ธรรมชาติบำบัด (Naturopathy) เป็นหนึ่งในรูปแบบของแพทย์ทางเลือกที่ได้รับการยอมรับจากองค์การอนามัยโลก ซึ่งมีการจำกัดความว่าเป็นการดูแลผู้ป่วยโดยอาศัยหลักปรัชญา (Philosophic Approach) มากกว่าจะเป็นการรักษาโดยแพทย์
การบำบัดด้วยวิธีนี้ไม่ใช่การบำบัดเพื่อรักษาอาการเจ็บป่วยหรือเพื่อรักษาโรคใดโรคหนึ่งโดยเฉพาะ แต่เป็นการบำบัดที่มุ่งเน้นการให้ความรู้เพื่อให้ผู้ป่วยดูแลสุขภาพร่างกายของตนเองและครอบครัว ช่วยให้ร่างกายสามารถเยียวยาอาการป่วยและช่วยสร้างความสมดุลให้แก่ร่างกาย เพื่อลดความเสี่ยงของการเกิดโรคต่าง ๆ ในอนาคต ซึ่งรายละเอียดอื่น ๆ เกี่ยวกับธรรมชาติบำบัดนั้นสามารถอ่านได้จากบทความนี้
ประโยชน์ของธรรมชาติบำบัด
ธรรมชาติบำบัดเป็นการนำพลังจากธรรมชาติมาใช้ในการบำบัด โดยเป็นการบำบัดที่ได้รับการยอมรับจากการแพทย์แผนปัจจุบันว่าเป็นวิธีที่ช่วยแก้ไขต้นเหตุของการเกิดโรคได้มากกว่ารักษาอาการที่เกิดขึ้น การบำบัดนี้เป็นวิธีที่นิยมใช้กับผู้ป่วยโรคทั่วไปอย่างโรคภูมิแพ้ โรคอ้วน ผู้ที่มีอาการปวดหัว มีปัญหาด้านการเจริญพันธุ์ มีความผิดปกติในระบบทางเดินอาหาร มีภาวะฮอร์โมนไม่สมดุล (Hormonal Imbalance) รวมถึงอาการปวดเรื้อรังและกลุ่มอาการความล้าเรื้อรังด้วย
ทั้งนี้บุคคลทั่วไปที่ไม่มีอาการป่วยก็สามารถใช้ธรรมชาติบำบัดเพื่อดูแลสุขภาพและเสริมความแข็งแรงให้แก่ร่างกายเพื่อป้องกันอาการป่วยต่าง ๆ ได้เช่นกัน
ธรรมชาติบำบัด ทำได้อย่างไรบ้าง
ในขั้นตอนแรก ผู้เชี่ยวชาญด้านธรรมชาติบำบัดจะสอบถามเกี่ยวกับการรับประทานอาหาร รูปแบบการใช้ชีวิต ประวัติของครอบครัว สภาพแวดล้อม และประวัติทางการแพทย์ของผู้เข้ารับการบำบัด ซึ่งหลังจากการสอบถาม ผู้เชี่ยวชาญอาจใช้วิธีการตรวจอื่น ๆ เพิ่มเติม เช่น ตรวจเลือด ตรวจปัสสาวะและอุจจาระหรือตรวจการทำงานของอวัยวะ เป็นต้น จากนั้นจึงจะพิจารณาวิธีที่เหมาะสมกับผู้เข้ารับการบำบัดแต่ละคน โดยตัวอย่างของวิธีที่ใช้ในการทำธรรมชาติบำบัดมีดังนี้
การให้คำแนะนำเกี่ยวกับการรับประทานอาหาร
เป็นการแนะนำให้ผู้รับการบำบัดรับประทานอาหารอย่างเหมาะสมและมีประโยชน์ เช่น การรับประทานอาหารปรุงสุกหรือการไม่รับประทานอาหารแปรรูป เป็นต้น เนื่องจากการรับประทานอาหารที่ไม่มีประโยชน์อาจทำให้อวัยวะต่าง ๆ ในร่างกายไม่สามารถทำงานได้อย่างปกติและสร้างสารพิษสะสมซึ่งอาจทำให้เกิดการเจ็บป่วยได้
