มลพิษทางอากาศ หนึ่งในปัญหาสิ่งแวดล้อมที่หลีกเลี่ยงได้ยากและเป็นภัยต่อสุขภาพ โดยเฉพาะผู้ที่ต้องอาศัยอยู่ในเมืองใหญ่หรือใกล้เขตอุตสาหกรรม ทางที่ดีจึงควรเรียนรู้ถึงผลกระทบของมลพิษทางอากาศที่มีต่อสุขภาพและวิธีป้องกันที่ถูกต้อง เพื่อให้ปลอดภัยจากอันตรายที่มาพร้อมปัญหานี้
มลพิษทางอากาศ คือการปนเปื้อนของสารเคมี สารประกอบทางกายภาพ และสารทางชีววิทยาในสิ่งแวดล้อม จนก่อให้เกิดความเปลี่ยนแปลงของชั้นบรรยากาศ ส่วนใหญ่มักเกิดจากการเผาผลาญของเครื่องยนต์ ยานพาหนะ การทำอุตสาหกรรม หรือแม้แต่ไฟป่า โดยสารในมลพิษทางอากาศที่ส่งผลต่อสุขภาพของมนุษย์ ได้แก่ อนุภาคขนาดเล็กที่ถูกกำจัดไม่หมด ก๊าซคาร์บอนมอนอกไซด์ โอโซน ไนโตรเจนไดออกไซด์ และซัลเฟอร์ไดออกไซด์
มลพิษทางอากาศแบ่งออกเป็น 2 ประเภท ได้แก่
มลพิษทางอากาศภายนอก เป็นมลพิษที่เกิดขึ้นกับสิ่งแวดล้อมภายนอกอาคาร อาทิ
- อนุภาคที่เกิดจากการเผาไหม้ของพลังงานเชื้อเพลิง เช่น น้ำมัน ถ่านหิน เป็นต้น
- ก๊าซพิษ ได้แก่ ซัลเฟอร์ไดออกไซด์ ไนโตรเจนไดออกไซด์ คาร์บอนมอนอกไซด์ หรือไอระเหยจากสารเคมีต่าง ๆ
- โอโซนระดับพื้นดิน ซึ่งเป็นโอโซนชนิดที่ไม่ดีต่อสุขภาพ และเป็นส่วนประกอบสำคัญของหมอกควันที่เป็นพิษในบริเวณตัวเมือง
- ควันจากยาสูบ ซึ่งประกอบไปด้วยสารเคมีที่เป็นพิษและสารก่อความระคายเคือง ส่งผลให้ผู้สูดดมเสี่ยงติดเชื้อในระบบทางเดินหายใจและโรคหอบหืด
มลพิษทางอากาศภายใน เป็นมลพิษที่เกิดขึ้นภายในอาคารหรือที่พักอาศัย เช่น
- อนุภาคจากการเผาไหม้ของก๊าซหุงต้ม เช่น คาร์บอนมอนอกไซด์ เรดอน เป็นต้น
- สารเคมีที่ใช้ภายในบ้าน
- สารเคมีที่ใช้ในการก่อสร้าง เช่น แร่ใยหิน ฟอร์มาดิไฮด์ ตะกั่ว เป็นต้น
- สารก่อภูมิแพ้ต่าง ๆ จากภายในและนอกอาคาร เช่น ฝุ่น สารก่อภูมิแพ้จากแมลงสาบและหนู เป็นต้น
- ควันจากยาสูบ
- ราและเกสรดอกไม้
นอกจากนี้ สารต่าง ๆ ที่อยู่ภายนอกอาคารอาจเข้าสู่ภายในอาคารจากการเปิดหน้าต่าง ประตู หรืออุปกรณ์ระบายอากาศได้เช่นกัน
มลพิษทางอากาศส่งผลอย่างไรต่อสุขภาพ ?
