รู้จักท้องลาย และวิธีการบรรเทาให้รอยแตกลายจางลง

ท้องลาย หรือ รอยผิวแตกลาย คือเส้นที่ปรากฏบริเวณผิวหนังหน้าท้อง ส่วนใหญ่เป็นปัญหาที่มาพร้อมกับการขยายขนาดของหน้าท้องอย่างรวดเร็ว อย่างการท้อง อ้วนขึ้น ลงพุง แม้ไม่สร้างความเจ็บปวดหรือเป็นอันตรายใด ๆ และจะค่อย ๆ จางลงเมื่อเวลาผ่านไป แต่ก็สร้างความไม่สบายใจเมื่อพบเห็น หลายคนจึงพยายามค้นหาวิธีกำจัดรอยแตกลายนี้ให้หมดไป 

ลักษณะของรอยแตกลายอาจเป็นริ้วสีขาว สีชมพู สีแดง สีม่วง หรือสีน้ำตาล ขึ้นอยู่กับสภาพผิวหนังของแต่ละคน ความตึงของผิวหนังบริเวณนั้น ตำแหน่งที่เกิด และสาเหตุที่ทำให้เกิดท้องลาย แม้ว่าปัญหาท้องลายจะไม่สามารถกำจัดให้หมดไปได้ แต่สามารถทำให้รอยแตกเบาบางได้ด้วยวิธีการต่าง ๆ  เช่น การใช้ผลิตภัณฑ์บำรุงผิว การใช้เลเซอร์ การขัดผิวด้วยผงผลึกแร่

Stretch Marks

สาเหตุของท้องลาย

ท้องลายเป็นการฉีกขาดของผิวหนังชั้นหนังแท้ที่อยู่ลึกลงไปบริเวณหน้าท้อง ซึ่งเกิดจากการขยายขนาดของท้องทำให้เห็นเส้นเลือดที่อยู่ในชั้นลึกลงไป จึงเห็นเป็นลายเข้ม ต่อมาเส้นเลือดหดตัวจึงเห็นพื้นที่ขาวมากขึ้น โดยท้องลายเกิดจากหลายสาเหตุ เช่น 

  • การตั้งครรภ์ โดยเฉพาะอย่างยิ่งในไตรมาสที่ 3 (อายุครรภ์ 7-9 เดือน) 
  • น้ำหนักตัวเพิ่มขึ้นอย่างรวดเร็ว ร่างกายมีการเจริญเติบโตอย่างรวดเร็ว 
  • การใช้ยาคอร์ติโคสเตียรอยด์ติดต่อกันเป็นเวลานานหรือใช้อย่างผิดวิธี
  • มีประวัติอาการท้องลายของบุคคลใกล้ชิดทางสายเลือด 
  • มีการขยายขนาดหน้าท้องอย่างรวดเร็วจากปัญหาสุขภาพ เช่น กลุ่มอาการคุชชิง (Cushing Syndrome) ที่ผู้ป่วยจะมีภาวะอ้วนมากจากการกินไม่หยุด หรือมาร์แฟนซินโดรม ที่เนื้อเยื่อและอวัยวะในร่างกายมีการขยายขนาดอย่างรวดเร็ว

6 วิธีรับมือกับท้องลาย

อาการท้องลายสามารถรักษาได้โดยการทำให้ผิวหนังบริเวณนั้นบางลง ซึ่งจะทำให้ร่องรอยแตกลายดูจางลง แต่ไม่สามารถกำจัดรอยที่เคยมีออกไปได้ทั้งหมด อย่างไรก็ตาม แม้ไม่ได้รับการรักษา รอยแตกลายก็จะค่อย ๆ จางลงเองเมื่อเวลาผ่านไป

สำหรับบางคนที่มีความจำเป็น หรือรอยแตกลายที่หน้าท้องกลายเป็นปัญหารบกวนใจ การจัดการกับปัญหาท้องลายก็สามารถทำได้ทั้งในแบบที่เป็นการดูแลตัวเอง และแบบที่อยู่ภายใต้การดูแลของแพทย์ โดยการเลือกใช้แต่ละวิธีขึ้นอยู่กับหลายปัจจัย เช่น ความคาดหวังต่อผลการรักษา สภาพผิวหนัง ระยะเวลาที่เกิดท้องลาย ความสะดวกและค่าใช้จ่ายในการรักษา โดยวิธีการที่อาจนำมาใช้แก้ปัญหาท้องลาย เช่น

