แป้งฝุ่นเป็นของใช้ประจำบ้านสำหรับหลายครอบครัว โดยเฉพาะบ้านที่มีทารก เพราะคุณแม่มักใช้แป้งฝุ่นทาก้นและอวัยวะเพศของลูกน้อยเพื่อลดความอับชื้นและป้องกันผื่นผ้าอ้อม อีกทั้งผู้ใหญ่ก็ใช้แป้งฝุ่นโรยตัวเพื่อลดกลิ่นอับและความเปียกชื้นตามร่างกายด้วยเหมือนกัน
แม้ว่าแป้งฝุ่นหรือแป้งเด็กจะเป็นของใช้ประจำบ้าน แต่หลายคนอาจเคยได้รับข้อมูลที่กล่าวว่าแร่ทัลคัม (Talcum) ในแป้งฝุ่นอาจเพิ่มความเสี่ยงของโรคมะเร็ง โดยเฉพาะมะเร็งรังไข่ ซึ่งบทความนี้จะมาไขข้อข้องใจเรื่องการทาแป้งฝุ่นกับความเสี่ยงในการเกิดโรคมะเร็ง และวิธีใช้แป้งฝุ่นให้ปลอดภัย
ทัลคัมในแป้งฝุ่นคืออะไร ?
ทัลคัมหรือทัลค์ (Talc) เป็นแร่ธาตุที่พบได้ตามธรรมชาติมีคุณสมบัติในการช่วยดูดซับความชื้น ป้องกันการจับตัว ทึบแสง และช่วยให้ผลิตภัณฑ์มีสัมผัสที่ดีขึ้น แร่ธาตุชนิดนี้จึงถูกนำมาใช้ทั้งในด้านอุตสาหกรรมและเครื่องอุปโภค ส่วนมากจะพบได้ในแป้งฝุ่นและเครื่องสำอาง โดยแร่ที่นำมาใช้จำเป็นต้องเป็นแร่ที่มีความบริสุทธิ์และผ่านการทดสอบความปลอดภัยก่อน แต่เนื่องจากแร่ชนิดนี้พบได้ตามธรรมชาติ คนบางส่วนจึงอาจกังวลว่าแป้งฝุ่นและผลิตภัณฑ์ที่มีทัลคัมเป็นส่วนประกอบจะปนเปื้อนสารที่เป็นอันตรายต่อสุขภาพ
แป้งฝุ่นทำให้เกิดมะเร็งได้จริงหรือ ?
การศึกษาในอดีตหลายชิ้นชี้ว่า การใช้แป้งฝุ่นหรือแป้งเด็กที่มีส่วนผสมของทัลคัมเป็นระยะเวลานานอาจเพิ่มความเสี่ยงของโรคมะเร็งบางชนิด โดยสาเหตุที่ทำให้แป้งฝุ่นเพิ่มความเสี่ยงของมะเร็งอาจเป็นเพราะแร่ทัลคัมมีความเสี่ยงที่จะปนเปื้อนกับแร่ใยหิน (Asbestos) ซึ่งเป็นแร่ที่พบได้ตามธรรมชาติและมีการพิสูจน์แล้วว่าสามารถเพิ่มความเสี่ยงของโรคมะเร็งได้
โดยจากการศึกษาโรคมะเร็งที่อาจเกิดจากทัลคัมพบได้ 2 ชนิดด้วยกัน
-
โรคมะเร็งรังไข่
มีงานวิจัยจำนวนหนึ่งชี้ว่า การใช้แป้งที่มีส่วนผสมของแร่ทัลคัม โดยเฉพาะการใช้ในบริเวณจุดซ่อนเร้นของผู้หญิงอาจเพิ่มความเสี่ยงของโรคมะเร็งรังไข่ได้ เพราะอนุภาคของแร่อาจฟุ้งกระจายและหลุดไปภายในรังไข่และอาจสะสมจนทำให้เกิดความผิดปกติ แต่แร่ดังกล่าวอาจเพิ่มความเสี่ยงของโรคมะเร็งรังไข่เพียงเล็กน้อยเท่านั้น ในขณะที่บางชิ้นไม่พบว่าแร่ทัลคัมเพิ่มความเสี่ยงของมะเร็งรังไข่แต่อย่างใด อย่างไรก็ตาม โรคมะเร็งรังไข่ไม่ได้มีสาเหตุจากแร่ทัลคัมเพียงอย่างเดียว แต่อาจเกิดจากปัจจัยอื่น ๆ เช่น การสูบบุหรี่ การใช้ฮอร์โมนเสริม น้ำหนักตัว และโรคประจำตัว เป็นต้น
