เคล็ด (ไม่) ลับหน้าเด็กกว่าวัย ทำได้ด้วยตัวเอง

ริ้วรอยและความเหี่ยวย่นของผิวเป็นสัญญาณแห่งวัยที่ไม่อาจหลีกเลี่ยงได้ หลายคนมักพบปัญหาผิวอ่อนแอ หยาบกร้าน และหย่อนคล้อยเมื่ออายุเพิ่มขึ้น จึงพยายามหาวิธีชะลอวัยเพื่อให้กลับมาหน้าเด็กอีกครั้ง แม้การทำให้ผิวหน้ากลับมาอ่อนเยาว์อาจเป็นเรื่องยาก แต่การดูแลตัวเองอย่างสม่ำเสมอจะช่วยป้องกันไม่ให้คุณดูแก่ก่อนวัยได้

ความแก่ของผิวหนังอาจมีสาเหตุจากความเสื่อมของผิวตามวัย พันธุกรรม การเผชิญกับแสงแดดจัดเป็นเวลานาน และการดูแลผิวของแต่ละคน หากเริ่มใส่ใจดูแลผิวตั้งแต่ช่วงอายุ 20–30 ปี และหมั่นดูแลสุขภาพให้แข็งแรงอยู่เสมอ อาจช่วยชะลอการเกิดริ้วรอยก่อนวัย และคืนความอ่อนเยาว์ให้แก่ผิวของคุณ บทความนี้ได้รวบรวมเคล็ดลับหน้าเด็กที่ทำได้ด้วยตัวเองมาฝากกัน

How to look young

หน้าแก่เกิดจากสาเหตุใด

ศัตรูของความหน้าเด็ก เช่น ริ้วรอย กระ และจุดด่างดำ เกิดขึ้นได้จากหลายปัจจัยประกอบกัน โดยทั่วไป เรามักสังเกตเห็นความเปลี่ยนแปลงของผิวเมื่ออายุระหว่าง 30–40 ปี ซึ่งเป็นช่วงที่การทำงานของผิวเริ่มเสื่อมลง ไขมันที่สะสมใต้ผิวหนังเริ่มสลายไปและผิวสังเคราะห์คอลลาเจนได้น้อยลง โดยเฉพาะเมื่อเข้าสู่วัยทอง (Menopause) การเปลี่ยนแปลงของฮอร์โมนอาจยิ่งทำให้ผิวแห้งและบางลง จึงทำให้ผิวสูญเสียความยืดหยุ่น เกิดการหย่อนคล้อยและมีริ้วรอย

นอกจากนี้ปัจจัยอื่น ๆ เช่น พันธุกรรม โรคอ้วน การสัมผัสแสงแดดจัดและมลพิษต่าง ๆ เป็นเวลานาน และพฤติกรรมการใช้ชีวิต เช่น การรับประทานอาหาร การสูบบุหรี่ การนอนตะแคงหรือนอนคว่ำที่ทำให้เกิดแรงกดทับบริเวณใบหน้า และความเครียด อาจเป็นปัจจัยที่ทำให้เกิดริ้วรอย ฝ้า กระ และทำให้ผิวดูแก่กว่าวัยได้

คืนความอ่อนเยาว์ให้ผิวด้วยเคล็ดลับหน้าเด็ก

หากคุณกำลังประสบปัญหาผิวแห้ง ผิวหย่อนคล้อย และริ้วรอยต่าง ๆ เคล็ดลับการดูแลผิวเหล่านี้อาจช่วยให้คุณดูหน้าเด็กกว่าวัยได้ง่าย ๆ ด้วยตัวเอง

1. การบำรุงผิว

หากอยากหน้าเด็กกว่าวัย การบำรุงผิวพรรณอย่างพิถีพิถันตั้งแต่เนิ่น ๆ จะช่วยคงความอ่อนวัยของผิวได้ โดยเลือกใช้ผลิตภัณฑ์ล้างหน้าที่อ่อนโยน เพื่อรักษาเกราะป้องกันของผิวให้แข็งแรง หลีกเลี่ยงการใช้ผลิตภัณฑ์ที่มีส่วนประกอบของสารโซเดียมลอริลซัลเฟต ซึ่งทำให้ผิวแห้งและระคายเคืองได้ง่าย 

