เรื่องน่ารู้เกี่ยวกับยาสลบ ขั้นตอนการใช้ และผลข้างเคียง

ยาสลบ เป็นยาที่แพทย์ใช้เพื่อระงับความรู้สึกของผู้ป่วยในระหว่างขั้นตอนการรักษาที่ผู้ป่วยต้องเกิดอาการเจ็บปวดอย่างรุนแรง เช่น การผ่าตัด หรือการเย็บแผล โดยยาในกลุ่มนี้จะมีอยู่หลายชนิด บางชนิดอาจเพียงช่วยให้ผู้ป่วยไม่รู้สึกเจ็บปวดเฉพาะที่ และบางชนิดนอกจากการช่วยระงับความรู้สึกแล้ว ยังส่งผลให้ผู้ป่วยสลบได้อีกด้วย

ยาสลบเป็นยาที่วิสัญญีแพทย์ ซึ่งเป็นแพทย์เฉพาะทางผู้เชี่ยวชาญด้านการให้ยาชาและการวางยาสลบ เป็นผู้วางยาสลบด้วยการฉีดยาเข้าสู่เส้นเลือด หรืออาจให้ผู้ป่วยดมยาในรูปแบบก๊าซ โดยหลังจากให้ยา ผู้ป่วยจะหมดสติ ไม่รู้สึกตัว และไม่รู้สึกเจ็บปวดในระหว่างทำการรักษา

ยาสลบ

จุดประสงค์ของการใช้ยาสลบ

ยาสลบเป็นยาที่แพทย์ใช้ในหลาย ๆ จุดประสงค์ ขึ้นอยู่กับกระบวนการรักษาของผู้ป่วยแต่ละคน เช่น

  • ป้องกันหรือบรรเทาอาการปวดระหว่างและหลังผ่าตัด เช่น การผ่าตัดบริเวณช่องท้อง การผ่าคลอด หรือการผ่าตัดสมอง
  • ช่วยบรรเทาอาการอึดอัดหรืออาการเจ็บที่อาจเกิดขึ้นระหว่างกระบวนการตรวจบางชนิด เช่น การส่องกล้อง หรือการเย็บแผล
  • ใช้เพื่อชะลออาการหรือบรรเทาความทรมานในผู้ป่วยมะเร็ง

ขั้นตอนในการใช้ยาสลบ

ในขั้นแรก แพทย์จะสอบถามผู้ป่วยเกี่ยวกับประวัติทางการแพทย์ และปัญหาสุขภาพต่าง ๆ เช่น ประวัติการแพ้ยาสลบของผู้ป่วยและคนในครอบครัว ประวัติการใช้ยา ประวัติการเจ็บป่วย การสูบบุหรี่ การดื่มแอลกอฮอล์ และการตั้งครรภ์ เพื่อวางแผนการใช้ยาสลบที่เหมาะสมกับการผ่าตัดรักษา และลดความเสี่ยงต่อการเกิดผลข้างเคียงจากการใช้ยาสลบ

เมื่อถึงช่วงสัปดาห์ก่อนการผ่าตัด หากผู้ป่วยอยู่ในภาวะน้ำหนักเกิน หรือภาวะอ้วน ผู้ป่วยควรทำกิจกรรมต่าง ๆ เพื่อลดน้ำหนักตัว ซึ่งจะช่วยลดความเสี่ยงในการเกิดผลข้างเคียงและภาวะแทรกซ้อนที่เป็นอันตราย นอกจากนี้ แพทย์จะแนะนำให้ผู้ป่วยงดสูบบุหรี่และดื่มแอลกอฮอล์ร่วมด้วย เพื่อช่วยลดความเสี่ยงในการเกิดผลข้างเคียงเช่นกัน

นอกจากนี้ ตั้งแต่ช่วงหลังเที่ยงคืนของคืนก่อนหน้าวันผ่าตัด แพทย์อาจแนะนำให้ผู้ป่วยงดดื่มน้ำหรือรับประทานอาหารใด ๆ เพื่อป้องกันการอาเจียนหลังการใช้ยาสลบ เนื่องจากการอาเจียนอาจทำให้อาหารที่อยู่ในช่องท้องสำลักเข้าสู่ปอดจนเกิดปัญหาการหายใจได้

จากนั้นเมื่อถึงวันผ่าตัด วิสัญญีแพทย์จะให้ยาสลบผู้ป่วย โดยวิธีที่อาจใช้ก็ได้แก่

การให้ยาชาเฉพาะที่ (Local Anesthesia)
วิธีนี้เป็นวิธีที่แพทย์จะใช้เพื่อระงับความรู้สึกบางส่วนของผู้ป่วยเท่านั้น ซึ่งผู้ป่วยจะยังคงรู้สึกตัวอยู่ เช่น การทำฟัน หรือการเย็บแผลขนาดเล็ก