1. การใช้ครีม เจล หรือครีมบำรุงผิว 

ควรใช้ในขณะที่รอยแตกลายยังเป็นสีแดงหรือม่วง ส่วนใหญ่เป็นครีมที่มีส่วนผสมของเรตินอยด์ (Retinoid) ซึ่งเป็นสารอนุพันธุ์ของวิตามินเอ อย่างเตรทติโนอิน (Tretinoin) กรดวิตามินเอในตัวยาจะช่วยสร้างคอลลาเจนในชั้นผิวหนังขึ้นมาใหม่ ทำให้รอยแตกลายปรับสภาพคล้ายกับผิวหนังปกติ 

ผลข้างเคียงจากครีมนี้คืออาจก่อให้เกิดการระคายเคือง ควรระมัดระวังในการใช้ โดยเฉพาะอย่างยิ่งในผู้ที่ตั้งครรภ์หรือแรกคลอด ควรปรึกษาแพทย์ให้ดีก่อนการใช้ หรือเลือกใช้ผลิตภัณฑ์ครีมและโลชั่นที่ปราศจากวิตามินเอสำหรับคนท้อง โดยเฉพาะอย่างผลิตภัณฑ์จากธรรมชาติ เช่น ครีมที่มีส่วนผสมของโกโก้บัตเตอร์ อาแกนออยล์ วิตามินอี เชียบัตเตอร์  

ซึ่งครีมเหล่านี้มีคุณสมบัติช่วยเพิ่มความชุ่มชื่นให้แก่ผิว ช่วยเพิ่มความยืดยุ่นให้แก่ผิวเพื่อรองรับการขยายของหน้าท้องอย่างรวดเร็วและมีความปลอดภัยต่อทารกในครรภ์

อย่างไรก็ตาม ส่วนใหญ่การใช้ครีมเหล่านี้ก็ไม่ได้มีประสิทธิผลที่ชัดเจนมากไปกว่าการที่ท้องลายจะจางลงไปตามกาลเวลา

2. การใช้บอดี้ออยล์บำรุงผิว (Body oil) 

บอดี้ออยล์จะช่วยเพิ่มความชุ่มชื้นให้กับผิวได้เป็นอย่างดี แต่ควรเลือกใช้บอดี้ออยล์ที่ไม่มีส่วนผสมของ Mineral oil ที่ผลิตมาจากน้ำมันปิโตรเลียม ซึ่งจะก่อให้เกิดการอุดตันเป็นสาเหตุของการเกิดสิวบนผิวหนัง ในปัจจุบันมีบอดี้ออยล์ที่สกัดมาจากธรรมชาติ เช่น น้ำมันโรสฮิป ซึ่งจะช่วยฟื้นฟูเซลล์ผิวที่มีริ้วรอยแตกลายให้จางลงอย่างรวดเร็วหรือ Sesame Oil ที่จะช่วยให้ผิวกายกระชับ ชุ่มชื้น และยืดหยุ่นขึ้น 

สำหรับผู้ที่ไม่ชอบบอดี้ออยล์เนื่องจากเหนียวตัว อาจเลือกใช้ให้บอดี้ออยล์ที่มี Cetesomate – E complex ที่ช่วยให้ซึบซาบได้ลึกถึงผิวชั้นใน โดยไม่ทิ้งความมันและเหนียวเหนอะหนะบนผิว

3. การปกปิดรอยด้วยเครื่องสำอาง 

ควรเลือกใช้ครีมรองพื้นหรือเครื่องสำอางที่มีคุณภาพ และไม่มีสารเคมีอันตราย หาซื้อได้ตามร้านขายยาและร้านค้าชั้นนำทั่วไป ใช้ทาปกปิดผิวได้ในบริเวณที่มีรอยแตกลายขนาดเล็ก

4. การรักษาด้วยเลเซอร์ 

การเลเซอร์ผิวหนังป็นการรักษาที่มีค่าใช้จ่ายสูง เพราะแพทย์ต้องใช้เครื่องยิงลำแสงเลเซอร์ไปที่ผิวหนังบริเวณที่เป็นรอยแตกลาย เพื่อกระตุ้นการสร้างคอลลาเจนหรืออีลาสติน โปรตีนที่ชั้นผิวหนัง ซึ่งจะช่วยลดรอยแตกลาย ปรับให้ผิวท้องลายเจือจางลงและกลมกลืนกับผิวหนังปกติ แม้ไม่ได้ทำให้ท้องลายหายไปโดยสิ้นเชิง 

แต่จะทำให้รอยจางจนสังเกตเห็นได้น้อยลง จำนวนครั้งและการเห็นผลจากการทำเลเซอร์ขึ้นกับแต่ละบุคคล โดยแพทย์จะแนะนำประเภทของเลเซอร์ที่เหมาะสมกับสภาพผิวหนังและรอยแตกลายแต่ละชนิด