การใช้ยาสมุนไพร (Herbal Medicine)
เป็นการนำสมุนไพรมาใช้เพื่อสร้างความแข็งแรงให้แก่ร่างกาย มีทั้งในรูปแบบสมุนไพรอบแห้ง แบบที่หั่นออกเป็นชิ้นเล็ก ๆ แบบผง แบบแคปซูลหรือแบบน้ำ แต่ควรใช้ยาสมุนไพรภายใต้การควบคุมของแพทย์หรือผู้เชี่ยวชาญ เนื่องจากยาสมุนไพรอาจทำปฏิกิริยากับยาชนิดอื่น ๆ หรืออาจมีฤทธิ์ที่รุนแรงต่อร่างกาย
การทำโฮมีโอพาธีย์ (Homeopathy)
เป็นการกระตุ้นให้ร่างกายรักษาตนเองอย่างเหมาะสม อาจเป็นการใช้ยาเม็ดเล็กสอดไว้ใต้ลิ้น ยาเม็ดหรือยาทาเพื่อกระตุ้นร่างกาย ทั้งนี้ยาหรือส่วนผสมของยาที่นำมาใช้จะแตกต่างกันไปในแต่ละบุคคลแม้จะเป็นการรักษาอาการเดียวกันก็ตาม
การทำกายภาพบำบัด
เป็นการบำบัดเพื่อบรรเทาความเจ็บปวดและช่วยให้สามารถขยับร่างกายได้ดียิ่งขึ้น ซึ่งการทำกายภาพบำบัดนี้อาจรวมไปถึงการออกกำลังกาย การนวด การกดจุด การฉีดไบโอพังเจอร์ (Biopuncture) หรือการใช้เครื่องนวด
การทำธาราบำบัด (Hydrotherapy)
เป็นการทำกายภาพบำบัดรูปแบบหนึ่งที่ใช้น้ำวนเพื่อกำจัดเนื้อตาย ทำให้เนื้อตายอ่อนนุ่มลง ลดสารคัดหลั่งและเชื้อแบคทีเรีย หรือใช้น้ำอุ่นเพื่อเพิ่มการไหลเวียนเลือด เพิ่มความยืดหยุ่นของเอ็น ข้อต่อ และช่วยให้เกิดการคลายกล้ามเนื้อ
การให้คำปรึกษา
เป็นการให้คำปรึกษาเพื่อให้อารมณ์และความเครียดไม่มารบกวนกระบวนการฟื้นฟูร่างกาย อีกทั้งยังช่วยให้ผู้เข้ารับการบำบัดสามารถปรับเปลี่ยนพฤติกรรมการใช้ชีวิตไปในแนวทางที่เหมาะสม โดยอาจเป็นการแนะนำเทคนิคการจัดการความเครียดหรือสอนทักษะการเข้าใจและใช้ชีวิต
ข้อควรรู้ก่อนทำธรรมชาติบำบัด
หากต้องการเข้ารับการบำบัดด้วยวิธีดังกล่าว ผู้เข้ารับการบำบัดควรทราบว่าผลข้างเคียงของการทำธรรมชาติบำบัดจะมีความแตกต่างกันไปขึ้นอยู่กับวิธีที่แต่ละคนได้รับ และควรระมัดระวังในการใช้ยาที่ไม่ต้องมีใบสั่งแพทย์เนื่องจากตัวยาอาจมีปฏิกิริยากับวิธีการบำบัดซึ่งจะเป็นอันตรายต่อสุขภาพ อีกทั้งธรรมชาติบำบัดไม่สามารถใช้เพื่อรักษาอาการฉุกเฉินอย่างอาการที่ต้องได้รับการผ่าตัดใหญ่หรืออาการของโรคร้ายแรงอย่างโรคหัวใจหรือโรคมะเร็งได้
อย่างไรก็ตาม ผู้ที่เข้ารับการบำบัดควรแจ้งให้แพทย์แผนปัจจุบันทราบถึงวิธีการบำบัดที่กำลังทำอยู่ และควรแจ้งให้ผู้เชี่ยวชาญที่ทำการบำบัดทราบถึงยาแผนปัจจุบันที่กำลังใช้เช่นกัน เพราะจะช่วยให้กระบวนการธรรมชาติบำบัดสามารถดำเนินไปได้อย่างปลอดภัย ไม่เป็นอันตรายต่อสุขภาพ