การให้ยาระงับความรู้สึกเฉพาะส่วน (Regional Anesthesia)
วิธีนี้แพทย์จะใช้ยาเพื่อระงับความรู้สึกของผู้ป่วยเฉพาะจุดเช่นกัน แต่จะเป็นบริเวณที่กว้างกว่า เช่น ทั้งแขน หรือทั้งขา ซึ่งผู้ป่วยอาจจะยังคงตื่นอยู่หรือหมดสติก็ได้ ขึ้นอยู่กับดุลยพินิจของแพทย์ โดยวิธีนี้แพทย์มักใช้ในการผ่าตัดทำคลอดบุตร หรือการผ่าตัดขนาดเล็ก

การให้ยาระงับความรู้สึกทั่วร่างกาย (General Anesthesia)
วิธีนี้เป็นวิธีที่ยาจะระงับความรู้สึกของผู้ป่วยทั่วร่างกายและส่งผลให้ผู้ป่วยหมดสติ โดยแพทย์มักใช้ในการผ่าตัดใหญ่ เช่น การผ่าตัดหัวใจ การผ่าตัดสมอง หรือการผ่าตัดหลัง

โดยในระหว่างที่แพทย์ทำการผ่าตัด วิสัญญีแพทย์จะคอยอยู่ควบคุมอาการผู้ป่วยอย่างใกล้ชิด เช่น วัดอัตราการเต้นของหัวใจ วัดอัตราการหายใจ และวัดความดันโลหิตเป็นระยะ เพื่อความปลอดภัยและเพื่อตรวจสอบให้แน่ใจว่าให้ผู้ป่วยได้รับยาสลบอย่างต่อเนื่องและจะไม่รู้สึกตัวตื่นขึ้นมาในระหว่างการผ่าตัด 

ทั้งนี้ นอกจากการให้ยาสลบในระหว่างที่ผ่าตัดแล้ว แพทย์จะฉีดยาแก้ปวดเข้าไปทางเส้นเลือดด้วย เพื่อบรรเทาความเจ็บปวดจากการผ่าตัดหลังจากผู้ป่วยฟื้นตัวจากฤทธิ์ยาสลบ

การพักฟื้นจากฤทธิ์ของยาสลบ

เมื่อเสร็จสิ้นขั้นตอนการผ่าตัด วิสัญญีแพทย์จะหยุดให้ยาสลบ ผู้ป่วยจะถูกย้ายไปยังห้องพักฟื้นเพื่อเฝ้าดูอาการต่อไป โดยผู้ป่วยอาจต้องพักรักษาตัวในโรงพยาบาลเป็นช่วงสั้น ๆ หรือเป็นระยะเวลานานหลายวัน ขึ้นอยู่กับสภาพอาการและดุลยพินิจของแพทย์ผู้รักษา หากแพทย์เห็นว่าผู้ป่วยต้องรับประทานยาบางชนิด ผู้ป่วยต้องรับประทานยาและปฏิบัติตามคำแนะนำของแพทย์อย่างเคร่งครัด

เมื่อแพทย์มีความเห็นให้ผู้ป่วยไม่จำเป็นต้องนอนพักดูอาการที่โรงพยาบาล และสามารถกลับไปพักรักษาตัวที่บ้านได้ สิ่งที่ผู้ป่วยควรทำ คือ รับประทานยาและปฏิบัติตามคำแนะนำของแพทย์อย่างเคร่งครัด และสังเกตอาการที่เป็นสัญญาณของการเจ็บป่วยที่รุนแรงแล้วปรึกษาหรือกลับมาพบแพทย์

ทั้งนี้ ผู้ป่วยไม่ควรขับขี่ยานพาหนะ ดื่มแอลกอฮอล์ หรือทำสัญญานิติกรรมใด ๆ เป็นเวลา 1–2 วัน หลังการผ่าตัด

