ท้องลม (Blighted Ovum) คืออะไร ท้องจริงไหม

หลายคนอาจสงสัยว่า ท้องลมคืออะไร มีความแตกต่างจากการท้องปกติอย่างไร ซึ่งคนส่วนใหญ่มักเข้าใจว่าตัวเองกำลังท้อง แต่ความเป็นจริงแล้ว ท้องลม เป็นศัพท์ทางการแพทย์ที่หมายถึงการแท้งลูกรูปแบบหนึ่งในช่วงแรกเริ่มของการตั้งครรภ์ โดยมีการตั้งครรภ์ในโพรงมดลูก แต่ไม่มีทารกในถุงการตั้งครรภ์ (Pregnancy Sac) 

การตั้งครรภ์ปกติจะมีการปฏิสนธิระหว่างไข่ของฝ่ายหญิงกับเชื้ออสุจิของฝ่ายชายที่ท่อนำไข่ และไข่ที่ถูกผสมแล้วจะเคลื่อนตัวเข้าไปฝังตัวในโพรงมดลูก จากนั้นจะมีการแบ่งเซลล์เพิ่มขึ้นเรื่อย ๆ จนเป็นตัวอ่อนและพัฒนาเป็นทารก 

แต่เมื่อเกิดความผิดปกติจากสาเหตุใดสาเหตุหนึ่งที่ทำให้เซลล์ที่เกิดจากการปฏิสนธิไม่สามารถเจริญเติบโตเป็นทารกในครรภ์ต่อไปได้ หรือทารกเสียชีวิตตอนที่อายุครรภ์ยังน้อย ก็จะเกิดท้องลมขึ้นนั่นเอง โดยปกติแล้วท้องลมจะเกิดในช่วงที่มีการตั้งครรภ์ใหม่ ๆ ประมาณ 8-13 สัปดาห์ หรืออาจเกิดก่อนที่จะรู้ตัวว่ามีการตั้งครรภ์

ท้องลม

รู้ได้อย่างไรว่าเป็นท้องลม

ท้องลมจะส่งผลให้ผู้ป่วยมีอาการต่าง ๆ ในระยะแรกอาจมีอาการแพ้ท้อง คลื่นไส้ เต้านมคัดตึง มีอาการเป็นเหมือนกับคนตั้งครรภ์ทั่วไป หลังจากนั้นอาการเหล่านี้จะหายไป แล้วจะสังเกตหรือรู้สึกว่าท้องไม่โตขึ้นเมื่อผ่านไปได้ระยะหนึ่ง พบว่ามีเลือดออกผิดปกติทางช่องคลอด หรือมีประจำเดือนมามากกว่าปกติ อาจมีอาการปวดท้องน้อยก่อนจะมีเลือดออกผิดปกติทางช่องคลอด

การตรวจหาว่าเป็นท้องลมหรือไม่นั้น แพทย์จะตรวจเลือดเพื่อหาฮอร์โมนยืนยันการตั้งครรภ์ และตรวจอัลตราซาวด์ร่วมด้วย โดยคนที่มีการตั้งครรภ์เป็นปกติ หากมีอายุครรภ์ประมาณ 5–6 สัปดาห์ จะต้องเริ่มเห็นถุงการตั้งครรภ์ ต่อมาจะเห็นตัวเด็กและเห็นหัวใจเต้น แต่หากตรวจดูแล้วไม่เห็นหรือเห็นถุงการตั้งครรภ์ว่าง ก็อาจจะสันนิษฐานได้ว่าเป็นท้องลม

หากเคยเป็นท้องลมแล้วจะมีลูกได้หรือไม่

หลายคนอาจสงสัยหรือมีความกังวลว่าหากตัวเองเป็นท้องลมแล้วสามารถมีลูกได้อีกหรือไม่ การเกิดท้องลมจะมีภาวะคล้าย ๆ กันกับการแท้ง โดยทั่วไปจะถือว่าคนที่แท้งหรือเกิดท้องลมมาแล้ว 1 ครั้ง สามารถมีโอกาสมีลูกได้เหมือนคนปกติโดยไม่ต้องกังวล แต่สามารถเกิดเป็นท้องลมอีกได้ และหากว่าเกิดท้องลมซ้ำ ๆ 2–3 ครั้งขึ้นไป ควรปรีกษาแพทย์เพื่อหาสาเหตุเพิ่มเติม

อย่างไรก็ตาม การดูแลและการได้กำลังใจจากคนรอบข้างเป็นสิ่งสำคัญสำหรับผู้ที่มีภาวะท้องลม ซึ่งจะช่วยให้ผ่านปัญหาและสภาวะนี้ไปได้ ควบคู่ไปกับการได้รับคำแนะนำจากแพทย์เพื่อให้ปฏิบัติตนอย่างเหมาะสมในการดูแลร่างกาย 

โดยส่วนมากแพทย์จะขูดเนื้อเยื่อที่ค้างอยู่ในมดลูกออก หรือปล่อยให้ร่างกายขับถุงการตั้งครรภ์ในมดลูกออกมาเองตามธรรมชาติเมื่อฮอร์โมนตั้งครรภ์ลดลง แต่อาจต้องใช้เวลาหลายสัปดาห์