหรือรัดแน่นจนเกินไป
- ศึกษาวิธีการมีเพศสัมพันธ์อย่างปลอดภัย ไม่ควรเปลี่ยนคู่นอนบ่อย และใช้ถุงยางอนามัยทุกครั้งที่มีเพศสัมพันธ์
- เข้ารับการตรวจสุขภาพเพศหญิงตามเวลาที่กำหนด
- ปรึกษาแพทย์เมื่อพบอาการผิดปกติเกี่ยวกับตกขาวและช่องคลอด
หากไปพบแพทย์เนื่องจากตกขาวมีกลิ่นหรือความผิดปกติอื่นแล้วแพทย์สั่งจ่ายยามาให้ ควรใช้ยาตามที่แพทย์สั่ง โดยเฉพาะยาในกลุ่มของยาฆ่าเชื้อ อย่างยาต้านเชื้อราและยาฆ่าเชื้อแบคทีเรีย เพราะการใช้ยาผิดวิธี หยุดยาเองและใช้ยาไม่ต่อเนื่อง อาจทำให้การติดเชื้อรุนแรงและรักษาได้ยากขึ้น แต่หากใช้ยาครบตามที่แพทย์สั่ง แต่อาการไม่ดีขึ้นหรือไม่หาย ควรกลับไปพบแพทย์เพื่อตรวจอีกครั้ง