-
โรคมะเร็งปอด
จากผลการศึกษาบางชิ้นพบว่า ผู้ที่ทำงานในเหมืองแร่ทัลคัมและโรงโม่หินมีความเสี่ยงของโรคมะเร็งปอดและโรคระบบทางเดินหายใจที่สูงกว่าคนทั่วไป ซึ่งการสูดดมแร่ทัลคัมที่มีแร่ใยหินหรือแร่อื่นปนอาจเป็นส่วนหนึ่งที่เพิ่มความเสี่ยงของโรคเหล่านี้ เพราะต้องสูดดมและสัมผัสกับสารเหล่านี้เป็นระยะเวลานาน แต่ข้อมูลในปัจจุบันยังไม่พบว่าผลิตภัณฑ์เครื่องสำอางที่มีส่วนผสมของแร่ทัลคัมสามารถเพิ่มความเสี่ยงของโรคมะเร็งปอดได้
นอกจากนี้ นักวิทยาศาสตร์ยังไม่พบข้อมูลว่าแร่ทัลคัมในแป้งฝุ่นสามารถเพิ่มความเสี่ยงของโรคมะเร็งชนิดอื่นได้หรือไม่ และยังไม่พบผลข้างเคียงร้ายแรงอื่น ๆ จากการใช้แป้งฝุ่น อย่างไรก็ตาม ทางกฎหมายได้กำหนดให้มีการแสดงคำเตือนที่ฉลากของผลิตภัณฑ์แป้งฝุ่นสำหรับเด็กอายุ ต่ำกว่า 3 ปี ไว้ว่า อย่าให้แป้งเข้าจมูกและปากของเด็ก
แม้ว่ายังไม่มีการยืนยันและข้อสรุปที่แน่นอนเกี่ยวกับโรคมะเร็งจากการใช้แป้งฝุ่น แต่ทัลค์เป็นสารอนินทรีย์ที่ไม่สามารถย่อยสลายตามธรรมชาติ หากสูดดมละอองหรืออนุภาคของทัลค์ในแป้งฝุ่นเป็นปริมาณมากหรือได้รับติดต่อเป็นเวลานานอาจเกิดการสะสมภายของทัลค์ภายในปอด ซึ่งอาจเพิ่มความเสี่ยงของโรคระบบทางเดินหายใจได้ ดังนั้น ควรใช้อย่างระมัดระวังและหลีกเลี่ยงการโรยแป้งจนฟุ้งกระจายเพื่อป้องกันการสูดดมอนุภาคของทัลค์
ใช้แป้งฝุ่นอย่างไรให้ปลอดภัย ?
จากข้อมูลในข้างต้นที่ยังไม่มีผลการยืนยันชัดเจนว่าแป้งฝุ่นทำให้เกิดโรคมะเร็ง และแร่ทัลคัมที่เป็นส่วนผสมในเครื่องสำอางเป็นแร่ทัลคัมที่มีความบริสุทธิ์ ปราศจากแร่ใยหิน จึงสามารถใช้ได้ตามปกติ แต่เพื่อความปลอดภัยจึงควรใช้แป้งฝุ่นอย่างระมัดระวัง เช่น
- ไม่ทาแป้งฝุ่นบริเวณอวัยวะเพศโดยตรง แต่ใช้การทาแป้งบาง ๆ บริเวณโดยรอบแทน หรือใช้การโรยแป้งลงบนผ้าที่จะนำมาใส่แทนการทาแป้งลงบนตัวโดยตรง
- ทาอย่างระมัดระวังไม่ให้แป้งฟุ้งเข้าตา จมูก หรือปาก โดยเฉพาะการใช้แป้งฝุ่นบริเวณใบหน้า
- หากต้องทาแป้งให้ทารกหรือเด็กเล็ก ควรระมัดระวังมากขึ้น เพื่อป้องกันทารกสูดดมอนุภาคของแป้ง
สำหรับผู้ที่ใช้แป้งฝุ่นติดต่อกันเป็นระยะเวลานานแล้วรู้สึกกังวล พบความผิดปกติเกี่ยวกับสุขภาพ หรือพบอาการผิดปกติหลังจากใช้แป้งฝุ่น ควรไปพบแพทย์เพื่อเข้ารับการตรวจและขอคำแนะนำ