ความหมาย ลำไส้แปรปรวน
ลำไส้แปรปรวน (Irritable Bowel Syndrome) หรือโรคไอบีเอส คือ โรคลำไส้ที่ทำให้เกิดอาการปวดท้อง แน่นท้อง ไม่สบายท้อง มีปัญหาเกี่ยวกับระบบขับถ่าย ท้องผูก ท้องเสีย ท้องผูกสลับกับท้องเสีย หรืออั้นอุจจาระไม่อยู่ เป็นต้น เป็นผลมาจากปัจจัยเสี่ยงต่าง ๆ เช่น ความเครียด การรับประทานอาหาร ในครอบครัวที่มีสมาชิกเป็นโรคลำไส้แปรปรวน จะมีแนวโน้มในการเกิดโรคนี้ได้มากกว่า มักพบมากในช่วงวัยรุ่นตอนปลายถึงช่วงประมาณอายุ 40 ปี โดยเฉพาะในผู้ป่วยเพศหญิง อาจไม่ทำให้เกิดอันตราย แต่จะส่งผลต่อการใช้ชีวิตของผู้ป่วยได้
อาการของลำไส้แปรปรวน
ในผู้ที่ป่วยลำไส้แปรปรวนจะมีอาการไม่สบายท้อง แน่นท้อง ท้องอืด ท้องเฟ้อ มีแก๊สในท้องมาก ปวดท้องด้านล่างมากหลังรับประทานอาหาร และอาการจะดีขึ้นหลังการขับถ่าย ท้องผูก ท้องเสีย ท้องผูกสลับกับท้องเสีย อุจจาระแข็งหรือนิ่มกว่าปกติ อุจจาระไม่สุด อุจจาระมีเมือกใสหรือสีขาวปนออกมา อั้นอุจจาระไม่อยู่ หรืออาจพบอาการอื่น ๆ ร่วมด้วย เช่น หมดแรง ปวดหลัง กลั้นปัสสาวะไม่อยู่ หรืออาจรู้สึกเจ็บที่อวัยวะเพศขณะมีเพศสัมพันธ์ในผู้ป่วยที่เป็นเพศหญิง เป็นต้น
ความเครียด รวมถึงอาหารและเครื่องดื่มที่รับประทานเข้าไปอาจเป็นตัวการหนึ่งที่ทำให้อาการแย่ลงลำไส้แปรปรวนแบ่งได้เป็น 3 กลุ่ม คือ
- กลุ่มอาการท้องผูก (IBS-C)
- กลุ่มอาการท้องเสีย (IBS-D)
- กลุ่มอาการท้องผูกสลับกับท้องเสีย (IBS-M)
ควรไปพบแพทย์หากพบว่ามีอาการของลำไส้แปรปรวน ถ้าผู้ป่วยไม่ได้รับการรักษา อาการอาจแย่ลงได้ หรือพบว่ามีอาการอุจจาระเป็นเลือด น้ำหนักลดลงอย่างไม่ทราบสาเหตุ มีอาการบวมที่ท้อง รวมถึงอาการของโรคโลหิตจาง เช่น รู้สึกเหนื่อย หมดแรง หายใจถี่ หัวใจเต้นแรง ผิวซีด ควรรีบไปพบแพทย์โดยด่วน
สาเหตุของลำไส้แปรปรวน
ยังบอกไม่ได้ว่าลำไส้แปรปรวนเกิดจากสาเหตุใด มีหลายปัจจัยที่เป็นตัวการหรือตัวกระตุ้นทำให้ลำไส้เกิดอาการแปรปรวนได้ รวมถึงปัจจัยต่าง ๆ ดังต่อไปนี้
- เพศ ในเพศหญิงมีโอกาสเกิดโรคลำไส้แปรปรวนได้มากกว่าในเพศชาย เหล่านักวิจัยมีความเห็นว่าการเปลี่ยนแปลงของฮอร์โมนในช่วงการมีประจำเดือนจะมีส่วนเกี่ยวข้องต่อการเกิดโรคลำไส้แปรปรวน
- อายุ โรคลำไส้แปรปรวนเกิดขึ้นได้กับคนทุกวัย แต่จะพบได้มากกว่าในกลุ่มวัยรุ่นจนถึงช่วงอายุประมาณ 40-50 ปี
- พันธุกรรม ในครอบครัวที่มีสมาชิกเป็นโรคลำไส้แปรปรวน จะมีแนวโน้มในการเกิดโรคนี้ได้มากกว่า