มลพิษทางอากาศอาจส่งผลให้เกิดการระคายเคืองตามอวัยวะต่าง ๆ เช่น ตา คอ และปอด โดยหากอยู่ในพื้นที่ที่มีมลพิษทางอากาศสูงอาจมีอาการแสบตา ไอ และแน่นหน้าอกได้
อย่างไรก็ตาม อาการที่เกิดขึ้นจากมลพิษทางอากาศของแต่ละคนอาจแสดงออกแตกต่างกัน เด็ก ๆ มักรู้สึกถึงความผิดปกติจากมลพิษทางอากาศได้ช้ากว่าผู้ใหญ่ แต่จะมีอาการป่วยที่รุนแรงมากกว่า เช่น หลอดลมอักเสบ และอาการปวดหู ผู้ใหญ่บางรายอาจมีอาการรุนแรงหรือไม่มีอาการใด ๆ แสดงให้เห็น ส่วนผู้ป่วยโรคหัวใจ โรคปอด โรคหอบหืด หรือโรคถุงลมโป่งพอง อาจไวต่อการสัมผัสกับมลพิษทางอากาศ รวมทั้งมีอาการได้ง่ายและรุนแรงกว่าคนทั่วไป
ในช่วง 30 ปีที่ผ่านมา มีการศึกษาพบว่ามลพิษทางอากาศส่งผลให้เกิดปัญหาสุขภาพร้ายแรงหลายประการ เช่น โรคเกี่ยวระบบทางเดินหายใจอย่างหอบหืดหรือความผิดปกติในการทำงานของปอด โรคที่เกี่ยวกับหัวใจและหลอดเลือด การคลอดก่อนกำหนด หรือแม้แต่การเสียชีวิต นอกจากนี้ ล่าสุดองค์การอนามัยโลกได้เปิดเผยว่ามลพิษทางอากาศภายนอกยังเป็นสารที่ก่อให้เกิดโรคมะเร็งอีกด้วย
บรรเทาอาการจากมลพิษทางอากาศอย่างไร ?
มลพิษทางอากาศส่งผลกระทบต่อร่างกายและอาจทำให้เกิดอาการไอ จาม เจ็บ คัดจมูก และน้ำมูกไหล ซึ่งในเบื้องต้นอาจบรรเทาได้ด้วยวิธีต่อไปนี้
กลั้วคอและล้างจมูกด้วยน้ำเกลือ
น้ำเกลือทางการแพทย์มีฤทธิ์ทำความสะอาดและให้ความชุ่มชื้นกับเนื้อเยื่อภายในโพรงจมูกและลำคอ ซึ่งช่วยชะล้างสารก่อการระคายเคืองที่อยู่ในจมูกและลำคอและลดอาการระคายเคืองได้ หากมีอาการระคายคอ มีน้ำมูก หรือคัดจมูก อาจใช้วิธีนี้บรรเทาเบื้องต้นได้
ใช้ยาแก้แพ้
ยาแก้แพ้ (Antihistamine) เป็นยาที่ช่วยลดการยับยั้งการหลั่งของสารฮิสตามีน (Histamine) ซึ่งเป็นสารที่ไปกระตุ้นให้เกิดอาการต่าง ๆ เมื่อร่างกายได้รับสารก่ออาการแพ้ อย่างฝุ่น ควัน หรือสารเคมี
ใช้ยาลดน้ำมูก
ยาลดน้ำมูก (Decongestants) อาจช่วยบรรเทาอาการมีน้ำมูกและลดอาการบวมของเนื้อเยื่อในโพรงจมูกที่เป็นสาเหตุของอาการคัดจมูกได้ ยาลดน้ำมูกมีทั้งแบบเม็ดและแบบสเปรย์พ่นจมูก
ใช้ยาแก้ไอ
การสูดดมมลพิษต่อเนื่องกัน อาจก่อให้เกิดการระคายเคืองภายในระบบทางเดินหายใจจนทำให้เกิดอาการไอ โดยในเบื้องต้นอาจบรรเทาได้ด้วยการใช้ยากดอาการไอ (Antitussive) หากมีอาการไอไม่มีเสมหะที่เกิดจากการระคายเคืองทั่วไป
