ข่าวสารเกี่ยวกับความสำเร็จในการผลิตคิดค้นและทดสอบประสิทธิภาพของวัคซีนโควิด-19 (COVID-19) ที่มีมาอย่างต่อเนื่อง ทำให้คนทั่วโลกเริ่มมีความหวังในการพิชิตการแพร่ระบาดของเชื้อไวรัสโคโรนา ซึ่งหลายประเทศได้ทยอยรับวัคซีนที่ผ่านการอนุมัติและฉีดให้ประชาชนบางส่วน จึงเชื่อกันว่าการฉีดวัคซีนโควิด-19 จะช่วยลดจำนวนผู้ติดเชื้อ และทำให้สถานการณ์ดีขึ้นจนสามารถกลับไปใช้ชีวิตได้ตามปกติในเร็ว ๆ นี้
ขณะนี้ ประเทศไทยอยู่ระหว่างขั้นตอนในการผลิตและจัดหาวัคซีนโควิด-19 เพื่อให้เพียงพอและครอบคลุมต่อจำนวนประชากรไทย ทั้งนี้ เชื่อว่าหลายคนอาจมีข้อสงสัยเกี่ยวกับการฉีดวัคซีนโควิด-19 จากการรับข่าวสารหลายแหล่งที่ให้ข้อมูลที่คลาดเคลื่อนไปจากความเป็นจริง บทความนี้จึงได้รวบรวมคำถามและคำตอบที่หลายคนสงสัยเกี่ยวกับการฉีดวัคซีนโควิด-19 มาฝากกัน
ถาม-ตอบเรื่องวัคซีนโควิด-19
ข้อมูลเกี่ยวกับวัคซีนโควิด-19 ที่ยังไม่แน่ชัด ทั้งเรื่องประสิทธิภาพและผลข้างเคียงของวัคซีน รวมทั้งการดูแลตนเองหลังได้รับวัคซีน ซึ่งอาจสร้างความสับสนและความเข้าใจผิด ข้อมูลเหล่านี้อาจเป็นคำตอบที่ช่วยคลายความสงสัยให้คุณได้
1. ผู้ที่เคยติดเชื้อโควิด-19 จำเป็นต้องได้รับวัคซีนโควิด-19 อีกหรือไม่
ร่างกายของผู้ที่ได้รับเชื้อโควิด-19 สามารถสร้างภูมิคุ้มกันตามธรรมชาติ (Natural Immunity) ขึ้นได้ แต่ยังไม่มีผลการศึกษายืนยันได้อย่างแน่ชัดว่าภูมิคุ้มกันนี้สามารถป้องกันการติดเชื้อโควิด-19 ซ้ำในภายหลัง เนื่องจากภูมิคุ้มกันตามธรรมชาติของแต่ละคนอาจแตกต่างกัน และสันนิษฐานว่าภูมิคุ้มกันนี้มักไม่สามารถอยู่ในร่างกายได้นาน จึงอาจต้องรอผลการศึกษาเพิ่มเติมในอนาคต
แม้จำนวนการติดเชื้อซ้ำของผู้ป่วยโควิด-19 จะพบได้น้อย และมักไม่พบผู้ป่วยที่ติดเชื้อซ้ำหลังการติดเชื้อครั้งแรกภายในระยะเวลา 90 วัน แต่นักวิทยาศาตร์เชื่อว่าการฉีดวัคซีนอาจให้ประสิทธิภาพการป้องกันโควิด-19 ได้ดีกว่าภูมิคุ้มกันตามธรรมชาติ ดังนั้น ทุกคนจึงควรได้รับวัคซีนแม้จะเป็นผู้ที่เคยติดเชื้อโควิด-19 มาก่อน เพื่อป้องกันตัวเองและคนรอบข้างจากการติดเชื้อโควิด-19 ได้อย่างมีประสิทธิภาพยิ่งขึ้น
ทั้งนี้ ผู้ที่มีอาการของโควิด-19 ผู้ที่อยู่ในช่วงกักตัว (Quarantine) หลังสัมผัสใกล้ชิดกับผู้ที่มีเชื้อโควิด-19 และผู้ที่ตรวจพบเชื้อโควิด-19 ภายในระยะเวลา 90 วัน ยังไม่ควรได้รับวัคซีน
