โรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 หรือโควิด-19 (COVID-19) ได้สร้างความตื่นตระหนกไปทั่วโลก โดยประเทศไทยก็เป็นหนึ่งในพื้นที่เสี่ยงที่มีผู้ติดเชื้อทั้งชาวไทยและชาวต่างชาติ อีกทั้งยังมีการระบาดภายในประเทศ ซึ่งอาการจากติดเชื้อ COVID-19 นั้นมีความคล้ายกับโรคไข้หวัดใหญ่ ทำให้หลายคนที่มีอาการป่วยในช่วงนี้กังวลว่าตนเองป่วยเป็นโรคอะไรกันแน่
แม้ว่าทั้งสองโรคนี้จะมีความคล้ายคลึงกันในหลายด้าน แต่ก็มีความแตกต่างพอที่จะสังเกตโรคได้ในเบื้องต้น โดยในบทความนี้จะพูดถึงความแตกต่างของโรคโควิด-19 และไข้หวัดใหญ่ พร้อมมีข้อสังเกตที่อาจช่วยให้รับมือกับเชื้อไวรัสได้ดียิ่งขึ้น
ความแตกต่างของโรคติดเชื้อโควิด-19 และไข้หวัดใหญ่
เชื้อต้นเหตุที่ทำให้เกิดทั้งสองโรคนี้จะส่งกระทบต่ออวัยวะภายในระบบทางเดินหายใจเป็นหลัก ทำให้ผู้ป่วยมีอาการของโรคบางอย่างคล้ายกัน แต่เชื้อก่อโรคนั้นเป็นคนละชนิด จึงทำให้มีอาการที่ต่างกันด้วย
โรคไข้หวัดใหญ่
ไข้หวัดใหญ่ (Influenza) เกิดจากการติดเชื้อไวรัสภายในระบบทางเดินหายใจ มักปรากฏอาการหลังได้รับเชื้อ 1-4 วัน ซึ่งผู้ติดเชื้อสามารถแพร่เชื้อผ่านการไอหรือจามได้ในระหว่างนี้ โดยอาการที่พบได้บ่อยเมื่อเป็นไข้หวัดใหญ่ ได้แก่
- มีไข้ ตัวร้อน หนาวสั่น แต่บางรายอาจไม่มีไข้
- ไอ เจ็บคอ
- คัดจมูก น้ำมูกไหล
- ปวดเมื่อยตามร่างกาย
- ปวดศีรษะ
- อ่อนเพลีย
นอกจากนี้ ผู้ป่วยอาจมีอาการท้องเสียหรืออาเจียนร่วมด้วย โดยทั้งสองอาการนี้พบได้ในผู้ป่วยเด็กมากกว่าผู้ใหญ่ อีกทั้งไข้หวัดใหญ่อาจทำให้เกิดภาวะแทรกซ้อนอันตรายอย่างภาวะปอดบวมได้ในบางราย
โรคติดเชื้อโควิด-19
เชื้อไวรัสโคโรน่าสายพันธุ์ใหม่ 2019 มีระยะฟักตัวราว 2-14 วันหลังได้รับเชื้อ ในระหว่างนี้อาจไม่มีอาการของโรคปรากฏให้เห็น แต่สามารถเกิดการแพร่เชื้อผ่านละอองสารคัดหลั่งอย่างน้ำมูกหรือน้ำลายได้ โดยอาการหลักที่พบได้จากการติดเชื้อ COVID-19 ได้แก่
- มีไข้สูง
- ไอ
- หายใจไม่อิ่ม
นอกจากนี้ บางรายอาจพบอาการที่คล้ายกับไข้หวัดใหญ่ เช่น ปวดตามร่างกาย ปวดศีรษะ เจ็บคอ คัดจมูก มีน้ำมูก จมูกไม่ได้กลิ่น ลิ้นไม่รู้รส ถ่ายเหลว และอาเจียน เป็นต้น รวมทั้งเชื้อโควิด-19 ก็อาจทำให้เกิดปอดบวมรุนแรงได้เช่นเดียวกัน
ความเหมือนและความแตกต่างที่ควรสังเกต
หลังจากทำความรู้จักกับโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 กับโรคไข้หวัดใหญ่ไปในเบื้องต้นแล้ว ลองมาดูข้อสังเกตบางประการที่อาจช่วยแยกสองโรคได้ออกจากกันได้ง่ายขึ้น เช่น
-
ความรุนแรง
