ลูกดิ้น สัญญาณสำคัญที่ว่าที่คุณแม่ควรรู้

ลูกดิ้น เป็นสัญญาณความเปลี่ยนแปลงที่เกิดจากเจริญเติบโตของทารกในครรภ์ ซึ่งเรื่องสำคัญที่ว่าที่คุณแม่ควรรู้ รวมทั้งควรเรียนรู้วิธีการสังเกตความผิดปกติในการดิ้นของลูก เพื่อความปลอดภัยของลูกน้อยในครรภ์

ลูกดิ้นเป็นการเคลื่อนไหวของทารกในครรภ์ที่ทำให้ว่าที่คุณแม่สามารถรู้สึกได้ว่าเด็กกำลังขยับเขยื้อนร่างกายอยู่ โดยสาเหตุที่ทำให้ทารกในครรภ์ขยับตัวนั้นอาจมาจากการเคลื่อนไหวของทารกและอากัปกิริยาต่าง ๆ เช่น การสะอึก การได้รับสารอาหารและออกซิเจน บางครั้งอาจเป็นการสื่อสารที่ทารกต้องการตอบสนองกับมารดา

Baby's kicks

ลูกดิ้น อาการเป็นอย่างไร 

ว่าที่คุณแม่ที่ตั้งครรภ์จะเริ่มรู้สึกถึงการเคลื่อนไหวในช่วงสัปดาห์ที่ 16–20 ของการตั้งครรภ์ โดยอาการลูกดิ้นในช่วงแรก ๆ จะให้ความรู้สึกเหมือนปลาทองว่ายน้ำหรือรู้สึกเหมือนผีเสื้อกำลังกระพือปีกอยู่ภายในท้อง บ้างก็รู้สึกเหมือนเส้นประสาทกระตุกเบา ๆ โดยการขยับตัวของทารกจะมีทั้งการเตะ ต่อย การพลิกตัวและม้วนตัว 

โดยการดิ้นของเด็กจะเพิ่มขึ้นไปเรื่อย ๆ จนถึง สัปดาห์ที่ 32 จากนั้นจะคงที่ อย่างไรก็ตามการเคลื่อนไหวของทารกอาจจะเปลี่ยนแปลงได้ในช่วงใกล้วันกำหนดคลอด

ในช่วงแรก ทารกในครรภ์จะขยับตัวเพียงเล็กน้อยและไม่บ่อย แต่เมื่อเข้าสู่ช่วงท้ายของการตั้งครรภ์ไตรมาสที่ 2 (อายุครรภ์ 4–6 เดือน) ทารกจะขยับตัวมากขึ้น ทำให้คุณแม่สามารถรับรู้การเคลื่อนไหวของเด็กได้อย่างชัดเจนและบ่อยมากขึ้น โดยการศึกษาหนึ่งพบว่า การตั้งครรภ์ในช่วงไตรมาสที่ 3 เด็กอาจขยับตัวได้ถึง 30 ครั้งต่อชั่วโมงเลยก็เป็นได้

ทั้งนี้การติดตามความถี่ในการดิ้นของทารกในครรภ์เป็นเรื่องจำเป็นสำหรับว่าที่คุณแม่ และสามารถทำได้เองอย่างง่าย ๆ ด้วยการจดจำรูปแบบการดิ้นของเด็ก ซึ่งจะแตกต่างกันไปตามอายุครรภ์ ดังนี้

สัปดาห์ที่ 16–19 

การเคลื่อนไหวของทารกยังไม่ชัดเจน จะต้องใช้เวลาสักพักกว่าจะสามารถระบุได้ว่าเป็นอาการขยับตัวของทารก ทั้งนี้ครรภ์แรกจะเริ่มรับรู้ว่าลูกดิ้นในช่วงสัปดาห์ที่ 18 และครรภ์ต่อมาจะรับรู้ได้เร็วขึ้น ประมาณสัปดาห์ที่ 16

สัปดาห์ที่ 20–23 

คุณแม่จะเริ่มรู้สึกได้ถึงการเตะเบา ๆ หรือการขยับตัวจากการสะอึกของทารก จากนั้นในสัปดาห์ต่อ ๆ มา กิจกรรมทางกายของทารกก็จะเพิ่มขึ้นและชัดเจนขึ้น โดยอาจพบว่าเด็กจะมีการขยับตัว เช่น เตะ หมุนตัว หรือตีลังกามากขึ้นในช่วงเย็นของวันซึ่งเป็นช่วงที่คุณแม่รู้สึกผ่อนคลาย นอกจากนี้เวลารับประทานอาหารก็จะเป็นช่วงที่เด็กขยับตัวบ่อย