ความชุ่มชื้นของผิวเป็นกุญแจสำคัญที่ทำให้คุณดูหน้าเด็ก จึงควรใช้มอยส์เจอร์ไรเซอร์ที่มีส่วนประกอบของไกลเซอรีน (Glycerin) และกรดไฮยาลูรอนิค (Hyaluronic Acid) ที่ช่วยป้องกันผิวแห้งกร้าน หรือเลือกใช้มอยส์เจอร์ไรเซอร์ที่มีส่วนประกอบของเรตินอยด์ (Retinoids) วิตามินบี 3 วิตามินซี และกรดไฮดรอกซี (Hydroxy Acids) ซึ่งนอกจากจะเพิ่มความชุ่มชื้นให้ผิว ยังมีคุณสมบัติช่วยลดเลือนริ้วรอยและช่วยฟื้นฟูผิวให้ดูเด็กได้

การปกป้องผิวจากแสงแดดจะช่วยป้องกันการเกิดจุดด่างดำ ผิวคล้ำแดด และริ้วรอยจากรังสียูวี (UV) โดยทาครีมกันแดดที่ปกป้องผิวได้อย่างครอบคลุม (Broad-Spectrum) มีคุณสมบัติกันน้ำ และมีค่า SPF 30 ขึ้นไป ซึ่งควรทาครีมกันแดดทุกวันบนผิวหนังบริเวณที่ไม่มีเสื้อผ้าปกปิด และทาซ้ำทุก 2 ชั่วโมงหรือหลังจากทำกิจกรรมที่มีเหงื่อออก

2. การแต่งหน้า

หลายคนอาจไม่ทราบว่าการแต่งหน้าอาจช่วยแก้ไขข้อบกพร่องจากความแก่ของผิวได้ หากมีริ้วรอยหรือมีสภาพผิวที่ไม่สม่ำเสมอ การเลือกใช้ไพรเมอร์ (Primer) ก่อนการทาครีมรองพื้น (Foundation) จะช่วยปรับสภาพผิวให้เรียบเนียน เติมเต็มริ้วรอยและรูขุมขนให้ตื้นขึ้น และยังช่วยให้การแต่งหน้าติดทนนานมากขึ้น

การใช้รองพื้นแต่งหน้าสำหรับผู้มีผิวแห้งและมีริ้วรอย ควรเลือกชนิดครีมที่มีเนื้อบางเบาและให้ความชุ่มชื้นได้ดี หลีกเลี่ยงการใช้ผลิตภัณฑ์เนื้อแป้งหรือเครื่องสำอางที่ผสมชิมเมอร์ (Shimmer) ซึ่งทำให้ผิวเป็นประกายแวววาว เพราะอาจเน้นให้เห็นริ้วรอยชัดเจนขึ้น นอกจากนี้ ควรเขียนคิ้วให้เป็นทรงตามธรรมชาติ ไม่โก่งจนเกินไป จะช่วยให้ใบหน้าดูเด็กลงได้

3. การรับประทานอาหาร

การรับประทานอาหารที่ประโยชน์มีส่วนช่วยบำรุงผิวพรรณให้อ่อนเยาว์และดูหน้าเด็กลงได้ โดยอาหารที่มีสารต้านอนุมูลอิสระ อย่างวิตามินซี วิตามินอี แคโรทีนอยด์ (Carotenoids) ฟลาโวนอยด์ (Flavonoids) และฟีนอล (Phenols) มีส่วนช่วยปกป้องความเสียหายของเซลล์ต่าง ๆ ในร่างกาย รวมถึงเซลล์ผิวจากการทำลายของอนุมูลอิสระ (Free Radicals) ซึ่งพบได้ในอาหารจำพวกผักที่มีสีสัน เช่น บร็อคโคลี มะเขือเทศ และฟักทอง ผลไม้ตระกูลเบอร์รี่ (Berries) ธัญพืชขัดสีน้อย และถั่วชนิดต่าง ๆ

นอกจากนี้การรับประทานอาหารที่อุดมไปด้วยกรดโอเมก้า 3 และโอเมก้า 6 ซึ่งจัดเป็นไขมันไม่อิ่มตัวที่มีประโยชน์ต่อร่างกาย อาจช่วยเสริมสร้างความแข็งแรงของเกราะป้องกันผิว และช่วยป้องกันและฟื้นฟูผิวจากการอักเสบ โดยโอเมก้า 3 และโอเมก้า 6 พบมากในปลาชนิดต่าง ๆ เช่น ปลาแซลมอนและปลาแมคเคอเรล รวมทั้งธัญพืช อย่างเมล็ดเจีย วอลนัท เมล็ดทานตะวัน และน้ำมันพืช 