ทั้งสองโรคนี้อาจทำให้เกิดอาการได้ตั้งแต่ระดับไม่รุนแรงไปจนถึงระดับที่เป็นอันตรายต่อชีวิต แต่เชื้อ COVID-19 อาจมีแนวโน้มทำให้เกิดอาการและภาวะแทรกซ้อนที่รุนแรงกว่าโรคไข้หวัดใหญ่
-
อาการเด่นของโรค
หากอาการหายใจไม่อิ่มที่มีสาเหตุมาจากปอดบวมอาจมีแนวโน้มเกิดจากเชื้อโควิด-19 มากกว่า เพราะในทางการแพทย์จัดอาการดังกล่าวเป็นอาการหลักของโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019
-
การแพร่เชื้อในลักษณะเดียวกัน
สองโรคนี้สามารถติดต่อผ่านทางสารคัดหลั่งอย่างน้ำลาย น้ำมูก เสมหะ โดยอาจเกิดจากการพูดคุย ไอ จาม หรือใช้มือสัมผัสกับสิ่งของที่ปนเปื้อนสารคัดหลั่งแล้วนำมาสัมผัสกับจมูก ปาก ใบหน้า และดวงตา ซึ่งอาจทำให้ติดเชื้อได้เช่นกัน
-
ระยะฟักตัวที่แตกต่างกัน
ทั้ง COVID-19 และไข้หวัดใหญ่สามารถติดต่อกันได้แม้ไม่มีอาการ แต่เชื้อโควิด-19 นั้นมีระยะฟักตัวที่นานกว่าเชื้อไข้หวัดใหญ่หลายเท่า จึงทำให้ผู้ป่วยไม่ทราบว่าตนเองติดเชื้อและทำให้เชื้อแพร่ระบาดได้ง่ายขึ้น
-
อันตรายต่อผู้สูงอายุและผู้ที่มีโรคประจำตัว
ผู้สูงอายุและผู้ที่มีโรคประจำตัว โดยเฉพาะโรคปอด โรคหัวใจ โรคอ้วน โรคเบาหวาน โรคตับ และภาวะภูมิคุ้มกันต่ำมีความเสี่ยงที่อาการจะรุนแรงกว่าคนปกติและมีแนวโน้มเสียชีวิตที่สูงกว่า
-
การสัมผัสกับพื้นที่เสี่ยงหรือคนกลุ่มเสี่ยง
ไข้หวัดใหญ่เป็นโรคที่สามารถพบได้ในทุกประเทศ ในขณะที่ COVID-19 มีแหล่งการระบาดมาจากประเทศจีน ซึ่งในปัจจุบันหลายประเทศมีการระบาดและกลายเป็นประเทศเสี่ยง รวมถึงประเทศไทย ดังนั้น หากตนเองหรือคนใกล้ชิดเดินทางกลับมาจากต่างประเทศ ไปในพื้นที่ที่มีข่าวการระบาด อยู่ใกล้ชิดกับผู้ป่วยในช่วงที่ผ่านมาและเริ่มมีอาการต้องสงสัยก็อาจมีความเสี่ยงที่ติดเชื้อโควิด-19
-
การวินิจฉัย
ในการวินิจฉัยไข้หวัดใหญ่ แพทย์อาจใช้การสังเกตอาการของโรคเป็นหลัก และอาจใช้การเก็บตัวอย่างของสารคัดหลั่งภายในระบบทางเดินหายใจ อย่างจมูกหรือคอ เพื่อนำไปเพาะเชื้อในห้องปฏิบัติการ ซึ่งโรคติดเชื้อ COVID-19 ก็มีลักษณะการตรวจที่คล้ายกัน แต่เพราะเป็นโรคที่เพิ่งค้นพบและเป็นเชื้อคนละชนิด จึงอาจจำเป็นต้องใช้เครื่องมือบางอย่างที่แตกต่างกัน และพิจารณาร่วมกับประวัติที่เสี่ยงต่อการติดเชื้อ
เชื้อโควิด-19 และไข้หวัดใหญ่รักษาอย่างไร มีวัคซีนป้องกันหรือไม่
โรคไข้หวัดใหญ่ส่วนใหญ่เกิดจากเชื้อไวรัส สามารถหายได้เองภายในระยะเวลาไม่เกิน 2 สัปดาห์ โดยในระหว่างนั้นอาจใช้ยารักษาตามอาการ เช่น ยาแก้ปวด ยาลดไข้ ยาลดน้ำมูก และยาแก้ไอ รวมทั้งยังมียาต้านไวรัสไข้หวัดใหญ่ที่แพทย์อาจนำมาใช้ในการรักษา ซึ่งอาจช่วยลดระยะเวลาการป่วยและช่วยให้หายเร็วขึ้น นอกจากนี้ แพทย์จะแนะนำให้ผู้ป่วยพักผ่อนให้เพียงพอ ดื่มน้ำในปริมาณที่เหมาะสม หลีกเลี่ยงการอยู่ในที่แออัดหรือพื้นที่สาธารณะ
