เริมเกิดจากอะไร เป็นคำถามที่หลายคนอาจจะสงสัย หลายคนคงพอรู้จักโรคเริมกันมาบ้างว่า เป็นโรคผิวหนังชนิดหนึ่งที่เกิดจากติดเชื้อ ซึ่งรักษาไม่หายขาดและสามารถกลับมาเป็นใหม่ได้ นอกจากนั้นอาจยังสงสัยด้วยว่าลักษณะอาการเป็นแบบไหน ป้องกันได้หรือไม่ ถ้าเป็นแล้วควรทำอย่างไร ในบทความนี้จึงได้รวบรวมข้อมูลที่ควรรู้เมาให้ทุกคนได้ศึกษาไปพร้อมกัน
เริม (Herpes) เป็นโรคชนิดหนึ่งที่เกิดจากการติดเชื้อไวรัสเฮอร์พีส์ ซิมเพล็กซ์ (Herpes Simplex Virus) โดยอาการที่แสดงจะสังเกตได้ชัดจากทางผิวหนัง เช่น เกิดแผลตุ่มน้ำ และคันหรือแสบร้อนรอบ ๆ แผล โดยอาการสามารถเกิดขึ้นได้หลายส่วนของร่างกาย แต่บริเวณปากและอวัยวะเพศจะเป็นบริเวณที่พบได้บ่อย ทั้งนี้ นอกจากอาการทางผิวหนังแล้ว บางคนอาจพบอาการอื่นร่วมด้วย เช่น มีไข้ หรือต่อมน้ำเหลืองบวม
ไขข้อสงสัย เริมเกิดจากอะไร
อย่างที่ได้กล่าวไป เริมเป็นโรคที่เกิดจากการติดเชื้อไวรัสเฮอร์พีส์ ซิมเพล็กซ์ ซึ่งสามารถแบ่งออกได้เป็น 2 ชนิด ซึ่งแต่ละชนิดก็มักจะส่งผลให้เกิดอาการในบริเวณที่แตกต่างกัน ได้แก่
- เชื้อไวรัสเฮอร์พีส์ ซิมเพล็กซ์ ชนิดที่ 1 ซึ่งมักจะส่งผลให้เกิดอาการบริเวณปากหรือใบหน้า
- เชื้อไวรัสเฮอร์พีส์ ซิมเพล็กซ์ ชนิดที่ 2 ซึ่งมักจะส่งผลให้เกิดอาการบริเวณอวัยวะเพศ
ส่วนวิธีการแพร่กระจายหลัก ๆ ของเชื้อไวรัสเฮอร์พีส์ ซิมเพล็กซ์คือการสัมผัสโดยตรงกับแผลของผู้ที่ป่วย หรืออาจจะเป็นสารคัดหลั่งต่าง ๆ เช่น น้ำลาย โดยเมื่อเชื้อชนิดนี้เข้าสู่ร่างกายแล้ว เชื้อจะไปอยู่ที่บริเวณปมเส้นประสาทและอาจส่งผลให้เกิดอาการในภายหลังหรืออาจกลับมาเกิดอาการซ้ำ ๆ ได้ แต่กรณีที่เกิดซ้ำ อาการมักจะไม่รุนแรงเท่ากับการเกิดอาการครั้งแรก
โดยลักษณะอาการเด่น ๆ ของโรคเริมคือ เกิดแผลหรือตุ่มน้ำบริเวณปากหรืออวัยวะเพศ คันและแสบร้อนบริเวณแผล ร่วมกับการเป็นไข้ ปวดศีรษะ ปวดกล้ามเนื้อ และต่อมน้ำเหลืองโต โดยอาการมักเริ่มเกิดหลังจากได้รับเชื้อไปประมาณ 2–8 วัน
ทั้งนี้ ในปัจจุบัน การรักษาทางการแพทย์ยังไม่สามารถรักษาการติดเชื้อไวรัสเฮอร์พีส์ ซิมเพล็กซ์ให้หายขาดได้ โดยแพทย์จะเน้นการรักษาเพื่อลดความเสี่ยงในการเกิดอาการ ป้องกันการเกิดซ้ำ และลดความรุนแรงของอาการที่เกิดขึ้น
นอกจากนี้ แม้ผู้ที่ติดเชื้อจะมีเชื้อไวรัสอยู่ในร่างกาย แต่ในหลาย ๆ ครั้ง ผู้ที่ติดเชื้อก็ไม่ได้เกิดอาการผิดปกติใด ๆ หากไม่มีปัจจัยกระตุ้น โดยตัวอย่างปัจจัยกระตุ้นที่พบได้บ่อยก็เช่น
- การเจ็บป่วยด้วยโรคต่าง ๆ
- ความเครียด
- แสงแดด
- การเกิดบาดแผล
- การใช้ยากดภูมิคุ้มกัน