การรับประทานอาหารเพื่อสุขภาพผิวที่ดี ควรหลีกเลี่ยงอาหารที่มีคาร์โบไฮเดรตและไขมันสูง ซึ่งมีส่วนกระตุ้นให้เกิดริ้วรอยและทำให้ผิวบางลง และควรดื่มน้ำให้เพียงพอ โดยผู้หญิงควรดื่มน้ำวันละประมาณ 9 แก้ว หรือประมาณ 2 ลิตร และผู้ชายควรดื่มน้ำวันละประมาณ 13 แก้ว หรือประมาณ 3 ลิตร และควรดื่มน้ำให้มากขึ้นเมื่อทำกิจกรรมที่ทำให้เหงื่อออกมาก เพราะน้ำเป็นองค์ประกอบสำคัญของเซลล์ในร่างกาย หากเซลล์ผิวขาดน้ำ อาจทำให้ผิวแห้ง มีริ้วรอย และเกิดการอักเสบได้ง่าย

4. การปรับพฤติกรรม

พฤติกรรมบางอย่างอาจทำร้ายผิวของคุณโดยไม่รู้ตัว หากอยากมีหน้าเด็ก ควรปรับเปลี่ยนพฤติกรรมต่าง ๆ ดังนี้

  • หลีกเลี่ยงการแสดงอารมณ์ทางสีหน้า เช่น การหัวเราะและการขมวดคิ้ว เนื่องจากการแสดงอารมณ์เหล่านี้อาจทำให้กล้ามเนื้อบริเวณใบหน้าถูกกดทับ และหากเกิดการกดทับซ้ำ ๆ อาจทำให้เกิดริ้วรอยหรือร่องลึกบนผิวหน้าได้ถาวร
  • หลีกเลี่ยงการสูบบุหรี่และการดื่มเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ ซึ่งอาจเร่งให้ผิวเกิดริ้วรอย ผิวหยาบกร้าน และทำให้หน้าดูแก่กว่าวัย
  • ออกกำลังกายเป็นประจำ ซึ่งกระตุ้นการไหลเวียนของเลือดและการทำงานของระบบภูมิคุ้มกัน ทำให้ผิวเปล่งปลั่งแลดูอ่อนเยาว์
  • พักผ่อนให้เพียงพอ ประมาณวันละ 7–9 ชั่วโมง เพราะการนอนหลับอย่างเพียงพอจะทำให้ระบบไหลเวียนเลือดทำงานได้ดี กระตุ้นการสร้างคอลลาเจน และฟื้นฟูผิวจากความเสียหายของรังสียูวีที่ได้รับในแต่ละวัน 
  • หาวิธีผ่อนคลายความเครียดอย่างเหมาะสม เช่น การเล่นโยคะ การฝึกสมาธิ และพูดคุยกับคนที่สนิท อาจช่วยลดการเกิดริ้วรอยก่อนวัยได้

5. การฟื้นฟูผิวโดยแพทย์ผิวหนัง

หากการดูแลตนเองด้วยวิธีต่าง ๆ ไม่เห็นผลดีเท่าที่ควร การไปพบแพทย์เพื่อรับการรักษาอาจช่วยให้คุณย้อนวัยกลับไปมีหน้าเด็กได้ ซึ่งแพทย์จะแนะนำวิธีที่เหมาะสมกับปัญหาผิวของแต่ละคน เช่น วิธีลดเลือนริ้วรอย วิธียกกระชับผิว หรือวิธีปรับสีผิวให้สม่ำเสมอ โดยวิธีการที่นิยมใช้ในรักษา ได้แก่ การฉีดฟิลเลอร์ (Injectable Filler) การฉีดโบทอกซ์ (Botox Injection) การผลัดเซลล์ผิวด้วยสารเคมี (Chemical Peel) และการกรอผิวด้วยการพ่นผลึกแร่ (Microdermabrasion)

วิธีที่ช่วยให้คุณมีหน้าเด็กกว่าวัยสามารถทำได้ง่าย ๆ โดยเริ่มจากการดูแลผิวหน้าอย่างสม่ำเสมอด้วยผลิตภัณฑ์ที่เหมาะสมกับสภาพผิว ทาครีมกันแดดเป็นประจำ พร้อมทั้งดูแลสุขภาพทั้งร่างกายและจิตใจให้แข็งแรงจากภายใน จะช่วยชะลอความแก่และคืนความอ่อนเยาว์ให้ผิวคุณได้ดียิ่งขึ้น