2. ประสิทธิภาพการป้องกันของวัคซีนโควิด-19 อยู่ได้นานเท่าไร
ผลการวิจัยของบริษัทไฟเซอร์-ไบออนเทค (Pfizer-BioNTech) และบริษัทโมเดอร์นา (Moderna) ซึ่งเริ่มศึกษาและทดลองวัคซีนโควิด-19 ในช่วงปลายเดือนกรกฎาคม พ.ศ. 2563 ระบุว่า วัคซีนโควิด-19 มีประสิทธิภาพการป้องกันเชื้อโควิด-19 ได้ยาวนาน แต่ยังไม่สามารถระบุระยะเวลาที่แน่ชัดได้ การศึกษาประสิทธิภาพของวัคซีนจึงอยู่ในขั้นตอนของการติดตามผลในระยะยาว
3. การฉีดวัคซีนโควิด-19 ทำให้เกิดผลข้างเคียงต่อร่างกายอย่างไรบ้าง
วัคซีนโควิด-19 แต่ละชนิดอาจทำให้เกิดผลข้างเคียงที่แตกต่างกัน และผู้ได้รับวัคซีนแต่ละคนอาจเกิดผลข้างเคียงที่ไม่เหมือนกันได้ขึ้นอยู่กับปัจจัยทางสุขภาพ โดยทั่วไปมักพบผลข้างเคียงในระดับที่ไม่รุนแรงนัก เช่น อาจมีอาการปวดบวมบริเวณที่ฉีดวัคซีน ปวดศีรษะ ปวดกล้ามเนื้อ อ่อนเพลีย มีไข้ และในบางกรณีอาจกระทบต่อการทำกิจกรรมต่าง ๆ ในชีวิตประจำวัน ซึ่งเป็นผลข้างเคียงที่เกิดจากระบบภูมิคุ้มกันในร่างกายตอบสนองต่อวัคซีน นอกจากนี้ ผู้ได้รับวัคซีนบางรายอาจพบอาการแพ้ยาได้ แต่เป็นผลข้างเคียงที่พบได้น้อย
ทั้งนี้ อาการเหล่านี้มักดีขึ้นภายใน 1–2 วันหลังฉีดวัคซีน หากรู้สึกปวดหรือบวมอาจช่วยบรรเทาอาการด้วยการประคบเย็นและการออกกำลังกายแขน ในกรณีที่มีไข้ควรดื่มน้ำให้มากขึ้น สวมเสื้อผ้าที่ใส่สบาย และปรึกษาแพทย์ก่อนการรับประทานยาแก้ปวด อย่างยาพาราเซตามอล อย่างไรก็ตาม ควรไปพบแพทย์หากรู้สึกเจ็บหรือมีอาการบวมแดงมากขึ้นในบริเวณที่ฉีดวัคซีนภายใน 24 ชั่วโมงหลังได้รับวัคซีน หรืออาการต่าง ๆ ไม่ดีขึ้นภายใน 2 วัน
4. วัคซีนโควิด-19 ต้องฉีดกี่เข็ม สามารถฉีดวัคซีนต่างชนิดกันได้หรือไม่
ขณะนี้มีวัคซีนโควิด-19 ชนิดที่ได้รับการอนุมัติ (Authorization) และใช้ฉีดให้ประชาชนแล้วบางส่วน ซึ่งมักฉีดเป็นจำนวน 2 เข็ม โดยวัคซีนเข็มแรกฉีดเพื่อสร้างภูมิคุ้มกัน และจำเป็นต้องฉีดวัคซีนเข็มที่สองหลังจากได้รับวัคซีนเข็มแรกประมาณ 3–4 สัปดาห์ เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพการป้องกันเชื้อโควิด-19
วัคซีนโควิด-19 แต่ละประเภทมีกำหนดระยะเวลาการฉีดวัคซีนที่แตกต่างกัน โดยไม่ควรฉีดวัคซีนเข็มที่สองก่อนระยะเวลาที่กำหนด ดังนี้
