ถามแพทย์

  • อยู่ต่างประเทศ เพิ่งมีอะไรกับผู้ชาย เสียใจมากค่ะ กังวัล โรค STD

  •  Phebi
    สมาชิก

    สวัสดีค่ะคุณหมอ เนื่องจากตอนนี้อยู่ที่เมกานะคะ แล้วเผอิญมีอะไรกับ ผช คนนึง เป็นคนเมกา เราก็ไม่่รู้อะไร หลังจาก มีอะไรกับเค้าก็รู้สึกเจ็บที่ตรงนั้นมาก ก็คิดว่าแค่ฉีกขาดธรรมดา แต่พอหลังจากนั้น ก็แบบ ฉี่แสบขัดมาก แล้วก็จะเจ็บเวลาที่ฉี่ ทรมานมากค่ะ เวลาจะสุด แล้วขมิบ แอบมีเลือดไหนมานิดนึด้วยค่ะ ทรมานสุดๆ เรบคิดว่าตัวเอง เป็นกระเพราะฉี่อักเสบ เรยกินยาแก้อักเสบ กิบน้ำเยอะๆ และก็กินแคนเบอรี่ค่ะ หลังจากนั้นตรงนั้นก็ยังแสบอยู่ จึงเอากระจกส่องดู พบว่า มีแผล แร้วรู้สึกเหมือนมีก้อนๆเป็นไตๆ แล้วก็พบแผลดังกล่าวที่หัวนมด้วย เสริชตามอินเทอร์เน็ต คิดเองว่าเป็นโรคเริม จึงพิมพ์กลับไปถาม ผู้าย เค้าบอกเค้าคลีน เราก็เชื่อค่ะ  ตัดสินใจไปซื้อยา แต่ที่นี่ไม่ขาย ต้องพบแพทย์ก่อน เราจึงตัดสินใจไปคลินิกเพื่อที่ว่าจะได้ไม่แพง หมอให้ยา ACYCLOVIR 800 MG ; 21 TABLETS and take 1 tablet 3 times (7 days) แต่ไม่ได้เอาเชื้อไปตรวจใดๆ ค่ะ จึงไม่รู้ว่า เป็น type 1 or 2  คือ อยากสอบถามว่า มันเป็นอันตรายมากมั้ยคะ สำหรับการเป็นเริม ไม่ว่าจะเป็น 1 หรือ 2 (กลับไปสอบถาม ผช เค้าบอกว่า 90 เปอร์เซ็น เป็น type 1 รวมทั้งตัวเค้าด้วย แต่เค้าไม่ได้เป็น type 2 )

    ปล. คือเป็นไปได้มั้ยคะ ที่นู๋จะเป็น types 1 แม้จะเป็นที่อวัยวะเพศ และ จะมีผลกระทบอะไรในชีวิต พ่อ แม่ พี่น้อง คนใกบ้ตัวมั้ยคะ แล้วสำหรับ คนรักในอนาคต จะส่งผลมั้ยคะ หรือควรกินยาตัวนี้ทุกเดือนตลอดไปเพื่อไม่ให้มันกำเริบหรือแพร่เชื้อดีคะ และมันมีผลกระทบอะไรมั้ยคะ ถ้ากินยามากๆ หรือ ควรทำอย่างไรดีคะ รบกวนช่วยแนะนำหน่อยค่ะ ตอนนี้เครียดและรู้ว่าต้องทำย่างไร หรือควรกลับไทยมั้ยคะ และควรตรวจ STD program มั้ยคะ 

    สวัสดีค่ะ คุณ Phebi

    การที่มีเพศสัมพันธ์ ที่ไม่ได้มีการป้องกัน อาทิเช่น จากการใช้ถุงยางอนามัย มีโอกาสที่จะเสี่ยงต่อการติดเชื้อโรคจากการที่มีเพสัมพันธ์ หรือ STD ได้ค่ะ ซึ่ง เริม (Herpes) ก็ถือว่าเป็น STD อย่างนึงค่ะ 