สัปดาห์ที่ 24–28 

ของเหลวในถุงน้ำคร่ำจะเพิ่มขึ้นไปถึง 750 มิลลิลิตร ซึ่งจะทำให้ทารกมีพื้นที่ในการขยับตัวมากขึ้น จึงเป็นเหตุผลที่ทำให้คุณแม่รู้สึกว่าเด็กมีการเคลื่อนไหวอยู่บ่อย ๆ โดยอาจมีทั้งการขยับเพียงแขนขาหรือการเคลื่อนไหวทั้งร่างกาย

สัปดาห์ที่ 29–31 

การขยับตัวของทารกจะเบาลง แต่ชัดเจนมากขึ้น เช่น เตะแรงขึ้น ต่อยแรงขึ้น และหลังจากนั้นคุณแม่อาจรู้สึกคล้ายกับว่าทารกขยับตัวเพื่อต่อสู้กับพื้นที่ในครรภ์ที่น้อยลง

สัปดาห์ที่ 32–35 

นับเป็นช่วงเวลาที่น่าตื่นเต้นที่สุดสำหรับการเคลื่อนไหวของทารกในครรภ์ เพราะในช่วงสัปดาห์ที่ 32 ความถี่ของการดิ้นจะสูงที่สุด หลังจากนั้นจะเริ่มคงที่ เนื่องจากทารกมีขนาดใหญ่ขึ้นและมีพื้นที่ในการขยับตัวน้อยลง การเคลื่อนไหวของทารกจะช้าแต่กินเวลานาน

สัปดาห์ที่ 36–40 

เป็นช่วงเวลาใกล้คลอด ดังนั้นหากเป็นท้องแรก ในช่วงสัปดาห์ที่ 36 เด็กจะเริ่มพลิกตัวเพื่อให้อยู่ในลักษณะเอาศีรษะลง แต่ถ้าหากแ กล้ามเนื้อภายในครรภ์และท้องจะช่วยในการพลิกตัวของเด็ก หากเด็กอยู่ในลักษณะเอาศีรษะลง คุณแม่จะรู้สึกเหมือนมีแตงโมกดทับอยู่ที่กล้ามเนื้ออุ้งเชิงกราน หากเด็กยังคงไม่พลิกตัว อาจต้องปรึกษาแพทย์เพื่อให้การคลอดปลอดภัยกับเด็กที่สุด 

แต่หากเป็นการตั้งครรภ์ครั้งที่ 2 กล้ามเนื้อบริเวณท้องจะแข็งแรงน้อยกว่าการตั้งครรภ์ครั้งแรก ดังนั้นเด็กอาจจะค่อย ๆ พลิกตัวอย่างช้า ๆ อย่างไรก็ตามในช่วงสัปดาห์ท้าย ๆ ทารกจะยังขยับตัวอยู่ การเคลื่อนไหวจะน้อยลงแต่ยังคงรู้สึกได้อย่างชัดเจน ซึ่งอาจทำให้คุณแม่รู้สึกไม่ค่อยสบายตัวหรือรู้สึกเจ็บ

สำหรับการสังเกตความถี่ของการดิ้นของทารก จะต้องทำในช่วงเวลาที่เด็กมักจะขยับตัวมากที่สุด โดยเมื่อถึงช่วงเวลานั้นให้ว่าที่คุณแม่นั่งหรือเอนหลังลงกับเก้าอี้ที่นั่งสบาย จากนั้นให้ลองนับจำนวนการดิ้นของทารกที่รู้สึกได้ ซึ่งไม่ควรต่ำกว่า 10 ครั้ง ต่อเวลา 2 ชั่วโมง หากน้อยกว่านี้ควรลองนับใหม่อีกครั้งหนึ่งในวันเดียวกัน และถ้ายังไม่ถึง 10 ครั้งอีกก็ควรปรึกษาแพทย์