- ปัญหาทางจิตใจและอารมณ์ ในบุคคลที่มีความเครียด วิตกกังวล ปัญหาทางจิต ประสบเหตุการณ์ที่กระทบกระเทือนจิตใจ เช่น ถูกทารุณกรรมทางเพศ หรือถูกทำร้ายร่างกาย จะมีแนวโน้มของการเกิดโรคได้มากกว่า
- ความไวต่ออาหารหรืออาหารเป็นพิษ เช่น การรับประทานอาหารประเภท นม เนย ชีส ช็อกโกแลตข้าวสาลี น้ำตามจากผลไม้หรือฟรักโทส (Fructose) สารให้ความหวานซอร์บิทอล (Sorbitol) ของทอด อาหารที่มีไขมันสูง น้ำอัดลม ชา กาแฟ หรือเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ เป็นต้น
- ปัญหาในการย่อยอาหาร หากอาหารเคลื่อนตัวผ่านทางเดินอาหารเร็วเกินไป ร่างกายไม่ทันได้ดูดซึมน้ำและสารอาหาร จะทำให้เกิดอาการท้องเสีย และหากอาหารเคลื่อนตัวผ่านทางเดินอาหารช้าเกินไป ร่างกายดูดซึมน้ำและสารอาหารมากเกินไป จะทำให้อุจจาระเคลื่อนตัวลำบากและเกิดอาการท้องผูก
- การใช้ยาบางชนิด ในงานศึกษาวิจัยแสดงให้เห็นว่าการใช้ยาบางชนิด เช่น ยาปฏิชีวนะ ยารักษาอาการซึมเศร้า หรือยาที่มีส่วนประกอบของซอร์บิทอล (Sorbitol) เป็นต้น
การวินิจฉัยลำไส้แปรปรวน
แพทย์จะตรวจอาการของโรคโดยทั่วไปว่าในช่วง 6 เดือนที่ผ่านมา ผู้ป่วยมีอาการของโรคลำไส้แปรปรวนหรือไม่ เช่น รู้สึกเครียดหรือรู้สึกรีบในขณะถ่ายอุจจาระ รู้สึกว่าอุจจาระไม่สุด มีเมือกปนออกมาจากอุจจาระ ท้องอืด แน่นท้อง ไม่สบายท้อง อาการปวดท้องแย่ลงหลังรับประทานอาหาร ใช้ยาความดันโลหิตสูง ธาตุเหล็ก ยาลดกรดในกระเพาะอาหาร การแพ้อาหาร การติดเชื้อ การย่อยอาหาร โรคลำไส้อักเสบ รวมถึงเคยมีสมาชิกในครอบครัวเป็นโรคมะเร็งลำไส้ หรือมะเร็งรังไข่หรือไม่และอย่างไร โดยแพทย์จะหาสาเหตุจากโรคอื่น ๆ ที่ทำให้เกิดอาการคล้ายกันก่อน หากตรวจไม่พบความผิดปกติจากโรคอื่นๆ แพทย์จึงวินิจฉัยว่าเกิดจากโรคลำไส้แปรปรวน และอาจมีการวินิจฉัยเพิ่มเติมด้วยแนวทางดังต่อไปนี้
- การส่องกล้องตรวจลำไส้ใหญ่ (Flexible Sigmoidoscopy) หรือการส่องกล้องตรวจลำไส้ใหญ่และทวารหนัก (Colonoscopy) เพื่อหาสัญญาณและอาการของการอุดตันหรือการอักเสบที่ลำไส้ใหญ่
- การส่องกล้องตรวจกระเพาะอาหารและลำไส้เล็กส่วนต้น (Upper Endoscopy) ในกรณีที่ผู้ป่วยมีอาหารแสบร้อนกลางอกหรืออาหารไม่ย่อย
- การเอกซเรย์ (X-Rays)
- การตรวจเลือดเพื่อหาภาวะโลหิตจาง ปัญหาเกี่ยวกับต่อมไทรอยด์ และการติดเชื้อ
- การตรวจอุจจาระเพื่อหาการติดเชื้อในทางเดินอาหารและตรวจหาเลือดที่ปนมาในอุจจาระ
- การทดสอบการแพ้แลคโตส และการแพ้กลูเตน
การรักษาลำไส้แปรปรวน