- วัคซีนโควิด-19 ของบริษัทไฟเซอร์-ไบออนเทค ฉีดจำนวน 2 เข็ม โดยการฉีดเข็มที่สองให้เว้นระยะเวลาหลังจากได้รับวัคซีนเข็มแรกอย่างน้อย 21 วัน หรือ 3 สัปดาห์
- วัคซีนโควิด-19 ของบริษัทโมเดอร์นา ฉีดจำนวน 2 เข็ม โดยการฉีดเข็มที่สองให้เว้นระยะเวลาหลังจากได้รับวัคซีนเข็มแรกอย่างน้อย 28 วัน หรือประมาณ 1 เดือน
ทั้งนี้ บางประเทศอาจเกิดกรณีที่วัคซีนเข็มที่สองไม่เพียงพอต่อจำนวนประชากร หรือไม่ได้มีการจดบันทึกชนิดของวัคซีนเข็มแรกที่ได้รับ ซึ่งอาจส่งผลให้บางคนได้รับวัคซีนต่างชนิดกัน อย่างไรก็ตาม การฉีดวัคซีนโควิด-19 ทั้ง 2 เข็มควรฉีดวัคซีนประเภทเดียวกัน เพื่อประสิทธิภาพสูงสุดของวัคซีน
5. วัคซีนโควิด-19 สามารถฉีดพร้อมกับวัคซีนอื่นได้หรือไม่
ไม่ควรฉีดวัคซีนโควิด-19 ร่วมกับวัคซีนอื่น เช่น วัคซีนไข้หวัดใหญ่ หรือวัคซีนงูสวัด ภายในระยะเวลา 14 วันหลังได้รับวัคซีนโควิด-19 เช่นเดียวกับกรณีที่ได้รับวัคซีนอื่นมาก่อน ควรเว้นระยะเวลาก่อนการฉีดวัคซีนโควิด-19 เป็นเวลาอย่างน้อย 14 วัน
ทั้งนี้ หากได้รับวัคซีนโควิด-19 ร่วมกับวัคซีนอื่นภายในระยะเวลา 14 วัน ไม่จำเป็นต้องเริ่มฉีดวัคซีนโควิด-19 เข็มแรกใหม่อีกครั้ง โดยให้ฉีดวัคซีนโควิด-19 เข็มต่อไปให้ครบตามระยะเวลาที่กำหนด
6. หลังได้รับวัคซีนโควิด-19 จำเป็นต้องป้องกันโรคด้วยวิธีอื่นหรือไม่
แม้จะได้รับวัคซีนโควิด-19 แล้ว แต่การสวมหน้ากากอนามัย หมั่นล้างมือและเว้นระยะห่างจากผู้อื่นประมาณ 1–2 เมตร ยังเป็นสิ่งจำเป็นที่ควรปฏิบัติเพื่อป้องกันการแพร่ระบาดของเชื้อโควิด-19
เนื่องจากการฉีดวัคซีนโควิด-19 มีระยะเวลาการฉีดระหว่างเข็มแรกและเข็มที่สองห่างกันประมาณ 3–4 สัปดาห์ ซึ่งหลังได้รับวัคซีนเข็มแรกแล้ว ร่างกายจะยังไม่สามารถสร้างภูมิคุ้มกันโรคโควิด-19 ได้ทันที และอาจใช้เวลาอย่างน้อย 7–10 วัน ในการสร้างแอนติบอดี้หรือโปรตีนชนิดหนึ่งที่สร้างจากระบบภูมิคุ้มกันเพื่อกำจัดเชื้อโรคและสิ่งแปลกปลอมในร่างกาย หลังจากนั้นประมาณ 2–3 สัปดาห์ แอนติบอดี้จึงจะเพิ่มจำนวนขึ้นและป้องกันร่างกายจากการติดเชื้อโควิด-19 ได้อย่างมีประสิทธิภาพ