ในขณะที่โรค COVID-19 ยังไม่มียาที่ใช้รักษาโรคนี้โดยตรง โดยแพทย์จะรักษาตามอาการหากผู้ป่วยมีอาการไม่รุนแรง ส่วนผู้ที่อยู่ในกลุ่มเสี่ยงต่อการเกิดภาวะแทรกซ้อน โดยเฉพาะผู้สูงอายุและผู้ที่มีโรคประจำตัว เช่น โรคปอดเรื้อรัง โรคไตเรื้อรัง โรคหัวใจ โรคตับ โรคอ้วน หรือมีภาวะภูมิคุ้มกันต่ำ แพทย์อาจสั่งจ่ายยาบางชนิดที่ได้รับอนุญาตให้ใช้รักษาโรคโควิด-19 โดยต้องพิจารณาตามอาการและการตอบสนองต่อยาของผู้ป่วย ร่วมกับการสังเกตภาวะแทรกซ้อน ได้แก่ ยาคลอโรควิน (Chloroquine) ยาไฮดรอกซีคลอโรควิน (Hydroxychloroquine) ยาฟาวิพิราเวียร์ (Favipiravir) ยาดารุนาเวียร์ (Darunavir) ยาริโทนาเวียร์ (Ritonavir) หรือยาอะซิโธรมัยซิน (Azithromycin)
ในปัจจุบันวัคซีนไข้หวัดใหญ่มีให้บริการตามโรงพยาบาลทั่วไป เพื่อช่วยเพิ่มภูมิคุ้มกันเชื้อไวรัสไข้หวัดใหญ่ให้แก่ร่างกาย แต่วัคซีนป้องกันเชื้อ COVID-19 ยังอยู่ระหว่างการทดลองเพื่อยืนยันประสิทธิภาพในการป้องกันเชื้อและความปลอดภัยในระยะยาว
วิธีป้องกันตนเองจากเชื้อโควิด-19 และไข้หวัดใหญ่
เชื้อ COVID-19 และเชื้อไข้หวัดใหญ่สามารถป้องกันและลดความเสี่ยงได้ ดังนี้
- ล้างมือด้วยสบู่และน้ำให้บ่อยมากขึ้น โดยใช้เวลาฟอกสบู่นานอย่างน้อย 20 วินาทีต่อครั้ง
- หากไม่สะดวกล้างมือ ควรพกเจลแอลกอฮอล์ที่มีความเข้มข้น 70 เปอร์เซ็นต์ขึ้นไป ติดตัวไว้เสมอสำหรับการทำความสะอาด โดยควรใช้ก่อนรับประทานอาหารทุกครั้งหรือใช้หลังจากสัมผัสสิ่งของสาธารณะ เช่น ปุ่มกดลิฟต์ ราวโหนบนรถสาธารณะ ลูกบิดประตู หรือโต๊ะอาหาร เป็นต้น
- หลีกเลี่ยงการเข้าไปในสถานที่ที่มีคนจำนวนมากอยู่รวมกัน เพราะอาจเสี่ยงต่อการได้รับเชื้อ เช่น รถสาธารณะ ห้างสรรพสินค้า และโรงพยาบาล
- หากจำเป็นต้องเข้าไปในที่ที่สาธารณะหรือสถานที่ที่มีคนเยอะ ควรสวมหน้ากากอนามัยทุกครั้ง
- งดใช้มือที่ยังไม่ได้ทำความสะอาดสัมผัสกับหน้ากากอนามัย จมูก ปาก ดวงตา และใบหน้า
- หลีกเลี่ยงการสัมผัสหรืออยู่ใกล้กับผู้ที่มีอาการป่วย
- หากมีอาการไอจาม ควรใช้กระดาษทิชชูปิดปากและจมูกให้มิดชิด หรือไอจามใส่ข้อพับแขนแทนฝ่ามือ เพื่อลดความเสี่ยงของการแพร่ระบาดในกรณีที่มีเชื้อ
สุดท้ายนี้ หากรู้สึกว่าตนเองมีอาการไม่สบายร่วมกับมีพฤติกรรมเสี่ยง เช่น เดินทางในต่างประเทศ อยู่ใกล้ชิดกับคนป่วย หรือเข้าไปในพื้นที่ที่มีการระบาดในช่วงที่ผ่าน ควรสวมหน้ากากอนามัยและไปพบแพทย์ทันที