ในการรักษาทำได้โดยบรรเทาอาการของโรคลำไส้แปรปรวน เพื่อให้ผู้ป่วยใช้ชีวิตได้ตามปกติ
มากที่สุด ในผู้ป่วยที่มีอาการไม่รุนแรงรักษาได้โดยจัดการกับปัจจัยที่ทำให้เกิดโรค เช่น ความเครียด การรับประทานอาหาร การใช้ชีวิต หรือต้องใช้ยาในการรักษาผู้ป่วยที่มีอาการรุนแรง โดยมีแนวทางในการปฏิบัติดังต่อไปนี้
- ปรับเปลี่ยนพฤติกรรมการรับประทานอาหาร เช่น รับประทานอาหารที่อุดมไปด้วยเส้นใย ในผู้ป่วยที่มีอาการท้องผูกการดื่มน้ำมาก ๆ และเพิ่มปริมาณการรับประทานอาหารที่มีเส้นใยละลายน้ำ (Soluble Fibre) เช่น กล้วย แอปเปิ้ล แครอท เป็นต้น และในผู้ที่มีอาการท้องเสียควรลดปริมาณการรับประทานอาหารที่มีเส้นใยไม่ละลายน้ำ (Insoluble Fibre) เช่น ซีเรียล ถั่ว ธัญพืช เป็นต้น
- หลีกเลี่ยงการรับประทานอาหารประเภทคาร์โบไฮเดรตที่ย่อยยาก เพื่อลดการเกิดแก๊สในท้อง และท้องอืด เช่น ถั่ว นมจากสัตว์ ผลิตภัณฑ์จากข้าวสาลี ผักและผลไม้บางชนิด เป็นต้น รวมถึงอาหารแปรรูป อาจรับประทานข้าวโอ๊ตเพื่อช่วยบรรเทาอาการท้องอืดได้
- รับประทานอาหารตรงเวลา ไม่ควรอดอาหาร และไม่ควรรีบรับประทาน
- ดื่มน้ำอย่างน้อยวันละ 8 แก้ว
- หลีกเลี่ยงเครื่องดื่มที่มีส่วนประกอบของคาเฟอีน เช่น ชา กาแฟ รวมถึงเครื่องดื่มแอลกอฮอล์และน้ำอัดลม
- หลีกเลี่ยงการรับประทานสารให้ความหวานซอร์บิทอล มักพบในหมากฝรั่ง เครื่องดื่มบางชนิด เป็นต้น
- ออกกำลังกายเป็นประจำ เช่น ทำสมาธิ โยคะ พิลาทิส ไทเก็ก เดิน วิ่ง หรือว่ายน้ำ เป็นต้น จะช่วยผ่อนคลายความเครียด กระตุ้นการทำงานของระบบขับถ่าย และทำให้ผู้ป่วยมีความรู้สึกเกี่ยวกับตัวเองที่ดีขึ้น ทั้งนี้ควรปรึกษาแพทย์ถึงประเภทของการออกกำลังกายที่เหมาะสมกับอาการของผู้ป่วยแต่ละราย และไม่ควรออกกำลังกายหักโหมจนเกินไป
- การรับประทานผลิตภัณฑ์เสริมอาหารโปรไบโอติกส์ (Probiotics) ที่ทางผู้ผลิตกล่าวว่าช่วยเสริมสร้างระบบย่อยอาหารได้ โดยจะมีแบคทีเรียที่เป็นมิตรต่อร่างกาย ช่วยสร้างสมดุลให้กับแบคทีเรียที่อยู่ในลำไส้ ในปัจจุบันยังไม่มีหลักฐานทางงานวิจัยยืนยันถึงประโยชน์ของโปรไบโอติกส์อย่างชัดเจน
- การใช้ยา เช่น
- ยาแก้ปวดท้อง เช่น มีบีเวอรีน หรือน้ำมันหอมระเหยเปเปอร์มินท์ ช่วยบรรเทาอาการปวดท้องเกร็ง ผ่อนคลายกล้ามเนื้อในระบบย่อยอาหาร อาจทำให้เกิดผลข้างเคียงได้ แต่ค่อนข้างพบได้น้อย เช่น ง่วงซึม หรือท้องผูก เป็นต้น