นอกจากนี้ การศึกษาและผลิตวัคซีนโควิด-19 อาจช่วยป้องกันการเกิดอาการรุนแรงหรือการเสียชีวิตจากโควิด-19 ได้ แต่การทดสอบประสิทธิภาพในผู้ป่วยที่ไม่มีอาการอาจยังต้องรอผลการศึกษาเพิ่มเติมต่อไป และการฉีดวัคซีนโควิด-19 ให้ครอบคลุมจำนวนประชากรอาจต้องใช้ระยะเวลา ดังนั้น หากเราไม่ทราบว่าคนรอบข้างได้รับวัคซีนแล้วหรือไม่ การรับผิดชอบต่อตัวเองและสังคมด้วยการสวมหน้ากากอนามัย ล้างมือ และเว้นระยะห่างทางสังคมจึงเป็นสิ่งที่ควรปฏิบัติต่อไปอย่างเคร่งครัด
7. วัคซีนโควิด-19 มีความปลอดภัยหรือไม่
วัคซีนโควิด-19 ชนิดที่นำมาใช้แล้วได้ผ่านการอนุมัติจากองค์การอาหารและยาแห่งสหรัฐอเมริกา (FDA) ให้ใช้ในกรณีฉุกเฉิน (Emergency Use Authorization : EUA) ซึ่งจะต้องผ่านเกณฑ์มาตรฐานความปลอดภัยจากการประเมินข้อมูลของผู้ผลิต และผลการทดสอบทางคลินิก (Clinical Trials) ขนาดใหญ่ เพื่อยืนยันประสิทธิภาพและความปลอดภัยของวัคซีน ดังนี้
- ผู้ผลิตวัคซีนต้องติดตามประสิทธิภาพของวัคซีนในกลุ่มตัวอย่างเป็นจำนวนอย่างน้อยครึ่งหนึ่งจากกลุ่มตัวอย่างทั้งหมด และติดตามเป็นเวลาอย่างน้อย 2 เดือนหลังกลุ่มตัวอย่างได้รับวัคซีนครบทั้ง 2 เข็ม
- วัคซีนต้องมีความปลอดภัยและมีประสิทธิภาพเพียงพอ โดยผ่านการประเมินจากองค์การอาหารและยาแห่งสหรัฐอเมริกา ศูนย์ควบคุมและป้องกันโรคแห่งสหรัฐอเมริกา (CDC) และอนุกรรมการสร้างเสริมภูมิคุ้มกันโรค (Advisory Committee on Immunization Practice : ACIP)
ทั้งนี้ วัคซีนโควิด-19 ทุกชนิดที่นำมาใช้ในประเทศไทยต้องผ่านการขึ้นทะเบียนจากสำนักงานคณะกรรมการอาหารและยา หรืออย. เพื่อรับรองความปลอดภัยและประสิทธิภาพของวัคซีน แม้วัคซีนนั้นจะผ่านการขึ้นทะเบียนกับหน่วยงานสาธารณสุขจากต่างประเทศแล้วก็ตาม ซึ่งหลังผ่านการอนุมัติให้ใช้ในภาวะฉุกเฉิน จะมีระบบการกำกับติดตามและเฝ้าระวังความปลอดภัยจากการใช้อย่างต่อเนื่อง
8. ผู้ที่มีโรคประจำตัวและหญิงตั้งครรภ์ฉีดวัคซีนได้อย่างปลอดภัยหรือไม่
ศูนย์ควบคุมและป้องกันโรคแห่งสหรัฐอเมริกาแนะนำให้ผู้สูงอายุที่มีอายุ 65 ปีขึ้นไป ผู้มีโรคประจำตัวที่มีอายุระหว่าง 16–64 ปี หญิงตั้งครรภ์ และผู้ที่ให้นมบุตร ควรรับวัคซีนโควิด-19 ชนิดที่ผ่านการอนุมัติจากองค์การอาหารและยาแห่งสหรัฐอเมริกา เนื่องจากเป็นผู้ที่มีความเสี่ยงในการติดเชื้อและเกิดอาการรุนแรงจากโควิด-19 ได้
ทั้งนี้ การฉีดวัคซีนโควิด-19 อาจมีข้อควรระวังดังต่อไปนี้