นอกจากนี้ การระคายเคืองภายในลำคออาจเพิ่มความเสี่ยงให้เกิดการติดเชื้อและทำให้มีเสมหะร่วมกับอาการไอด้วย จึงอาจเลือกใช้ยาละลายเสมหะ (Mucolytics) อย่างยาคาร์โบซิสเทอีน (Carbocysteine) 2.25 กรัมต่อวัน ยาบรอมเฮกซีน (Bromhexine) ครั้งละ 8-16 มิลลิกรัม วันละ 3 ครั้ง ยาเอ็นอะซิทิลซิสเทอิน (N-Acetyl-Cystein) หรือ NAC 600 มิลลิกรัมต่อวัน ยากลุ่มนี้จะช่วยลดความข้นเหนียวของเสมหะและช่วยให้ขับเสมหะออกได้ง่ายขึ้น แต่ปริมาณดังกล่าวอาจมีการเปลี่ยนแปลงขึ้นอยู่กับอายุและโรคประจำตัวของผู้ป่วย ทั้งนี้ ยังมียาขับเสมหะ (Expectorants) ที่ช่วยขับเสมหะได้เช่นกัน
ในปัจจุบันยาแก้ไอมีหลายรูปแบบไม่ว่าจะแบบเม็ด แบบน้ำ รวมไปถึงแบบเม็ดฟู่ละลายน้ำ ซึ่งยาชนิดเม็ดฟู่ละลายน้ำอาจช่วยให้ร่างกายสามารถดูดซึมตัวยาได้ง่ายและนำไปใช้ได้เร็วขึ้น อีกทั้งยังเหมาะกับผู้ที่ไม่สามารถกลืนยาเม็ดขนาดใหญ่หรือผู้สูงอายุที่มีปัญหาในการดูดซึมได้
อย่างไรก็ตาม การใช้ยาควรอยู่ภายใต้การดูแลของแพทย์และเภสัชกร เนื่องจากยาแต่ละชนิดอาจทำให้เกิดผลข้างเคียงในการใช้ได้ โดยเฉพาะอย่างยิ่งการใช้ในเด็ก หญิงตั้งครรภ์ ผู้สูงอายุ และผู้ที่มีโรคประจำตัว
นอกจากนี้ หากผู้ป่วยมีอาการระคายคอหรือเจ็บคอที่ไม่รุนแรงก็สามารถใช้สเปรย์ที่มีส่วนผสมของน้ำมันหอมระเหยจากสมุนไพร อย่างดอกคาโมไมล์ ยูคาลิปตัส มะกรูด หรือเปปเปอร์มิ้นต์ ซึ่งอาจช่วยบรรเทาอาการเจ็บคอหรือระคายเคืองภายในคอ ซึ่งอาจช่วยให้การทำงานหรือการทำกิจกรรมระหว่างวันดำเนินได้อย่างราบรื่น สเปรย์พ่นคอมีจำหน่ายตามร้านขายยาทั่วไป ผู้ที่มีข้อสงสัยควรปรึกษาเภสัชกรก่อนใช้งานเสมอ
คุณภาพของอากาศวัดได้อย่างไร ?
ในประเทศไทย คนทั่วไปรับรู้คุณภาพของอากาศได้จากผลวัดที่จัดทำโดยกรมควบคุมมลพิษ เรียกว่าดัชนีคุณภาพอากาศ ซึ่งเป็นรายงานข้อมูลเกี่ยวกับอากาศที่หน่วยงานด้านสิ่งแวดล้อมนำเสนอแก่ประชาชนทั่วไปเป็นระยะ เพื่อให้รับรู้ถึงสถานการณ์มลพิษทางอากาศและความเสี่ยงต่อสุขภาพ
ดัชนีคุณภาพอากาศของประเทศไทยแบ่งออกเป็น 5 ระดับ และมีการใช้สีเป็นสัญลักษณ์ ซึ่งค่าดัชนีคุณภาพอากาศที่ถือว่าเป็นปกติคือ 100 หากสูงกว่าแสดงว่าในอากาศมีความเข้มข้นของมลพิษค่อนข้างสูงหรือสูงมาก โดยเกณฑ์การวัดมีดังนี้
- 0-50 ใช้สีฟ้าเป็นสัญลักษณ์ หมายถึง คุณภาพของอากาศอยู่ในระดับดี และไม่มีผลกระทบต่อสุขภาพ
- 51-100 ใช้สีเขียวเป็นสัญลักษณ์ หมายถึง คุณภาพของอากาศอยู่ในระดับปานกลาง และไม่มีผลกระทบต่อสุขภาพ