- ยาระบาย จะช่วยทำให้อุจจาระอ่อนนุ่มและเคลื่อนตัวได้ง่ายขึ้น และเหมาะกับผู้ที่มีอาการท้องผูก ในช่วงที่มีการใช้ยาระบายซึ่งอาจทำให้เกิดผลข้างเคียง เช่น ท้องอืด แน่นท้อง เป็นต้น ควรดื่มน้ำมาก ๆ
- ยาลดการเคลื่อนไหวของลำไส้ เช่น โลเพอราไมด์ นิยมใช้ในผู้ป่วยที่มีกลุ่มอาการท้องเสีย จะช่วยลดการบีบตัวของกล้ามเนื้อในลำไส้ มีเวลาให้อุจจาระแข็งและจับตัวเป็นก้อนมากขึ้น อาจทำให้เกิดผลข้างเคียงได้ เช่น ปวดท้อง ท้องอืด แน่นท้อง วิงเวียนศีรษะ ง่วงซึม หรือมีผื่นคัน เป็นต้น
- ยารักษาอาการซึมเศร้า เช่น อะมิทริปไทลีน ไซตาโลแพรม ฟลูออกซิทีน พาร็อกซีทีน เป็นต้น จะใช้เมื่อผู้ป่วยใช้ยาแก้ปวดท้องแล้วไม่มีอาการดีขึ้น ในช่วงแรกของการใช้ยาอาจทำให้เกิดผลข้างเคียงได้ เช่น ปากแห้ง ท้องผูก มองภาพไม่ชัด ง่วงซึม เป็นต้น ควรพบแพทย์หากอาการข้างเคียงไม่ดีขึ้น
- ยา Linaclotide เป็นยาชนิดแคปซูล รับประทานวันละ 1 ครั้ง ตอนท้องว่างหรือ 30 นาทีก่อนอาหารมื้อแรกของวัน จะช่วยบรรเทาอาการท้องผูก โดยกระตุ้นการบีบตัวของลำไส้ให้ทำงานมากขึ้น ไม่ควรใช้ยานี้ในเด็กที่มีอายุต่ำกว่า 18 ปี และอาจทำให้เกิดอาการท้องเสียซึ่งเป็นผลข้างเคียงจากการใช้ยาได้
- ยา Lubiprostone เป็นยาที่ใช้รักษาอาการลำไส้แปรปรวนในเพศหญิงที่อาการไม่ดีขึ้นจากการรักษาด้วยวิธีอื่น ๆ อาจทำให้เกิดผลข้างเคียงได้ เช่น คลื่นไส้ ท้องเสีย ปวดท้อง หรืออาจเกิดผลข้างเคียงที่มีอาการรุนแรงได้ในผู้ป่วยบางราย เช่น เป็นลม มีอาการบวมที่แขนหรือขา หายใจไม่สะดวก หรือหัวใจวายได้ เป็นต้น
ภาวะแทรกซ้อนของลำไส้แปรปรวน
คุณภาพชีวิตโดยรวมที่เปลี่ยนแปลงไป เป็นภาวะแทรกซ้อนที่ส่งผลหรือเกิดขึ้นกับผู้ป่วยลำไส้แปรปรวนมากที่สุด หรืออาจนำไปสู้ความรู้สึกท้อแท้หรือภาวะซึมเศร้า รวมถึงผู้ป่วยลำไส้แปรปรวนที่เป็นริดสีดวงทวาร จะทำให้ริดสีดวงทวารมีอาการที่รุนแรงขึ้นได้
การป้องกันลำไส้แปรปรวน
โรคลำไส้แปรปรวนเป็นโรคที่ยังไม่ทราบถึงสาเหตุของการเกิดโรค แต่ปัจจัยหนึ่งที่ส่งผลต่ออาการและความรุนแรงของโรคลำไส้แปรปรวน คือความเครียด ในผู้ป่วยที่มีความเครียดมีแนวโน้มจะทำให้เกิดอาการปวดท้อง ท้องเสียบ่อยครั้ง หรือทำให้อาการรุนแรงขึ้นได้ การจัดการกับความเครียดเป็นวิธีหนึ่งในการป้องกันหรือบรรเทาอาการได้ ปฏิบัติได้ด้วยการฝึกลมหายใจโดยใช้กระบังลม หายใจเข้าและออกลึก ๆ หรือการนั่งสมาธิ รวมถึงการทำกิจกรรมที่ช่วยให้ผ่อนคลายอย่างน้อยละวันละ 20 นาที เช่น ฟังเพลง อ่านหนังสือ เล่นเกม หรือการแช่ตัวในน้ำอุ่น ๆ เป็นต้น