- การมีประจำเดือนในผู้หญิง
ควรทำอย่างไรเมื่อเป็นเริม และมีวิธีป้องกันเริมหรือไม่
โดยปกติแล้ว อาการจากโรคเริมมักจะค่อย ๆ ดีขึ้นและหายได้เองในระยะเวลา 2–6 สัปดาห์โดยไม่ต้องรับการรักษา อย่างไรก็ตาม ในระหว่างที่เกิดอาการ ผู้ที่มีอาการจากโรคเริมอาจจะลองนำวิธีต่อไปนี้ไปทำตามเพื่อช่วยบรรเทาความรุนแรงของอาการ ได้แก่
- ประคบร้อนหรือเย็นบริเวณแผล
- นอนหลับพักผ่อนให้เพียงพอ
- ดื่มน้ำสะอาดให้เพียงพอ
- หลีกเลี่ยงการเกาหรือแกะแผล และคอยรักษาความสะอาดของแผลอยู่เสมอ
- สำหรับผู้ที่มีไข้ร่วมด้วย สามารถรับประทานยาลดไข้ที่สามารถซื้อได้เองตามร้านขายยา แต่ควรรับประทานตามคำแนะนำของเภสัชกรหรือฉลากยาอย่างเคร่งครัด เพื่อป้องกันการเกิดผลข้างเคียงที่ไม่พึงประสงค์
ทั้งนี้ แม้อาการจากโรคเริมจะมักค่อย ๆ ดีขึ้นได้เอง แต่ผู้ที่มีอาการจากโรคเริมก็ควรไปพบแพทย์เพื่อรับการตรวจและการรักษาที่เหมาะสม เนื่องจากการรักษาที่แพทย์มักใช้คือการให้ยาต้านไวรัส เช่น ยาอะไซโคลเวียร์ (Acyclovir) ซึ่งเป็นยาที่ควรให้ตั้งแต่ภายใน 48 ชั่วโมงหลังจากเริ่มเกิดอาการ เพื่อช่วยลดระยะเวลาการเกิดอาการ และช่วยลดความเสี่ยงต่อการแพร่กระจายของเชื้อได้
อย่างไรก็ตาม ผลการรักษาจากการใช้ยาต้านไวรัสอาจแตกต่างกันไปในแต่ละคน โดยเฉพาะในกรณีที่ผู้ป่วยเป็นเริมบริเวณอวัยวะเพศที่การใช้ยามักไม่ค่อยได้ผลและอาจเสี่ยงต่อการเกิดเชื้อดื้อยาได้
สำหรับวิธีการป้องกันโรคเริม การป้องกันที่ดีที่สุดคือการไม่สัมผัสกับแผลและสารคัดหลั่งของผู้ที่ติดเชื้อ และควรใช้ถุงยางอนามัยทุกครั้งที่มีเพศสัมพันธ์ หรือหากทราบว่าตนเองมีอาการจากโรคเริมอยู่ ก็ควรหลีกเลี่ยงการมีเพศสัมพันธ์ไปก่อนจนกว่าอาการต่าง ๆ จะดีขึ้นหายไป
มาถึงตรงนี้ บทความนี้น่าจะช่วยตอบคำถามที่ว่า เริมเกิดจากอะไร และช่วยให้ผู้ที่กำลังป่วยหรือยังไม่ป่วยเห็นแนวทางการรับมือในเบื้องต้น ทั้งนี้ แม้อาการจากโรคเริมจะไม่ค่อยรุนแรง แต่ผู้ป่วยที่อยู่ในกลุ่มเสี่ยงต่อการเกิดภาวะแทรกซ้อนรุนแรง หรือมีอาการรุนแรง เช่น เจ็บแผลรุนแรง รู้สึกไม่สบายตัว มีไข้ มีหนอง หรือแผลเกิดรอยแดงก็ควรรีบไปพบแพทย์ทันที
โดยตัวอย่างกลุ่มเสี่ยงที่ควรได้รับการดูแลจากแพทย์ทันทีได้แก่ ผู้ที่ภูมิคุ้มกันไม่แข็งแรง เด็กทารก หรือผู้ที่มีอาการอื่นเกิดขึ้นร่วมกับอาการจากโรคเริม เช่น รู้สึกคัน บวม หรือแดงบริเวณอวัยวะเพศ เกิดตุ่มน้ำบริเวณอวัยวะเพศหรือรูทวาร รู้สึกเจ็บขณะปัสสาวะหรือมีเพศสัมพันธ์ อวัยวะเพศชายส่งกลิ่นเหม็น หรืออวัยวะเพศหญิงมีของเหลวไหลออกมา