5. การขัดผิวด้วยผงผลึกแร่ (Microdermabrasion)

สำหรับการขัดผิวด้วยผงผลึกแร่นั้น แพทย์จะใช้เครื่องมือพ่นผลึกแร่ที่ละเอียดมาก เพื่อลอกผิวหนังกำพร้าชั้นตื้นๆ กระตุ้นให้เกิดเซลล์ผิวหนังใหม่ และเพิ่มความยืดหยุ่นให้ผิวหนังเดิม 

วิธีการนี้อาจมีค่าใช้จ่ายสูงและต้องทำซ้ำอีกหลายรอบเพื่อประสิทธิผลสูงสุด หลังการรักษาอาจทำให้ผิวแพ้แสงง่าย ต้องหลีกเลี่ยงไม่ให้ผิวหนังบริเวณที่กรอผิวสัมผัสแสงแดดโดยตรง หรือควรทาครีมกันแดดเพื่อปกป้องผิว โดยวิธีการนี้ไม่แนะนำให้ใช้กับผู้ที่มีผิวสีเข้ม เนื่องจากอาจเกิดรอยและความไม่สมดุลของสีผิวตามมา

6. การทำศัลยกรรมตกแต่ง 

แพทย์จะทำการผ่าตัดเอาไขมันส่วนเกินบริเวณหน้าท้องพร้อมกับผิวหนังที่มีรอยแตกลายออกไป เป็นการศัลยกรรมเพื่อความงาม มีค่าใช้จ่ายสูง และจะเกิดเป็นรอยแผลเป็นหลังการผ่าตัด แพทย์จะไม่แนะนำให้ใช้วิธีนี้หากไม่มีความจำเป็น

ไม่อยากท้องลาย ป้องกันอย่างไรดี

สำหรับผู้ที่กำลังกังวลเกี่ยวกับปัญหาท้องลายที่ยังไม่เกิด หรือแนวโน้มที่จะเกิดในไม่ช้า อย่างผู้หญิงตั้งครรภ์ ผู้ที่มีน้ำหนักตัวเพิ่มขึ้น หรือผู้ที่มีการเจ็บป่วยที่เกี่ยวข้องอย่างเลี่ยงไม่ได้ แนวทางการป้องกันหรือบรรเทาอาการท้องลายที่ดีที่สุด คือ การรักษาสุขภาพ การดูแลรูปร่างและน้ำหนักตัว 

โดยควรควบคุมน้ำหนักตัวให้มีค่า BMI อยู่ในเกณฑ์สุขภาพดี (18.5-25) ผู้ที่อยู่ในภาวะอ้วนหรือมีแนวโน้มของภาวะอ้วน ควรลดน้ำหนัก ควบคุมอาหาร รับประทานแต่อาหารที่มีประโยชน์ โดยเฉพาะอาหารที่อุดมไปด้วยวิตามินและแร่ธาตุสูง อย่างวิตามินอี วิตามินซี แร่สังกะสี และแร่ซิลิคอน ไม่รับประทานในปริมาณมากจนเกินไป ควบคู่กับการออกกำลังกายอย่างเหมาะสมสม่ำเสมอ

ส่วนอาการท้องลายในผู้หญิงตั้งครรภ์เป็นปัจจัยที่ไม่อาจป้องกันได้ การเปลี่ยนแปลงของฮอร์โมนจากการตั้งครรภ์จะกระทบต่อชั้นผิวหนังจนทำให้เกิดผิวแตกลายเมื่อท้องเริ่มโตขึ้น 

แต่ผู้ที่ตั้งครรภ์สามารถดูแลสุขภาพร่างกาย เพื่อไม่ให้อาการท้องลายเกิดเพิ่มมากขึ้นได้ โดยควรรับประทานอาหารที่ให้สารอาหารตามที่ร่างกายคนท้องต้องการตามปกติ แต่ต้องควบคุมน้ำหนักตัวให้อยู่ในเกณฑ์ที่เหมาะสมพอดีด้วย 

ในด้านของอาหารและโภชนาการ ผู้ที่ตั้งครรภ์สามารถศึกษาข้อมูลพร้อมปรึกษาแพทย์ได้ตลอดการตั้งครรภ์ เพราะนอกจากควบคุมอาการท้องลายแล้ว โภชนาการที่ดีจะส่งเสริมสุขภาพของทั้งแม่และเด็กในครรภ์ในเวลาเดียวกัน