ผลข้างเคียงจากยาสลบที่อาจเกิดขึ้น

หลังจากการผ่าตัด ผู้ป่วยที่ได้รับยาสลบอาจเกิดผลข้างเคียงบางอย่างได้ เช่น

  • รู้สึกเจ็บปวดบริเวณที่ได้รับการผ่าตัด
  • รู้สึกง่วงนอน อ่อนเพลีย ไม่มีแรง
  • วิงเวียนศีรษะ คลื่นไส้ อาเจียน โดยอาการมักเกิดขึ้นในช่วงแรกที่ได้รับยาสลบ แต่อาจเกิดขึ้นอย่างต่อเนื่องไปเป็นวันได้
  • ตัวสั่น หรือรู้สึกหนาวสั่น อาจเกิดขึ้นชั่วขณะ ยาวนานหลายนาที ไปจนหลายชั่วโมง
  • รู้สึกสับสนมึนงง หรือสูญเสียความทรงจำชั่วคราว หรือผู้ป่วยบางรายอาจสูญเสียความทรงจำไปอย่างถาวร แต่เป็นกรณีที่พบได้น้อยมาก
  • เกิดรอยช้ำและความเจ็บปวดบริเวณที่ถูกฉีดยา หากไม่มีอาการแพ้หรืออาการข้างเคียงอื่นใดที่เป็นอันตราย รอยช้ำและความเจ็บปวดนี้จะหายไปเมื่อเวลาผ่านไป
  • เสียงแหบ คอแห้ง เจ็บคอ เนื่องจากระหว่างผ่าตัดอาจมีการสอดท่อช่วยหายใจผ่านทางปากเข้าไปในลำคอ
  • ปากแห้ง หรือเกิดความเสียหายภายในช่องปากและฟัน เนื่องจากการสอดท่อช่วยหายใจในระหว่างทำการผ่าตัดเช่นกัน ดังนั้น ผู้ป่วยที่มีแผล หรือกำลังรักษาช่องปากและฟัน ควรแจ้งให้วิสัญญีทราบเรื่องก่อนเสมอ
  • ปัญหาเกี่ยวกับกระเพาะปัสสาวะ เช่น มีความยากลำบากในการปัสสาวะ

ภาวะแทรกซ้อนรุนแรงจากยาสลบที่อาจเกิดขึ้นได้

ผู้ที่มีปัจจัยเสี่ยงต่อการเกิดภาวะแทรกซ้อนจากยาสลบ ได้แก่ ผู้สูงอายุ สูบบุหรี่ ดื่มแอลกอฮอล์ มีอาการแพ้ยา มีประวัติแพ้ยาสลบ คนในครอบครัวเคยแพ้ยาสลบ กำลังใช้ยาที่อาจส่งผลให้มีเลือดออกเพิ่มขึ้น มีภาวะความดันโลหิตสูง เป็นเบาหวาน มีภาวะชัก มีภาวะหยุดหายใจขณะนอนหลับ เป็นโรคหัวใจ โรคไต หรือโรคปอด อาจจะมีความเสี่ยงเกิดภาวะแทรกซ้อนจากการได้รับยาสลบได้

โดยภาวะแทรกซ้อนรุนแรงที่อาจเกิดขึ้นได้ เช่น

  • ภาวะสับสนทางจิตใจ โดยอาจเกิดขึ้นเพียงชั่วคราว
  • เกิดการบาดเจ็บที่ฟันหรือลิ้นจากการกระทบกระเทือนของท่อช่วยหายใจ
  • เกิดความเสียหายบริเวณเส้นเสียงที่อยู่ภายในลำคอจากการใช้ท่อช่วยหายใจ ทำให้เกิดอาการเสียงแหบ และเจ็บคอ
  • รู้สึกตัวตื่นขึ้นมาในระหว่างแพทย์กำลังทำการผ่าตัด ซึ่งมีโอกาสเกิดขึ้นได้น้อยมาก เพราะวิสัญญีแพทย์จะคอยดูแลให้ยาสลบผู้ป่วยอย่างต่อเนื่อง เพื่อให้มั่นใจว่าผู้ป่วยจะไม่รู้สึกตัวและไม่รู้สึกเจ็บปวดใด ๆ
  • โรคภูมิแพ้ชนิดรุนแรง (Anaphylaxis) ผู้ป่วยจะมีอาการแพ้ยาสลบอย่างรุนแรง เช่น มีผื่น ตัวบวมหน้าบวม หอบ ความดันโลหิตต่ำ คลื่นไส้ อาเจียน
  • ปัญหาเกี่ยวกับการหายใจ หายใจติดขัด หายใจไม่ออก
  • เสียชีวิต เป็นภาวะแทรกซ้อนที่รุนแรงที่สุดแต่มีโอกาสเกิดน้อยมาก ซึ่งอาจเป็นเหตุมาจากภาวะแทรกซ้อนและการเจ็บป่วยอื่น เช่น การติดเชื้อในปอด ภาวะหัวใจขาดเลือดเฉียบพลัน เส้นเลือดในสมองแตกหรือตีบตัน

อย่างไรก็ตาม โดยปกติแล้วการใช้ยาสลบเป็นวิธีการที่ค่อนข้างปลอดภัยและเป็นประโยชน์ต่อตัวผู้ป่วยเอง โอกาสในการเกิดภาวะแทรกซ้อนจึงเกิดได้น้อยและมักขึ้นอยู่กับสภาพร่างกายของแต่ละบุคคล อาการป่วยที่เผชิญอยู่ และประเภทของการผ่าตัดมากกว่าการออกฤทธิ์ของยาสลบ