สาเหตุที่ลูกดิ้นน้อยหรือไม่ดิ้น 

แม้การขยับตัวของทารกจะเป็นสัญญาณถึงพัฒนาการของเด็ก แต่ผู้ที่พบว่าตัวเองไม่รู้สึกถึงการขยับตัวของทารก หรือทารกไม่ดิ้นเลย ก็อาจไม่ต้องกังวลจนเกินไป เพราะการที่เด็กไม่ดิ้นหรือดิ้นน้อยอาจมีสาเหตุมาจาก

ทารกในครรภ์กำลังหลับ 

ช่วงเวลาที่ทารกหลับจะเป็นช่วงที่มีการขยับตัวน้อยที่สุด

ทารกตัวใหญ่จนขยับตัวได้ยาก 

ตั้งแต่ช่วงสัปดาห์ที่ 32 เป็นต้นไป ทารกจะมีขนาดใหญ่ขึ้น ในขณะที่มดลูกยังขนาดเท่าเดิม ซึ่งจะทำให้เด็กไม่สามารถขยับตัวได้มากเหมือนการตั้งครรภ์ช่วงแรก 

ทว่าหากคุณแม่นับจำนวนครั้งในการดิ้นของเด็กในช่วงเวลาที่เด็กดิ้นมากที่สุดแล้วแต่ก็ยังดิ้นน้อยกว่าเกณฑ์ คือต่ำกว่า 10 ครั้ง ในระยะเวลา 2 ชั่วโมง มีรูปแบบการเคลื่อนไหวที่ผิดปกติ หรือเมื่อคุณแม่กระตุ้นให้เด็กเกิดการตอบสนองด้วยวิธีการรับประทานของว่าง ดื่มน้ำเย็น ดื่มเครื่องดื่มหวาน ๆ ขยับร่างกาย เปิดเพลงเสียงดัง แล้วเด็กก็ยังไม่ตอบสนอง 

นั่นอาจแสดงให้เห็นว่าเกิดความผิดปกติกับการตั้งครรภ์ หรือมีปัญหาเกี่ยวกับสุขภาพของเด็ก ซึ่งควรรีบไปพบแพทย์เพื่อทำการตรวจอย่างละเอียด 

โดยวิธีที่นิยมใช้ในการตรวจสุขภาพของครรภ์และเด็กทารก ได้แก่

  • การตรวจอัลตราซาวด์ (Fetal Ultrasound) วิธีนี้จะใช้การส่งคลื่นเสียงไปสะท้อนเพื่อให้กลับมาเป็นรูปภาพ ภาพที่ได้จะแสดงให้เห็นการเคลื่อนไหวของเด็กในครรภ์ อัตราการเต้นของหัวใจ และท่าทางของเด็ก
  • การตรวจสุขภาพทารกในครรภ์ (Nonstress Test) เป็นวิธีการตรวจอัตราการเต้นของหัวใจทารก โดยการนำแผ่นเหล็กขนาดเล็กที่ทาเจลวางลงบนท้อง จากนั้นใช้เข็มขัดคาดไว้เพื่อไม่ให้แผ่นเหล็กขยับไปจากที่เดิม
  • การตรวจวัดความเร็วของเลือดในหลอดเลือดทารกในครรภ์ (Fetal Doppler Velocimetry) วิธีนี้จะคล้ายกับวิธีการตรวจสุขภาพทารก แต่จะมีการใช้คลื่นเสียงร่วมด้วยเพื่อตรวจการไหลเวียนของเลือดภายในรกและสายสะดือ ซึ่งจะช่วยให้ทราบอัตราการเต้นของหัวใจทารก

การดิ้นของทารกไม่ใช่เป็นเพียงสัญญาณที่ทำให้ว่าที่คุณแม่และครอบครัวรู้สึกตื่นเต้นกับทารกตัวน้อยเท่านั้น แต่ยังมีส่วนสำคัญในการบ่งบอกถึงสุขภาพของทารก ดังนั้นทางที่ดีที่สุดก็คือคุณแม่ควรหมั่นนับและสังเกตการดิ้นของทารก พร้อมกับจดบันทึกความเปลี่ยนแปลงไว้อยู่เสมอเพื่อป้องกันปัญหาที่อาจเป็นอันตรายต่อทั้งแม่และทารกในครรภ์ที่กำลังจะลืมตาดูโลกได้อย่างทันท่วงที