- 101-200 ใช้สีเหลืองเป็นสัญลักษณ์ หมายถึง คุณภาพของอากาศมีผลกระทบต่อสุขภาพ ผู้ป่วยโรคระบบทางเดินหายใจควรหลีกเลี่ยงการออกกำลังกายนอกอาคาร เด็กและผู้สูงอายุไม่ควรทำกิจกรรมภายนอกอาคารนาน ๆ
- 201-300 ใช้สีส้มเป็นสัญลักษณ์ หมายถึง คุณภาพของอากาศมีผลกระทบต่อสุขภาพมาก ผู้ป่วยโรคระบบทางเดินหายใจควรหลีกเลี่ยงการทำกิจกรรมนอกอาคาร เด็กและผู้สูงอายุควรลดการออกกำลังกายนอกอาคาร
- มากกว่า 300 ใช้สีแดงเป็นสัญลักษณ์ หมายถึง คุณภาพของอากาศเป็นอันตราย ผู้ป่วยโรคระบบทางเดินหายใจควรอยู่แต่ภายในอาคาร บุคคลทั่วไปควรหลีกเลี่ยงการออกกำลังกายนอกอาคาร
วิธีป้องกันมลพิษทางอากาศ
การป้องกันตนเองจากมลพิษทางอากาศเป็นสิ่งที่พึงกระทำเพื่อสุขภาพที่ดี โดยวิธีป้องกันตัวเองและครอบครัวจากผลกระทบของมลพิษทางอากาศในเบื้องต้น ทำได้ดังต่อไปนี้
การป้องกันผลกระทบจากมลพิษทางอากาศภายนอก
- อยู่ภายในอาคารให้มากที่สุดระหว่างวัน และหลีกเลี่ยงการอยู่ภายนอกอาคารบริเวณที่มีมลพิษทางอากาศสูงเป็นเวลานาน
- หากต้องออกไปข้างนอก ควรหลีกเลี่ยงช่วงเวลาเร่งด่วน อาจออกแต่เช้าตรู่หรือรอหลังพระอาทิตย์ตก เนื่องจากแสงอาทิตย์จะส่งผลให้โอโซนระดับภาคพื้นดินซึ่่งเป็นองค์ประกอบหลักของมลพิษทางอากาศในเมืองและส่งผลเสียต่อสุขภาพ มีระดับสูงขึ้น
- เมื่ออยู่ภายนอกอาคาร ควรหายใจช้า ๆ และอย่าทำกิจกรรมที่ส่งผลให้อัตราการหายใจเพิ่มขึ้น เพราะจะทำให้ได้รับมลพิษทางอากาศมากขึ้น
- ใช้อุปกรณ์ป้องกัน เช่น หน้ากากอนามัยชนิดมีตัวกรอง ซึ่งจะช่วยกรองสารหรืออนุภาคขนาดเล็กออกจากอากาศที่หายใจได้ในระดับหนึ่ง
- ผู้ป่วยโรคหัวใจหรือมีปัญหาเกี่ยวกับปอดควรปรึกษาแพทย์และปฏิบัติตามคำแนะนำของแพทย์อย่างเคร่งครัด
การป้องกันผลกระทบจากมลพิษทางอากาศภายใน
- หลีกเลี่ยงการสูบบุหรี่ภายในอาคาร
- วางเตาอบหรือเตาแก๊สในบริเวณที่อากาศถ่ายเทสะดวก
- หลีกเลี่ยงการใช้พรม เพราะอาจเป็นแหล่งสะสมฝุ่น
- จัดที่พักอาศัยหรือสถานที่ทำงานให้เป็นระเบียบ
- หากภายในอาคารมีความชื้นสูง ควรใช้เครื่องปรับอากาศหรือเครื่องลดความชื้น
- เก็บรองเท้าไว้นอกบ้าน
- หมั่นทำความสะอาดเพื่อลดฝุ่น
- เก็บถังขยะให้มิดชิดเพื่อป้องกันแมลง
- ตรวจสภาพรถและตรวจวัดการปล่อยมลพิษอย่างสม่ำเสมอ
- ลดปริมาณการใช้สเปรย์ปรับอากาศ
- ซักเครื่องนอนด้วยน้ำร้อนทุกสัปดาห์
- ใช้พัดลมระบายอากาศภายในห้องน้ำและห้องครัว
- ใช้เทียนหอมหรือเตาน้ำมันหอมระเหยในบ้านแต่พอเหมาะ