    โดยที่ การสงสัยว่าจะมีการติดเชื้อโรคเริมที่อวัยวะเพศ (Herpes) จะต้องมีลักษณะของรอยโรคที่เข้ากันได้กับโรคเริม คือ ตุ่มน้ำใส บนพื้นตุ่มสีแดง บางตุ่มที่แตกออกอาการแสบ ซึ่งอาจมีการติดเชื้อเเบคทีเรียนซ้ำเเละกลายเป็นหนองได้ ซึ่ง โรคเริม เริม เกิดจากการติดเชื้อไวรัสเฮอปีซิมเพลค ชนิดที่ 1 หรือ 2 (HSV-1 or HSV-2) ทั้งนี้ลักษณะอาการจากการติดเชื้อของทั้ง 2 ชนิด ไม่มีความแตกต่างกัน แต่ โดยลักษณะของการติดเชื้อ คือ ภายหลังจากที่มีการติดเชื้อชนิดนี้แล้ว และรักษาจนไม่มีอาการของโรคเหลืออยู่ แต่ร่างกายจะไม่สามารถทำลายเชื้อให้หมดได้ค่ะ โดยที่เชื้อจะมาหลบซ่อนอยู่ที่ปลายประสาท (nerve ganglion) เป็นสาเหตุที่ทำให้เกิดโรคกลับมาเป็นซ้ำๆได้บ่อยค่ะ

    นอกจากนี้ในบางรายที่มีอาการติดเชื้อ อาจไม่มีอาการแสดงให้เห็น ดังนั้นจึงสามารถเเพร่เชื้อไปสู่ผู้อื่นได้ค่ะ แต่การที่สามารถมองเห็นรอยโรค หรือมีอาการ คือ เป็นช่วงที่มีเชื้อไวรัสจากบริเวณของแผลออกมาได้อยู่  (viral sheding) และสามารถติดต่อได้มากขึ้นค่ะ 

    ทั้งนี้ ความสำคัญของโรคนี้คือ ถ้าในขณะที่มีอาการควรได้รับยา acyclovir ซึ่งการรับประทาน 1 เม็ด 3 ครั้งต่อวัน เป็นเวลา 7-10 วัน ถ้าอาการดีขึ้นถือว่ามีการตอบสนองค่ะ ถ้าไม่ดีอาจต้องมีการใช้ยารักษาที่นานขึ้น ทั้งนี้ ควรป้องกันการแพร่กระจายของโรค เช่น การงดการมีเพศสัมพันธ์ในขณะที่มีรอยโรค ผู้ชายควรใช้ถุงยางอนามัย ถ้าผู้หญิงเคยเป็นเริมที่อวัยวะเพศควรเช็คมะเร็งปากมดลูกอย่างน้อยปีละครั้งร่วมด้วย ถ้าในช่วงที่ไม่มีรอยโรคสามารถใช้ชีวิตได้ตามปกติค่ะ  และไม่จำเป็นต้องรับประทานยาในช่วงที่ไม่มีอาการ ทั้งนี้การรักษาไม่ว่าจะเป็นชนิดที่ 1 หรือ 2 สามารถรักษาด้วยยาชนิดเดียวกันค่ะ และไม่มีความจำเป็นในการต้องเเยกชนิดของการติดเชื้อในการรักษาค่ะ อีกทั้งในปัจจุบัน ไม่ว่าชนิดที่ 1หรือ 2 ก็สามารถติดเชื้อที่อวัยวะเพศ และช่องปากได้ทั้งสิ้นค่ะ

    การกำเริบของอาการ ขึ้นอยู่กับสุขภาพค่ะ โดยส่วนมากถ้าร่างกายอ่อนเเอ เจ็บป่วยอาจกลับมามีอาการได้ 

    แนะนำว่าถ้าไม่สะดวกไปพบแพทย์ อาจสังเกตอาการก่อน แต่ถ้าไม่ดีขึ้นหลังจากทานยา แนะนำไปพบแพทย์ค่ะ เนื่องจาก อาจเป็นไปได้ว่ามีรอยฉีกขาด หรือแผลบริเวณอวัยวะเพศได้ อีกทั้งนอกเหนือจากเริม ก็ยังมีโอกาสติดเชื้อ STD อื่นๆอีกค่ะ ซึ่งการที่ได้พบเเพทย์และได้รับการประเมินรอยโรคอย่างละเอียดจะดีที่สุด เนื่องจากแต่ละโรคใช้ยาฆ่าเชื้อต่างกันค่ะ ส่วน STD program ถ้าทำได้ก็ถือว่าดีค่ะ เนื่องจากอาจมีหลายการติดเชื้อที่ไม่มีอาการ เช่น คลาไมเดีย