- ผู้มีโรคประจำตัว ได้แก่ ผู้ที่มีระบบภูมิคุ้มกันอ่อนแอ อย่างผู้ติดเชื้อเอชไอวี (HIV) ผู้ที่มีโรคภูมิต้านเนื้อเยื่อของตนเอง (Autoimmune Diseases) ผู้มีประวัติของกลุ่มอาการกิลแลง-บาร์เร (Guillan Barre Syndrome) และโรคใบหน้าอัมพาตครึ่งซีก (Bell's Palsy) ควรระมัดระวังในการฉีดวัคซีนโควิด-19 เนื่องจากการศึกษาความปลอดภัยของวัคซีนในกลุ่มคนเหล่านี้ยังไม่มีข้อมูลที่เพียงพอ
- หญิงตั้งครรภ์หรือกำลังให้นมบุตร เป็นกลุ่มเสี่ยงที่อาจติดเชื้อโควิด-19 ได้ง่าย และเชื้อโควิด-19 อาจส่งผลต่อทารกในครรภ์ได้ อย่างไรก็ตาม ผลการศึกษาด้านความปลอดภัยของวัคซีนโควิด-19 ในหญิงตั้งครรภ์และผู้ที่ให้นมบุตรยังไม่เพียงพอ จึงอาจต้องรอผลการศึกษาเพิ่มเติมในอนาคต
9. ผู้ที่มีอาการแพ้สามารถฉีดวัคซีนโควิด-19 ได้อย่างปลอดภัยหรือไม่
วัคซีนโควิด-19 สามารถก่อให้เกิดอาการแพ้ได้ในผู้ป่วยบางราย โดยอาจทำให้เกิดอาการไม่รุนแรง เช่น มีผื่นแดง มีอาการบวม และหายใจมีเสียง (Wheezing) ซึ่งมักเกิดขึ้นหลังการฉีดวัคซีนภายใน 4 ชั่วโมง หรือในบางกรณีอาจทำให้เกิดอาการแพ้อย่างรุนแรง (Anaphylaxis) ดังนั้น ศูนย์ควบคุมและป้องกันโรคแห่งสหรัฐอเมริกา จึงไม่แนะนำให้ผู้ที่มีอาการแพ้ส่วนประกอบใด ๆ ในวัคซีนโควิด-19 ได้รับวัคซีน รวมทั้งผู้ที่อาการแพ้หลังได้รับวัคซีนโควิด-19 เข็มแรก ไม่ควรได้รับวัคซีนเข็มที่สอง
นอกจากนี้ ผู้ที่มีอาการแพ้วัคซีนชนิดอื่นมาก่อน ควรปรึกษาแพทย์ก่อนการฉีดวัคซีนโควิด-19 และผู้ที่มีอาการของโรคภูมิแพ้อืน ๆ ที่ไม่ได้เกิดจากการแพ้วัคซีน เช่น แพ้อาหาร และแพ้สารก่อภูมิแพ้ในสภาพแวดล้อม อย่างไรฝุ่น ละอองเกสรพืช หรือสัตว์เลี้ยง สามารถฉีดวัคซีนโควิด-19 ได้
แม้ข้อมูลของวัคซีนโควิด-19 ในปัจจุบันอาจยังไม่เพียงพอในการยืนยันประสิทธิภาพและความปลอดภัย โดยยังต้องการผลการศึกษาเพิ่มเติมในอนาคต อย่างไรก็ตาม การฉีดวัคซีนเป็นวิธีที่สามารถป้องกันการแพร่ระบาดของไวรัสไปสู่ผู้อื่น และป้องกันการติดเชื้อที่ทำให้เกิดปัญหาสุขภาพในระยะยาวได้อย่างมีประสิทธิภาพ นอกจากนี้ การดูแลตนเองด้วยการล้างมือให้สะอาด สวมหน้ากากอนามัย และเว้นระยะห่างทางสังคม เป็นสิ่งที่ทุกคนควรปฏิบัติอยู่เสมอ เพื่อช่วยป้องกันการแพร่ระบาดของโรคโควิด-19 ได้ดียิ่งขึ้น
เผยแพร่ครั้งแรก 4 กุมภาพันธ์ 2564